ศีลไม่ใช่การกระทำ แต่เป็นนิสัย
พูดเรื่องศีล หลายคนบอกตัวเองทำไม่ได้ เพราะตอนเด็กๆชอบฆ่าสัตว์เล่น ตอนวัยรุ่นก็เมาบ่อย ตอนนี้จะรักษาศีลไปก็ไม่ได้แล้ว ยังไงก็ทำบาปไปเยอะแล้ว คือมองเรื่องบุญบาปเป็นการสะสมแต้มแบบในเกม
แต่ศีลไม่ใช่พฤติกรรมเป็นครั้งๆ อันนั้นเรียกว่ากรรม คือการกระทำแต่ละครั้ง (กรรมไม่ได้แปลว่าความชั่วในอดีต) ส่วนศีลเป็น “เจตนาว่าฉันจะไม่มีทางทำร้ายคนอื่น”
มันเป็นเจตนา ดังนั้นมันอยู่ที่ใจ พูดง่ายๆมันเป็นนิสัยที่มีผลต่อพฤติกรรมในปัจจุบันและอนาคต
ศีลแปลว่า “ปกติ”
ศีลไม่ใช่กฎ ไม่ใช่ข้อห้าม แต่เป็นนิสัย บางคนมีนิสัยที่ชอบรักษาความปกติของใจ สาเหตุที่เว้น 5 ข้อ หรือ 8 ข้อ หรือกี่ร้อยข้อนั่นก็เป็นความพยายามเพื่อรักษาความปกติของใจ สาระไม่ได้อยู่ที่ 5 ข้อนั้นที่ถูกสอนตอนเด็กๆ แต่อยู่ที่ความพยายามนี้
ความพยายามนี้เกิดจากเค้าไม่ชอบความรู้สึกเวลาโกหก เวลาฆ่า เวลาขโมย เวลานอกใจ เวลาเมาเหล้า เค้าชอบความรู้สึกปกติธรรมดาๆ อย่างเวลาทำงานสุจริต อย่างเวลากอดลูก หรือลูบหัวหมา หรือกินอาหารที่ชอบบ้างไม่ชอบบ้าง หรือกลับถึงบ้านหลังจากทำงานมาทั้งวัน ความรู้สึกปกติธรรมดาที่ทุกคนมี
แต่เค้าไม่ชอบความรู้สึกเวลาทำ 5 อย่าง (เป็นต้น) นั้น ดังนั้นมันจึงเป็นเหมือนรสนิยมว่าเราชอบความรู้สึกแบบไหน เมื่อเป็นรสนิยมมันจึงเปลี่ยนแปลงไปได้ตามประสบการณ์ ไม่ได้เกี่ยวว่ารสนิยมในอดีตจะเป็นอย่างไรสักนิด
ศีลเป็นสภาวะจิตใจในขณะปัจจุบัน
ไม่ใช่ว่าเราไม่ฆ่า ไม่โกหก ไม่ขโมย ไม่นอกใจ ไม่เมาเหล้า เพราะขณะนี้เราไม่มีโอกาส เช่นอยู่บ้านคนเดียว ไม่มียุง ไม่มีเหล้า ไม่มีโอกาสโกง แต่ในใจคือพร้อมทำได้ งี้ในขณะนั้นก็ไม่ได้มีศีล เพราะไม่ได้เจตนาเว้น เพียงแต่ไม่ได้กำลังทำแค่นั้นเอง
แต่ถ้า ณ ขณะปัจจุบัน เราตั้งใจจะไม่ทำร้ายใครเด็ดขาด เราก็มีศีลในขณะเดียวนั้น ถ้าเราดูในใจตอนนั้นก็จะมองเห็นมันได้ เพียงแต่มันเรียบง่ายธรรมดาเอามากๆ
ศีลคือความรู้สึกปลอดภัย