The Power of Mystics — พลังของกล่องที่ไม่ถูกเปิด

Pawz Arts Gallery of Thoughts
Master of Emotion
Published in
2 min readAug 3, 2024

สมมุติ A กับ B คุยกัน

A: เธอเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงไหม?

B: นั่นสินะ ไม่รู้อะ (ยิ้มๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องคุย)

คำตอบของ B คือตัวอย่างของ Mystics

มันคือพลังของกล่องที่ไม่ถูกเปิด (นึกถึงกล่องแมวของชโรดิงเจอร์)

คนหนุ่มสาวที่ยึดมั่นในเหตุผลมักพยายามหาคำอธิบายที่เป็นเหตุเป็นผลชัดเจนในทุกสิ่ง ทว่าในโลกนี้มีปรากฏการณ์หลายอย่างที่ทรงพลังเมื่อไม่ถูกอธิบาย และจะหมดพลังเมื่อพยายามอธิบายให้คนอื่นฟัง

ตัวอย่างอื่นๆ ที่มีพลังของ Mystics เช่น

  • ปณิธาน (resolution)
  • ความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเอง (self-awareness)
  • หลักการดำเนินชีวิต
  • ความจริงใจ (authenticity)
  • ความรับผิดชอบ
  • ความเชื่อส่วนบุคคล

มันเหมือนเรากำลังขี่จักรยานอยู่บนเส้นเชือก ทันทีที่เราเริ่มพยายามวิเคราะห์ว่าเราทรงตัวอยู่ได้อย่างไร เราก็พลันร่วงหล่น

Mystics ต่างจากความงมงาย คนที่งมงายจะกลัวและสงสัย แต่ความ Mystics จะทำให้เรารู้สึก “sound and valid” โดยไม่ต้องมีคำอธิบาย

ถ้าลองอธิบายปรากฏการณ์นี้ในมุมของคณิตศาสตร์ Mystics คือจุด singulaity บนมิติที่เราสังเกตได้ (observable dimensions) ซึ่งคือประตูไปสู่มิติที่สังเกตไม่ได้ (unobservable dimensions)

ตัวอย่างเช่น ถ้าเราจะวัดความฉลาดของคนคนหนึ่งจากสิ่งที่เขาพูด เราก็ต้องวัดเมื่อเขาพูด แต่ในเวลาที่เขาไม่พูด เขาก็เป็นได้ทั้งอัจฉริยะและคนโง่ในชั่วขณะเห็นการสังเกตเดียวกัน

ประเด็นคือความฉลาดไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คนพูด แต่เนื่องจากเรามีประสาทสัมผัสที่จำกัด เราเลยต้องหยิบเอาประสาทสัมผัส (thinking feeling sense intuition) เท่าที่เราหาได้มาเป็นไม้บรรทัดวัดสิ่งที่ล้ำลึกกว่านั้นมาก – ปัญหาคือเราก็หลงเชื่อว่าสิ่งที่เรารับรู้ผ่านประสาทสัมผัสของเราคือความจริงทั้งหมดทั้งปวงแห่งธรรมชาติ

ธรรมชาติหมุนอยู่ตลอดเวลา - quality ใดๆ แม้มันดูเหมือนไม่มีการเปลี่ยนแปลงในโลกที่เราสังเกตได้ แต่ที่จริงเราเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอในมิติที่เรามองไม่เห็น (Mystical Dimensions) แต่เมื่อเราถูกคลี่ออกสู่โลกที่สังเกตได้ ตัวเราก็ถูกตรึงความเป็นไปได้อยู่ในข้อจำกัดของประสาทสัมผัสอันกระจ้อยร่อยของเรา

เมื่อเราสามารถฮึบใจ อดกลั้นต่อ gratification แห่งความอยากอธิบายตัวเองต่อผู้อื่น เพียงเชื่อในความรู้สึกอันแรงกล้าที่อยู่ภายใน เมื่อนั้นเราจะสามารถดึงเอา Mystical Power ของ ธรรมชาติอันล้ำลึกออกมาสู่ง Observable World ในรูปของความมหัศจรรย์และความโชคดีมากมาย

เพราะการมองคือการรบกวนระบบ

personality ของคนเรามันหมุนเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา มนุษย์อยากเข้าใจตัวเองจึงพยายามมองเข้าไปในตัวเอง ในความทรงจำ ในความคิด ความรู้สึก และอธิบายมันออกมา ว่าฉันเป็นคนอย่างนั้นอย่างนี้ ฉันมีปัญหาทางอารมณ์และพฤติกรรมเพราะเรื่องนั้นเรื่องนี้ ฉันเป็นโรคทางจิตต่างๆ

พอสังเกตตัวเองไปเรื่อยๆ เราก็อาจจะพบปรากฏการณ์แปลกประหลาดคือ

ทันทีที่เราเข้าใจว่าเราเป็นสิ่งใด เราก็ไม่ใช่สิ่งนั้นเสียแล้ว

เช่นพอเราเริ่มสังเกตว่าตัวเองมีความสุขที่ได้ connect กับผู้คน จากนั้นเป็นต้นมา personality ของเรามันก็จะผันเปลี่ยนไปในทางที่เราเริ่มอยากจะตัดขาดจากผู้คนมากขึ้น

บางทีสาเหตุหนึ่งของ bi-polar personality มันเกิดจากการที่เราแสดง personality ของเราอย่างชัดแจ้งเกินไปต่อสายตาคนอื่น มันจึงเกิดเป็นความรู้สึกว่าเราต้อง promise หรือ commit ต่อการเป็นสิ่งนั้น มิฉะนั่นเราจะรู้สึกละอายใจ (shame) ต่อการไม่ authentic

การรู้สึก commit ต่อการเป็นสิ่งหนึ่งมันทำให้เราฝืนธรรมชาติแห่งความเป็น mystics ของตัวเอง ความฝืนนี้เองมันสร้างแรงบีบอัดในจิตใจ และเมื่อมันอัดแน่นจนเกินต้าน มันก็ระเบิดออกมาเป็น personality ขั้วตรงข้าม

บางทีคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับจิตใจ อารมณ์ และพฤติกรรม อาจเกิดจากการที่เรามีนิสัย “ชอบมอง” ตัวเองมากเกินไป จนไม่ปล่อยให้ตัวเราได้มีเวลาที่เป็นตัวของเองอยู่ในโลก mystics

ถ้าลองสังเกตดีๆ โลกเรามีปรากฏการณ์ทำนองนี้มากมาย เช่นอาการปวดขาที่เราเฝ้ากังวลและหาวิธีรักษามานาน ทำยังไงก็ไม่หาย แต่พอเลิกสนใจ อยู่ดีๆ มันก็หายตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

เคยได้ยินคำสอนจากนักปราชญ์ท่านนึงกล่าวว่า เวลาดูตัวเอง ให้ดูแบบแง้มๆ รีบดูแล้วรีบออกมา ที่แท้คงหมายความอย่างนี้เอง เราควบคุมชะตาชีวิตของตนเองด้วยการใส่เจตจำนงลงไปนิดหน่อย และที่เหลือก็ปล่อยให้มันโตเอง

Investment

การปล่อยให้ตัวเองได้มีอิสระอยู่ในโลกที่ไม่ถูกมอง คือ Introvert Mystics ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็น prerequisite ของการสร้าง “ความมั่งคั่งในตัวเอง”

หลักการนี้ดูเหมือนจะใช้ได้กับการสร้างความั่งคั่งในโลกภายนอกเช่นกัน

Extravert Mystics คือหลักการที่เรา “ลงทุน” กับอะไรบางอย่างแล้วก็ปล่อยให้มันโตเองโดยที่เราไม่มอง

บางที นี่แหละคือความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ลงทุน”

มันคือการที่เราหว่านเมล็ดลงไปตรงนู้นนิด ตรงนี้หน่อย และไว้ใจปล่อยมันไป นานๆ ทีก็มาแง้มดูมันนิดหน่อยแล้วรีบออกมา อย่าดูบ่อย อย่าดูนาน

คนที่ใช้ชีวิตไม่เป็นคือคนที่เอาตัวเองเข้าไปเป็นฟันเฟืองของทุกสิ่ง ทุ่มเท all-in กับทุกเรื่อง ฝืนบังคับควบคุมทุกสิ่ง จนไม่เหลือพื้นที่ให้สิ่งต่างๆ ได้งอกงามด้วยตัวมันเอง

--

--