เราจะหาเงินอย่างไรได้บ้าง

Aphichan Chaiyutthasart
สุขกับเงิน
2 min readMay 16, 2021

สมัยผมเรียน มีอยู่วันหนึ่ง มีรุ่นพี่มาชวนไปทำธุรกิจเครือข่าย เขาบอกฟังเขาเล่าก่อน ผมก็ได้ฟังเขาเล่าหลายๆ เรื่อง เพื่อโน้มน้าวมาเป็น downline ของเขา แต่ในเรื่องที่เขาเล่าก็เป็นความรู้ และแง่คิด ในเรื่องการหารายได้ หลักๆ มันมีอยู่ 2 แบบ คือ active income และ passive income แต่ก่อนถึงเรื่องการหารายได้ มาดูเรื่องที่ชีวิตแต่ละคน ต้องคำนึงถึง มีอยู่สามอย่าง ได้แก่ เงิน เวลา สุขภาพ

╔═══════════╦════════╦════════╦══════════╗
║ ช่วงวัย ║ เงิน ║ เวลา ║ สุขภาพ ║
╠═══════════╬════════╬════════╬══════════╣
║ วัยรุ่น ║ ไม่ ║ มี ║ มี ║
║ วัยทำงาน ║ มี ║ ไม่ ║ มี ║
║ วัยเกษียณ ║ มี ║ มี ║ ไม่
╚═══════════╩════════╩════════╩══════════╝

ในที่นี้ขอพูดถึงคนส่วนใหญ่นะ

ในช่วงวัยรุ่น เรามีสุขภาพแข็งแรงดีอยู่ มีเวลาได้เรียนรู้ ลองผิดลองถูก แต่ยังหาเงินเลี้ยงตัวเองไม่ได้

ในช่วงวัยทำงาน ทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้ สุขภาพยังแข็งแรงอยู่ แต่เวลาพักผ่อนเป็นสิ่งหายาก ถ้าจัดสรรเวลาไม่ดี

ในช่วงเกษียณ ว่างงานแล้ว มีเวลา มีเงินเก็บ แต่สุขภาพก็ไม่แข็งแรงเหมือนแต่ก่อน และยิ่งดูแลตัวเองไม่ดี จะมีโรคประจำตัวแถมมาอีก

ผมเชื่อว่าทุกคนย่อมปรารถนา สามสิ่งนี้ในเวลาเดียวกัน

แล้วมันจะเป็นไปได้ไหมที่เราจะได้ เงิน เวลา สุขภาพ ในเวลาเดียวกัน ?

คำตอบ คือ มาขายตรงสิ (ล้อเล่นนะ hahaha)

เดี๋ยวเรามารู้จักรายได้สองแบบ ที่กล่าวถึงข้างต้น คือ active income และ passive income เมื่อรู้จักแล้ว ผมคิดว่าเราน่าจะคำตอบกันนะครับ

active income คือ การหารายได้แบบใช้สุขภาพ และเวลาไปแลกเงิน อาชีพที่มีรายได้แบบนี้ เช่น

  • พนักงานบริษัท / ข้าราชการ ใช้ทักษะความสามารถ หรือใช้แรงงาน ทำงานประจำตามเวลาที่องค์กรนั้นๆ กำหนด ก็มีวันลา หรือวันหยุด บ้าง แต่ถ้าองค์กรไหนบริหารจัดการไม่ดี พนักงานต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ แน่ๆ กระทบเวลาการพักผ่อน ทำให้มีปัญหาสุขภาพตามมา แล้วยิ่งมีรายได้สูง ยิ่งต้องมีความรับผิดชอบ หรือมีทักษะที่สูงขึ้น
  • ผู้เชี่ยวชาญ เช่น หมอ พยาบาล นักกีฬา ฟรีแลนซ์ นักแสดง นักร้อง ทนายความ คนกลุ่มนี้คือทำเท่าไรได้เท่านั้น ยิ่งทำงานมาก ยิ่งได้เงินมาก คนพวกนี้ถ้าเก่ง หรือมีชื่อเสียงมักจะมีรายได้สูง เงินเยอะก็จริง แต่เวลาที่จะทำอย่างอื่นจะน้อย แล้วบางคนคิดว่าหาเงินได้เยอะ ก็เอาไปใช้จ่ายเยอะจนล้มละลายก็มี
  • เจ้าของธุรกิจ ผู้บริหาร ผมว่าเป็นคนที่ต้อง active ตลอดเวลาเพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ มีเรื่องให้เครียดอยู่ 3 อย่าง คือ เงินกู เงินกู้ และพันธนาการ ต้องรับมือกับสถานการณ์ภายในและภายนอกอยู่เสมอ เช่น ปัญหาเรื่องคน เรื่องการบริหารจัดการ สภาวะเศรษฐกิจ ภัยพิบัติ โรคระบาด คนกลุ่มนี้ไม่มีวันหยุด ไม่มีวันลา หายใจเข้าออกเป็นงาน
  • นักเทรดหุ้น, forex, หรืออื่นๆ คนกลุ่มนี้คือพวกที่ซื้อขายหุ้น โดยเอากำไรจากส่วนต่างของราคา ซึ่งต้องจ้องกราฟราคา อ่านข่าวเศรษฐกิจและข่าวที่เกี่ยวข้อง เพื่อวิเคราะห์กลยุทธ์ในการซื้อขาย

passive income คือ การหารายได้โดยการสร้างเครื่องมือบางอย่าง เพื่อให้มันหาเงินแทนเรา มันมีอยู่หลายวิธี เช่น

  • สินทรัพย์ทางการเงิน เป็นการใช้เงินทำงานให้เรา โดยการลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ หุ้นกู้ เงินฝาก สลากออมทรัพย์ การมีสิ่งเหล่านี้สะสมไว้ เพื่อได้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย หรือเงินปันผล ซึ่งถือเป็นรายได้ แต่ควรศึกษาก่อนว่าแต่ละอย่างมันคืออะไร ก่อนที่จะลงทุน เพราะทุกอันที่กล่าวมีความเสี่ยงไม่มากก็น้อย
  • ทรัพย์สินทางปัญญา เป็นการใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างทรัพย์สิน เพื่อขาย หรือเก็บค่าลิขสิทธิ์ ค่าสิทธิบัตรของนำไปใช้งาน เช่น หนังสือ บทความ สิ่งประดิษฐ์ เพลง ภาพยนตร์ คลิปวิดีโอ ซอฟต์แวร์ รูปถ่าย เป็นต้น รายได้ก็จะขึ้นกับยอดขาย หรือจำนวนการนำไปใช้
  • อินเตอร์เน็ตมาร์เก็ตติ้ง ทำระบบหรือแพลตฟอร์มให้ทำงานอัตโนมัติ ตัวอย่างเช่น Amazon, Youtube, Shopee, Lazada, Google ถ้าเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มที่ไม่ต้องลงมาบริหารงานเอง มันก็จะทำให้คุณมีรายได้ แต่คุณต้องจ้างคนมาดูแลระบบที่ไว้ใจได้ ระบบที่ยังมีคนใช้งาน มันก็ทำเงินให้เรื่อยๆ
  • อสังหาริมทรัพย์ การซื้ออสังหาริมทรัพย์มาปล่อยเช่า เช่น คอนโด บ้าน ที่ดิน ใช้ต้นทุนสูง แต่ถ้าได้ทำเลดีๆ ก็สามารถทำรายได้ได้ดี
  • การซื้อแฟรนไชส์ คือการที่เราซื้อแบรนด์ กับระบบ ของเขามาทำ ประมาณว่าเป็นอีกสาขาหนึ่ง ของธุรกิจเขา ข้อดี คือ เราไม่ต้องทำการตลาดเอง เพราะแบรนด์เป็นที่รู้จักอยู่แล้ว ไม่ต้องคิดอะไรใหม่เพราะเขามี know how ให้เรามาด้วย แต่การจะเป็น passive income ได้ เราต้องจ้างผู้จัดการ กับพนักงานมาดูแลแทน ไม่ใช่ลงไปขายเองนะ
  • ธุรกิจเครือข่าย บางครั้งก็เรียกขายตรง จริงขึ้นกับว่าเราทำในลักษณะไหน ถ้าทำแบบ active ก็คือ ซื้อมาขายไป อันนี้คือการขายตรง แต่ถ้าทำแบบ passive คือ คุณจะมีรุ่นพี่ที่มาก่อนคุณ เขาเรียกว่า upline เขาจะมาชวนคุณเป็น downline ภายใต้เขา จากนั้นเขาจะสอนให้คุณหา downline ประมาณ 5 คน แล้วคุณจะต้องสอนให้ downline ของหา downline เพิ่มเช่นกันเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ คนที่ได้ประโยชน์สูง ก็คือคนที่ได้อยู่ระดับบนๆ ยิ่งเครือข่ายของกลุ่มคุณมีเยอะ ก็ยิ่งมีการทำรายได้มาก แต่นอกจากสอนหาคนแล้ว คุณก็ต้องสอนเขาขายด้วยนะ ก็คือแต่ละคนไม่ต้องขายได้เยอะ แต่ขายได้บ้าง แล้วถ้าจำนวนคนในเครือข่ายเยอะ ก็ได้ส่วนแบ่งจากการขายเยอะไปเอง

มาถึงตรงนี้แล้ว น่าจะได้คำตอบนะ สุดท้ายชีวิตเรา เราเลือกเองว่าอยากใช้ชีวิตกันแบบไหน ก็เราสามารถได้หลายๆ ทาง มีทั้ง active income ผสมกับ passive income ก็ได้ เอาที่ทำได้ รับความเสี่ยงได้

สุดท้าย ขอให้มีความสุขกับเงินครับ

อ้างอิง

--

--