เป็น SA เขียนเอกสารก็ได้ เขียนนิยายก็ดี แถมได้ตังค่าขนมเพิ่มด้วย

supamas vj
Nextzy
Published in
3 min readFeb 12, 2019

คิดว่าหญิงและชายเกิน 60% น่าจะชอบอ่านหนังสือ อาจจะเช่น นิยายหรือฟิค โรแมนติก คอมมาดี้ แฟนตาซี ทำนองนี้เป็นต้น (ขอยังไม่นับรวมพวกการ์ตูนนะ)

แล้วถ้าเราแบ่งย่อยมาอีกหล่ะว่า “อะ แล้วผู้หญิงวัยมนุษย์เงินเดือนที่รักการอ่านนิยายละ แบ่งเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ ?” ติ๊กต๊อกๆ

… เฉลย!

ยังไม่พบมีใครทำแบบสำรวจตรงนี้เลย

แต่ว่าวันนี้เราไม่ได้มาพูดถึงสถิติหรืออะไรทำนองนั้นหรอก มันน่าเบื่อ เราจะมาเล่าให้ฟัง ว่าหนึ่งในชะนีตำแหน่ง System Analyst วัยหาเลี้ยงชีพกับตุ่นอีก 1 ตัวว่ามีงานอดิเรกอะไรนอกเวลางาน แล้วมันทำรายได้ได้ไหม?

แหนะ…พอดูถึงว่ามีรายได้ มันก็เริ่มน่าสนใจขึ้นมานิดนึงแล้วใช่ไหมละ? เชื่อเถอะว่ามันทำรายได้จริงๆ และ อาจจะมากเท่าๆกับเงินเดือนของคุณเลย

หลายๆคนน่าจะมีแนวหนังสือที่ชอบไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น เราเองเริ่มแรกเลยจะชอบนิยายแจ่มใส เรื่อง “เด็กหอ” นี่คือนิยายเรื่องโปรดเลย มีทุกเล่ม พอโตขึ้นอีกหน่อยก็กลายเป็นติ่งเกาหลี แล้วก็มาจบที่ “นิยาย Fiction”

แต่ช่วงนั้นเป็นเด็กม.ต้นที่รู้สึกว่ารายได้มันเริ่มขาดมือ ลำพังเก็บจากค่าขนมที่ได้มากินที่โรงเรียน แถมแอบเอาข้าวกล่องมากินอีก ยังไม่พอจะเอาไปซื้ออัลบั้มของศิลปินที่เราชอบเลย เห้ยย มันคือปัญหาเลยนะแก!! อัลบั้มพรีออเดอร์ LIMITED ตอนนั้น 4 พันบาท บ้าบอ!!

แถมเพิ่มความบ้าบอเข้าไปอีก บ้าซื้ออัลบั้มไม่พอ บ้าซื้อฟิคด้วย รายได้สวนทางกับรายรับสุดๆ นั่งหงุดหงิดที่เงินขาดมืออยู่เป็นเดือน จนมาปรอทแตกตรงที่ ฟิคที่เราซื้อมาเพียงเพราะมันอมบทสรุปตอนจบ(ก็คือตอนจบอยู่ในเล่มนั้นแหละ) แล้วพบว่า ตอนจบมันไม่ควรจะเป็นแบบนี้ รับไม่ได้ รู้สึกถูกหลอกให้ซื้อ! ก็เลยตัดปัญหา

“แต่งเองแม่ง”

ตอนเป็นเด็กไม่รู้การวางพล็อตคืออะไร รู้แต่ตัวละครต้องชื่อนี้ ทำงานนี้ นิสัยแบบนี้วางภาพในหัวเสร็จเรียบร้อยตอนก่อนนอน กะว่าจะแต่งพรุ่งนี้เช้าเลย พอตื่นขึ้นมาปุป… “อ่าว…เมื่อคืนคิดไว้ว่าไงนะ?”

จากประสบการณ์แต่งฟิคที่เราอยากเอามาแบ่งปัน ก็คือ พยายามหาจุดเด่นให้ตัวละครและพล็อตของคุณ บางครั้งพล็อตตลาดเช่น “เจ้าฆ่าพ่อข้า ข้าจะฆ่าพ่อเจ้า” มันก็โคตรไม่มีอะไร แต่เราสามารถทำให้มันโคตรมีอะไรได้เพียงแค่ลองหาจุดต่าง

เพราะฉะนั้นการแต่งนิยาย เราขอแนะนำคุณเลย ถ้าคุณมีพล็อตในหัวแต่ไม่จดมัน…ลืมชัวร์

“เอ้ะ…ฟังดูมันเหมือนขั้นตอนการรับ Requirement เลยว่าไหม? เพียงแต่ลูกค้า ไม่ใช่ User หรือ Customer แต่เป็นตัวเองนี่แหละ”

ปกติ SA เรารับ Requirement มาแล้วทำยังไงต่อ? สำหรับเราก็คือมาทำเอกสารและทำ Spec จะบอกว่าเห้ยแก…มันเหมือนกันเลย

“วางพล็อตก็เหมือนวาดการ Diagramแหละ”

ไม่ได้จะพยายามเชื่อมโยงนะ แต่มันคือเรื่องจริง! ทุกครั้งที่สรุปเรื่องในหัวได้ เราจะเอามาวาดเป็น Flow Chart ว่า “พ่อเจ้ากับพ่อข้า เจอกันแล้ว แล้วยังไงต่อ?” ทำ Action ยังไง ดังนั้นเราขอสรุปในแบบความเข้าใจของเราว่า

การวาด Diagram เพื่อให้เห็น Process ของระบบฉันใด การวาด Flow เพื่อให้เห็นสถานการณ์ของตัวละครก็คืออย่างนั้นแหละ

โดยจากการสอบถาม คนแต่งฟิคบางกลุ่มก็จะวาดแผนผังพล็อตแบบนี้เหมือนกัน เพียงแต่ Use Case ต่างกันออกไป ทั้งนี้ทุกคนเห็นตรงกันว่า จุดประสงค์หลักของมันคือ เพื่อให้สถานการ์ที่เกิดขึ้นมีเหตุผล และใช่…

“นิยายก็มี Deadlock นะคุณ”

เราถึงได้กล่าวว่าการวาดแผนผังช่วยอย่างมากเรื่องไม่ทำให้พล็อตคุณตัน…คุณคงไม่อยากแต่งไปครึ่งเรื่อง คนอ่านครึ่งแสนแล้วสุดท้าย…อ้าวไปยังไงต่อ เกิด deadlock

มาถึงตรงนี้ คงแล้วแต่คนว่าจะออกแบบนิยายของคุณไปเป็นรูปทางไหน แต่ไม่ว่ายังไง เรามองว่ามันคือศิลปะ ไม่ว่าจุดจบคือแบบไหนมันก็คือความสวยงามและจุดเด่นในตัวของมัน 😄

เราแล้วจะทำกำไรกับมันยังไง ?

เราค้นพบช่องทางหนึ่งที่ตอนนี้ค่อนข้างเป็นที่นิยม (อันนี้ไม่ได้เจาะจงนะว่าเราจะแต่งในช่องทางไหน) ก็คือแต่งเรื่อง ยากสุดคือคิดชื่อเรื่องใช่ไหม? เปล่า คิด Hashtag ตะหาก

ยังไง? อะ เช่นคิดชื่อเรื่องซำ้กับชาวบ้าน คุณอาจจะเติม อิ้_อิ้ ลงไปหลังชื่อ เท่านี้ก็ไม่เหมือนแล้วจริงไหม แต่ hashtag มันจะต้องเป็นอะไรที่คนจำได้และสามารถกด tag แล้วเจอเรื่องคุณเลย! โอ้โห…

สถิติการอ่านนิยาย หนึ่งในเรื่องที่เราแต่งลงเว็บ dek-d.com

จริงๆมันคือขั้นตอนของการโปรโมทล้วนๆ มันคงรู้สึกแย่มากถ้าแต่งมาแล้วเจอจำนวนคนอ่าน 200 คนเม้นแค่ 2 (ที่เม้นแค่ว่า “ตามค่ะ”)

วันนี้เราเลยจะเสนอช่องทางหนึ่ง ซึ่งเราเชื่อว่าในโซเชียล มันจะมีกลุ่มตัวเองที่เรียกว่า “บ้าน” แฝงตัวเองอยู่ในทุกๆกลุ่ม โดยเฉพาะ Twitter เราแต่งนิยายประเภทไหน ให้ฝากบ้านประเภทนั้นโปรโมท

ตัวอย่างการโปรโมทในทวิตเตอร์

พอมีคนโปรโมทให้เป็นที่รู้จักเดี๋ยวก็จะมีคนหลงเข้ามาเองแหละ ถ้าชื่อกับ Hashtag ของเรื่องเรามันน่าสนใจ

อ่ะ มาถึงขั้นตอนการหารายได้กับมัน (ซักที)

หลังจากแต่งจบแล้ว(หรือใกล้ๆจบแต่มั่นใจว่าจบแน่ๆ) คุณสามารถติดต่อสำนักพิมพ์ได้นะ แต่ถ้าคิดว่าเอ้อ ไม่อยากได้เป็นเปอร์เซ็นต์ อยากได้กำไรคนเดียวไปเลย เราแนะนำว่าให้ติดต่อโรงพิมพ์เอง ซึ่งก็คือที่เรากำลังจะเอามาตีแผ่ให้ฟังว่า…

“มันมีขั้นตอนยังไงบ้าง?”

  1. ถ้ามั่นใจแล้วว่าจะทำ ก็เริ่มจากการประกาศบอกคนอ่านเลย ว่า “เปิด Pre หนังสือแล้วนะ” ทีนี้เราจะเริ่มรู้แล้วว่าคนที่สนใจซื้อหนังสือ มันเยอะพอจะทำกำไรให้เราได้ไหม
  2. ระหว่างนั้นก็หาโรงพิมพ์ตามที่คนรีวิว แล้วเลือกที่ตัวเองสะดวกกับมัน(ส่วนเราแนะนำว่าของ Fastbooks บริการดีมากๆ)
  3. ตกลงรายละเอียดอะไรเสร็จ ก็จะเข้าขั้นตอนการใช้สกิล Word นิดนึง นั้นคือจัดแต่งหน้ากระดาษตามที่โรงพิมพ์แนะนำ ก็คือ A5 (หรือคุณจะเจียดเงินตรงนี้จ้างคนพิสูจน์อักษรกับจัดหน้ากระดาษก็สะดวกดีนะ เพราะหลังจากเราทำงาน เราก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน แถมเขามืออาชีพกว่าเราด้วย)
  4. เมื่อได้จำนวนหน้ามาแล้ว นั้นแหละ! ราคาต้นทุนต่อเล่มของเรา สมมุติว่าเราคิดเป็นตัวอย่างง่ายๆว่า มี 300 หน้า เอา 300/2 (หาร 2 เพราะมันปริ้นหน้า-หลัง) ก็จะได้ 150 + ราคาหน้าปก หลังปก(ตามแต่เรทโรงพิมพ์) ประมาณ 30 บาท เป็น 180 บาทต่อเล่ม อ่ะ ถ้าเราขาย 300 ก็ได้กำไรแล้ว 120 บาทต่อเล่ม (ไม่รวมค่าจัดส่งนะ เพราะลูกค้าต้องจ่ายเอง)
  5. กำไร 120 ขายได้ 100 เล่มก็ปาไปเท่าไหร่แล้ววววว รวยเละ!
  6. ทีนี้พอได้ราคาที่บวกกำไรเข้าไปแล้ว ก็เอาสินค้าเราไปเลขายเลย ใช้สกิลแม่ค้า พ่อค้านิดนึง อาจจะบอกว่า จบในเว็บแต่แถมสเปเชี่ยลโมเม้นในเล่มเท่านั้น!!! หรือ ซื้อ 50 คนแรก แถม Artwork (ซึ่งตรงนี้เป็น Cost ที่เราต้องเอากำไรมาจ่ายเพิ่ม) แล้วก็รับเงินจากลูกค้ามาก่อนเพื่อเป็นทุนเอาไปจ่ายให้โรงพิมพ์ (แน่นอนว่าการทำนิยายเองมันเป็น Pre-order อยู่แล้วแหละ) แต่ ปล.เราไม่สนับสนุนให้ใช้วิธีนี้เป็นช่องทางโกงเงินนะจ๊ะ!
ตัวอย่างปกหนังสือที่จ้างน้องสาวออกแบบให้ (ดีไซน์เมื่อหลายที่ปีแล้ว)

หลังจากจ่ายทุนให้โรงพิมพ์ เก็บกำไรไว้สวยๆ รอรูปเล่มจากโรงพิมพ์มาส่งที่บ้าน แล้วแพ็คของให้ลูกค้า เป็นอันจบ

จริงๆขั้นตอนยิบย่อยยังมีอีกเยอะ แต่สรุปคร่าวๆ ขั้นตอนใหญ่ก็จะประมาณนี้แหละ ฟังดูงงๆ แต่ว่าต้องลองทำจริงๆดู มันก็มีทั้งเหนื่อยทั้งท้อแหละ แต่รวมๆแล้วพอได้เห็นหนังสือที่เราทำออกมา…

“มันโคตรภูมิใจเลย! :D”

(ซ้าย) รูปเล่มหลังทำเสร็จแล้ว (ขวา) ส่งเล่มให้ลูกค้ากับของแถมเล็กๆน้อย พร้อมรีวิวจากทางบ้าน :D

เกริ่นซะนาน บทจะจบก็จบเลยเอ้ะ! เอาไว้เราจะมาเล่าเรื่องเลี้ยงตุ่นยังไงให้เหงากว่าเดิมให้ฟัง อิ้_อิ้

จอ บอ แยกย้าย!

--

--