The Bullet Journal Method เขียนโดย Ryder Carroll
อ่านหนังสือเล่มนี้เพราะสนใจเรื่องวิธีการเรียบเรียงข้อมูล การเขียน Journal, To-do list, Short Note ทั้งหมดรวมอยู่ในที่เดียว เนื่องจากการทำ Bullet Journal จะนำทุกๆส่วนมาประกอบกันเป็นส่วนๆ (Module)
ความน่าสนใจอีกอย่างของหนังสือเล่มนี้คือ Ryder Carroll (ผู้เขียน) เป็นคนสมาธิสั้น (ADD) และยังทำงานออกแบบ Digital Product ต่างๆ ตอนที่เขียนหนังสือเล่มนี้ทำงานออกแบบ Website ผมก็เลยลองอ่านดู
หลังจากอ่านจบผมทดลองทำได้ 2 สัปดาห์ ผมคิดว่าการใช้ The Bullet Journal Method เป็นวิธีการจดบันทึกและเรียบเรียงความคิดได้ดีเลย
* The Bullet Journal Method หรือชื่อย่อคือ บูโจ ซึ่งไม่ได้เป็นภาษาญี่ปุ่น แต่เป็นคำย่อของ BU(llet) JO(urnal)
Short Note & Highlight
The Bullet Journal Method ช่วยให้เราโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญและก็กำจัดสิ่งที่ไม่สำคัญทิ้งไป อุปกรณ์ที่ใช้มีแค่สมุดจด กระดาษ และปากกา การเขียนความคิดเราออกมาเป็นข้อๆ เป็นการจัดการความคิด (Mental Inventory)
วิธีการจัดเรียงความคิด (เขียนใส่กระดาษ) แยกออกเป็น 3 แถว
เขียนทุกอย่างที่ “กำลัง” ทำอยู่ตอนนี้
เขียนทุกอย่างที่ “ควรทำ” ตอนนี้
เขียนทุกอย่างที่ “อยาก” ทำตอนนี้
คนเราส่วนใหญ่ “กำลังยุ่ง” แต่ความ “ยุ่ง” ที่ว่า ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ดังนั้นการเขเขียนเรียบเรียงความคิดออกมาจะช่วย ทำให้เราได้ใช้ความคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้น เราทำไปทำไม
ประโยชน์ของการเขียนออกมา (จากปากกาไปที่กระดาษ)
Cognitive Behavioral Therapy — CBT การเขียนระบายเพื่อบำบัด
และการเขียนก็ยังทำให้สมองเสื่อมช้าลง
โครงสร้างและวิธีการสร้าง Bullet Journal
1. Index (ดัชนี) มีไว้สำหรับเนื้อหาโดยเขียนหัวเรื่องและเลขหน้า
เขียนเลขหน้า 1–4 เขียนหัวข้อ ใส่เฉพาะเนื้อหา
2. Future Log (บันทึกอนาคต)
เขียนเลขหน้า 5–8 แบ่งหน้ากระดาษหน้าคู่ออกเป็น 6 ช่อง ใส่เดือนลงไป ใส่งานและเหตุการณ์ในอนาคต
3. Monthly Log (บันทึกประจำเดือน)
เขียนเลขหน้า 9–10 ใส่หัวข้อเป็นชื่อเดือนปัจจุบัน ใส่วันที่เรียงลงมาและงานในเดือนนั้น
4. Daily Log (บันทึกประจำวัน)
ใส่เลขหน้า ใส่วันที่นั้นๆเป็นหัวข้อ เขียนสิ่งที่ต้องทำในวันนั้น รวมถึงบันทึกประจำวัน
5. Collection (คอลเลคชั่น) เสริมขึ้นมาเพื่อบันทึกสิ่งต่างๆ เพื่อเก็บอะไรก็ได้ที่เราต้องการ) คอลเลคชั่นพิเศษเช่น เป้าหมาย หนังสือที่จะอ่าน แล้วแต่เราจะสร้าง
*การย้ายข้อมูล กรองเนื้อหาที่ไม่สำคัญออกจากสมุดเดือนละครั้ง
Rapid Logging(เทคนิคในการบันทึกให้เร็ว)
การสร้าง Bullet ต้องเขียนให้กระชับและชัดเจนเพราะเราบันทึกเพื่อให้ตนเองอ่านในอนาคต อย่าให้ความกระชับหรือจดสั้นเกินไปทำให้เวลากลับมาอ่านแล้วไม่เข้าใจ แต่ถ้าเขียนยาวเกินไปการเขียนก็จะกลายเป็นภาระในการเขียนและการกลับมาอ่านก็จะใช้เวลา
แยกประเภทการบันทึกออกมาเป็น 3 ประเภท
1. Task สิ่งที่ต้องทำ
2. Event เหตุการณ์
3. Note ข้อมูลที่จดไว้กันลืม
เวลาที่ประชุมหรือฟังบรรยายเสร็จ อย่าเพิ่งรีบออกจากห้องประชุม นั่งซักพักเพื่อปะติดปะต่อข้อมูลและความรู้ที่ได้รับมา
ครึ่งเล่มหลังๆจะเป็นตัวอย่างของการทำคอลเลคชั่นพิเศษเช่น การทำคอลเลคชั่นการเรียนรู้ การขอบคุณสิ่งที่ต่างๆ หรือการบันทึกความเช้าใจในเรื่องต่างๆ หรือการใช้แนวคิดอย่าง Sprint มาใช้กับการทำ Bullet Journal ตัวอย่างเช่น
เป้าหมายระยะยาว
“อยากทำอาหารเป็น”
เราก็แยก Sprint ที่เป็นไปได้ออกมา
1. เรียนการใช้มีด
2. เรียนรู้วิธีการจี่และการผัดอาหาร
3. เรียนรู้วิธีการซื้อผักสด
*Sprint ต่างจาก Phase คือตัว Sprint เองจะเป็นเป้าหมายเบ็ดเสร็จ และเป็นอิสระ สามารถจบได้ในการทำเป้าหมายนั้นๆ และสามารถทำจบได้ภายในระยะเวลาสั้นๆส่วนการแบ่ง Phase คือการแบ่งระยะต่างๆและไม่จบในตัว
ข้อดีของ Sprint คือถ้าเกิดความเสียหายใน Sprint หนึ่งๆไม่ได้ผล การทิ้ง Sprint นั้นๆก็จะไม่ส่งผลกับ Sprint อื่นๆ
ประโยชน์ของการจดบันทึกที่น่าสนใจอีกข้อนึงคือการจดจ่อกับสิ่งที่ต้องทำ เพื่อสร้าง “คุณภาพของเวลา” ในการทำสิ่งนั้นๆ และเราสามารถใช้การจดบันทึกเพื่อ “ทบทวน” แผนที่เราวางเอาไว้ได้
วางแผน > ทำ > ตรวจสอบ > นำสิ่งที่ได้เรียนรู้มาปฎิบัติ
สุดท้ายแล้วการจดบันทึกหรือการบริหารคุณภาพของเวลาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก็ต้องใช้ความ “สม่ำเสมอ” เพื่อทำให้เกิดขึ้น
Opinion
เป็นหนังสือที่อธิบายวิธีการสร้าง Bullet Journal อย่างเป็นระบบและสามารถยืดหยุ่นและแต่ละคนสามารถปรับใช้ได้โดยที่ไม่ต้องยืดติดกับรูปแบบเพราะมีส่วนคอลเลคชั่นพิเศษ ไปจนถึงการใช้สัญลักษณ์ในการบันทึก ครึ่งหลังของเล่มเป็นตัวอย่างคอลเลคชั่นพิเศษ และพูดถึงการบันทึก รวมทั้งแนวคิดต่างๆ อ่านแล้วสนุกดีครับ
Device
เล่มนี้ตอนแรกผมซื้อเป็น audiobook แต่มาจบที่หนังสือเป็นเล่มแปลไทยโดยสำนักพิมพ์ Bookscape เพราะว่าจะมีภาพประกอบที่อธิบายการเรียบเรียง รวมถึงการใช้สัญลักษณ์ต่างๆที่ชัดเจนกว่า
Writer
Ryder Carroll