จาการ์ตาเมืองที่มุสลิมอยู่ง่าย

Chokchai Phatharamalai
odds.team
Published in
3 min readJul 15, 2024

ผมบินไปประชุมที่จาการ์ตาประเทศอินโดนีเซียมา ฉุกละหุกเหมือนกันเพราะงานยุ่งมาก มีเวลาเตรียมตัวก่อนบินแค่ 2 วัน โชคดีที่ประเทศไทยจับมือกับหลายประเทศเรื่องวีซ่าให้เข้าออกได้ง่ายขึ้น อินโดนีเซียก็เป็นหนึ่งในนั้น ไปถึงก็ขอวีซ่า on arrival ได้เลยฟรี

ก่อนบินผมก็เก็บของตามเช็คลิสต์ที่ผมใช้ประจำตอนเดินทางต่างประเทศ พอมาถึงเรื่องเงินต่างประเทศผมก็เปิดแอพกรุงไทย Next เพื่อจะไปซื้อเงินต่างประเทศเพื่อใช้กับ travel card ตามปรกติ แล้วก็พบว่ามีแต่เงินอินเดียแต่ไม่มีเงินอินโดนีเซีย เอาหล่ะสิ เป็นวันสุดท้ายก่อนบินแล้วด้วย ว้าวุ่นเลยทีนี้ สุดท้ายจบที่แผนสองคือแลกเงินสดที่สนามบิน

เงินอินโดรูเปีย

ไปถึงก็ขอแลกไว้สัก 1 พันบาท เพราะเดินทางไปแค่ 3 วัน ได้ยินเสียงพนักงานที่เคาน์เตอร์ตอบมาว่า

พนักงาน: “ได้ 550,000 รูเปียนะครับ”

ห๊ะ!? ครึ่งล้าน!? ผมถามพนักงานกลับไปว่า ”มันคือแบงค์กี่ใบนะครับ”

ผมคงหน้าตกใจมากแหละ เห็นพนักงานตอบกลับมายิ้ม ๆ “เงินที่นั่นอ่อนมากครับ นี่ใบละแสน 5 ใบ ใบแสนใบนึงประมาณสองร้อยบาท“ พนักงานยื่นแบงค์แสน 5 ใบ แบงค์เศษอีกนิดหน่อยพร้อมกับเงินทอน 20 บาท

สรุปผมได้เรียนรู้จากทริปนี้ว่าเงินที่นั่นอ่อนมาก ใบเล็กสุดที่ผมเห็นก็แบงค์พันแล้ว บางครั้งเวลาเค้าต่อราคากัน เค้าละหลักพันไว้ในฐานที่เข้าใจด้วย เช่นถ้าเค้าบอกว่า 120 จริง ๆ เค้าหมายถึง 120,000 รูเปีย

แท็กซี่รับน้อง

ผมบินมาถึงเที่ยงคืน ผ่าน ต.ม. และศุลกากรอย่างราบรื่น แสกน QR code 2 ที กรอกฟอร์มด้วยเนตโรมมิ่งเรียบร้อย เดินลากกระเป๋าออกมาเตรียมเรียก Grab ที่เช็คกับเพื่อน ๆ มาแล้วว่าที่อินโดนีเซียใช้งานได้

พอเปิด Grab ขึ้นมา ค้นชื่อโรงแรมเสร็จก็เจอปุ่มที่ไม่เคยเจอคือปุ่ม “Grab now” ผมลองกดดูมันขึ้นมาให้ใส่โค้ดที่ได้มาจากคนขับ ผมมองไปรอบ ๆ ก็เจอคนถามว่า ”taxi ไหม ๆ“ ตลอดทาง

ตอนแรกผมเดินหลีกตลอด ไม่กล้าสบตาพวกเค้าเลย เพราะกลัวโดนหลอกฟันราคา แต่ทำไงได้ ไม่รู้โค้ดนี่นา กล้า ๆ กลัว ๆ เดินไปถามเค้าว่าใช้ Grab ได้ไหม

“ได้ ๆ ตามมาทางนี้เลย” เค้ากวักมือพร้อมกับหน้าตายิ้มแย้ม แถมมาช่วยลากกระเป๋าด้วย บรรยากาศมันคุ้นมากเลย

ไปถึงเค้าก็ตะโดนเรียกเพื่อนที่จอดรถอยู่ มีคนอีก 2 คนมาช่วยยกกระเป๋าขึ้นรถให้สรรพเสร็จ แต่ไม่มีทีท่าจะหยิบมือถือขึ้นมาเปิดโค้ดอะไรเลย ใจผมคิดว่าเอาแล้วไง โดนแน่ ๆ

แล้วคนที่กวักมือก็เริ่มสาธยาย “เพื่อนรู้ใช่ไหมว่า Grab มันยังไม่รวมค่าทางด่วนเอย ค่าที่จอดเอย”

(ค่าที่จอดคืออะไรวะ) ในใจผมคิด

“แต่ของเราเป็นราคาเหมาหมดแล้วนะ” คนนั้นสาธยายต่อ พร้อมกับเอาเมนูให้ผมดูว่าบริเวณที่ผมไป ราคาเหมาหกแสน

ผมบอกเค้าว่าไม่ได้ ผมไม่มีเงินสดมากขนาดนั้น เค้าบอก “ไม่เป็นไร มีบัตรเครดิตใช่ไหม ไปกดที่ตู้ ATM ได้ ไม่มีปัญหา”

ผมที่ไม่รู้ว่าค่ากด ATM มันเสียค่าธรรมเนียมเท่าไหร่ แถมไม่กล้าเดินออกห่างจากกระเป๋าตัวเองเพราะกลัวเค้าหนีจะยิ่งไปกันใหญ่ ผมเลยก้มหน้าก้มตาพยายามทำให้ Grab มันเวิร์ค แต่ด้วยความลนลาน ดึกแล้วด้วย ตอนนั้นประมาณตีหนึ่งแล้ว จะโทรหาเพื่อนก็เกรงใจ พร้อมกับคนขับ 3 คนล้อมหน้าล้อมหลังพยามเร่งรัดให้ผมไปกดเงินมาจ่าย

สุดท้ายเค้าก็ถามว่า “ผมมีเท่าไหร่” ผมบอกว่า 550,000 เค้าก็บอกว่าแค่นั้นก็พอ ผมบอกว่า “ไม่ได้ ถ้าผมไม่มีเงินสดติดตัวเลยจะอยู่ยังไง”

เค้าเลยบอกว่า “งั้นขอห้าแสนพอ” ผมที่รู้ทั้งรู้ว่ากำลังโดนฟัน แต่คิดเป็นเงินไทยแล้วก็ประมาณพันนึง ก็คิดว่ายอมก็ได้ ค่าแท็กซี่จากสนามบินไปโรมแรมราคาพันนึงก็แพงแหละ แต่คิดว่าโดนฟันอย่างมากก็คงไม่ถึงเท่าตัวด้วยราคานี้ เหนื่อยแล้วด้วย สมมติขนกระเป๋าเดินจากเค้ามา ถ้าหา Grab ไม่ได้ก็ไม่รู้จะไปโรงแรมยังไง สุดท้ายก็จบที่เสียเงินสดกว่า 90% ที่เตรียมมาให้แท็กซี่ฟันไปตั้งแต่ 5 นาทีแรกที่ออกมาจากสนามบิน

ผมนั่งเปิดแมพตลอดทาง กลัวคนขับพาออกนอกเส้นทาง ก็ต้องยอมรับว่าความไว้ใจมันลดลงจากสถานการณ์อ่ะนะ แต่เพราะมันไม่ใช่มิเตอร์ เรื่องพาวนคงไม่มี เพราะเราเหมาไปละ โชคดีผมมาถึงโรงแรมอย่างปลอดภัย

จากจุดนี้ผมได้บทเรียนหลายเรื่องเลย เรื่องที่จะชมตัวเองก่อนคือ ผมอ่านบรรยากาศตอนโดนหลอกฟันได้แม่นยำดี ขอบคุณแท็กซี่บ้านเราที่ฝึกฝนผมมาอย่างดี

เรื่องที่สองคือไอ้ราคา “เหมา” เนี่ย ตอนอยู่บ้านเราเองแค่ทำให้รำคาญนะ แต่พออยู่ต่างบ้านต่างเมืองมันน่ากลัวมากเลย ผมเจอสถานการณ์เลวร้ายมาหลากหลายมั๊ง ทั้งวิ่งราว ฉกชิงกระเป๋า รวมถึงรีดไถ สมองผมถึงมีพื้นที่ให้จิตนาการ worst case ได้มากมาย

การเลือกบินเที่ยวบินที่มาถึงกลางคืน แม้ค่าตั๋วเครื่องบินจะถูกกว่าเที่ยวบินกลางวัน แต่การเรียกรถหรือเดินทางต่อไปโรงแรมมี option ให้เลือกน้อยกว่ามาก และอาจจะอันตรายกว่าด้วย ครั้งนี้โชคดีที่รวมค่าแท็กซี่ที่ถูกฟันแล้วก็ยังถูกกว่าเที่ยวบินกลางวัน และผมก็ติดสอนก่อนบินเลยไม่มีเที่ยวบินอื่นให้เลือกเท่าไหร่

สรุปแล้วถ้าผมไม่ไปงงกับ Grab now แล้วกดปุ่ม booking ธรรมดา ค่าโดยสารจะเหลือ 270,000 รวมทางด่วนอีก 105,000 ก็ 375,000 รูเปีย

สุดท้ายบางทีการตกลงราคามันก็จบที่ราคาที่ผู้ซื้อผู้ขายพอใจกันแหละ ถ้าเราพอใจกับราคานี้แล้ว ไม่ต้องไปรู้ก็ได้นะว่าคนอื่นได้ราคาถูกกว่าเราเท่าไหร่ มันก็เหมือนได้รู้ว่าคนอื่นซื้อของได้ถูกกว่าเรา มันเอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ค่อยได้เพราะมันผ่านไปแล้ว

สรุปแล้ว “Grab now” เป็นฟีเจอร์ที่ใช้กับวินมอเตอร์ไซค์ คือลูกค้าเดินไปถึงวินแล้วเรียกผ่าน Grab now เลย คนขับก็จะเปิดโค้ดขึ้นมาให้เรากรอกแล้วเราก็ข้ามขั้น matching ไปขึ้นรถได้เลย คนขับ 1 คนสามารถรับลูกค้าแบบนี้ได้วันละ 3 ครั้ง

ถึงห้องพักตอนตีสอง

โรงแรมที่พักชื่อ Gunawarman เป็นโรงแรมเก่าแก่อันหนึ่ง ห้องตกแต่งได้คลาสสิกมาก ถึงดีไซน์จะเก่าแก่ แต่ดูสะอาดและไม่โทรมนะ กลิ่นหอมมากด้วย พอเข้ามาในห้องน้ำก็เจอชักโครกที่น่าประทับใจ

ชักโครกที่ Gunawarman captured by Chokchai Phatharamalai

ผมชอบดีไซน์มาก ชอบที่เค้าใช้แรงโน้มถ่วงช่วงให้น้ำแรงขึ้นเวลากดชักโครก น่าจะช่วยประหยัดน้ำได้เยอะ เข้าใจคิด

อาบน้ำเสร็จผมก็เข้านอนแบบไม่ตั้งนาฬิกาเลยเพราะเหนื่อยมาก

เช้าวันที่สอง

ตื่นเองตอน 6 โมงเช้า (จากที่ปรกติตื่นตีห้าครึ่ง) อาบน้ำแต่งตัวแล้วไปกินอาหารเช้าที่แถมมากับห้องพัก ปรกติผมกินวันละมื้อตอนเย็นนะ แต่เช้านี้ตั้งใจกินมื้อนี้แทน เพราะไม่มีเงินสดแล้ว ไม่แน่ใจว่าถ้ารอถึงเย็นแล้วจะมีปัญหาไหม เลยกินมื้อนี้แหละให้เต็มอิ่มไปเลย ถึงหาข้าวกินไม่ได้จริง ๆ ก็จะอาศัยอาหารเช้าโรงแรมนี้แหละผ่านทริปนี้ไป

ลงมาถึงก่อนห้องอาหารเปิด เลยถามพนักงานต้อนรับว่าแถวนี้มีตู้ ATM ไหม เค้าก็บอกทางมา ผมก็ลองเดินไปตามทางพร้อมเปิดแมพประกอบ

ไปถึงเห็นตู้ ATM อยู่ตรงข้าม แต่แม่เจ้า! ผมข้ามถนนไม่ได้ครับ คือทั้งรถและมอเตอร์ไซค์มันมาเป็นสายแบบไม่มีช่องให้ข้ามเลยทั้ง ๆ ที่เป็นถนนไปกลับ 2 เลนสวนกันเท่านั้น แต่รถมันเร็วมาก ไฟแดงก็ไม่มี มองซ้ายมองขวาก็ไม่มีใครให้ลอก ไม่รู้ว่าประเทศนี้เค้าทำกันยังไง ยืนรอหาจังหวะอยู่เกือบ 5 นาทีก็ยังข้ามไม่ได้ เลยทำใจเดินย้อนกลับไปตรงทางม้าลายตรงสามแยกที่ห่างไปประมาณ 200 เมตร

ยืนรอตรงทางม้าลายอยู่เกือบ 5 นาทีก็ยังข้ามไม่ได้เหมือนเดิม คือไม่มีรถไหนชะลอให้เลย มันเลี้ยวซ้ายผ่านตลอด เลี้ยวขวาก็ผ่านตลอด นี่มันอะไรกันนะ!? แถมตรงทางโค้งรถก็ไม่ค่อยเห็นเราซะด้วย ด้วยสัญชาตญาณที่ฝึกมาจากเมืองไทย คิดว่าโดนชนตรงทางม้าลายก็ไม่ได้เจ็บน้อยกว่าถนนธรรมดา เลยเลือกเดินกลับไป 200 เมตรที่ทางตรงจุดเดิมดีกว่า อย่างน้อยรถก็เห็นเราชัดกว่าหัวโค้ง

พอเดินไปใกล้ถึงจุดเดิม ผมก็เจอลุงแก่ ๆ คนนึงเดินลงไปบนถนนอย่างแช่มช้าราวกับมองไม่เห็นรถทั้งหลายที่วิ่งมาอย่างเร็ว แล้วผมก็ได้เห็นภาพที่น่าอัศจรรย์ใจ รถทั้งหลายแหวกออกหลบลุงคนนั้นราวกับทะเลแหวกออก ไม่ว่าลุงจะเดินไปถึงไหน กระแสรถก็แหวกออกเองเหมือนเป็นแม่เหล็กขั้วเดียวกับลุงเลย

พอเห็นลุงข้ามไปอย่างปลอดภัย ผมก็ได้รู้ว่าจะหาจังหวะรถว่างแล้ววิ่งเอาอย่างกรุงเทพคงไม่ได้แล้ว ผมก็เลยทำใจกล้า ๆ เดินออกไปอย่างแช่มช้า ภาพตรงหน้ามันน่ากลัวมาก ถ้าเป็นบ้านเราคือรถเร็วขนาดนี้มันต้องหยุดไม่ทันแน่ ๆ ในใจผมท่องไว้ตลอดว่า “ขอแค่ไม่ขยับตัวไว ๆ คนขับเค้าจะหลบเราเอง” แล้วกระแสรถก็แหวกผมเอง จริง ๆ หลับตาข้ามน่าจะง่ายกว่ามาก แต่ย้อนเวลากลับไปได้ก็คงไม่กล้าหลับตาข้ามอยู่ดี ถ้าใครนึกภาพไม่ออก ลองค้นคลิปข้ามถนนในเวียดนามน่าจะเห็นภาพ

สุดท้ายก็ถึงตู้ ATM เสียที ลองกดเงินผ่านบัตรเครดิต กดออกมาได้ด้วย ดีใจมาก สบายแล้ว มันดึงออกมาจากบัญชีที่ผูกไว้กับบัตรเลย ไม่เสียค่าธรรมเนียมด้วย

กลับโรงแรม เดินเข้ามาห้องอาหาร ตกแต่งแนวโบราณหรู ๆ กลิ่นหอมสดชื่นเหมือนในห้องนอน มีแสงยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา แล้วผมก็ต้องประหลาดใจว่าไม่มีไลน์บุฟเฟต์!?

ลงไปนั่งแล้วพนักงานก็ส่งเมนูให้เลือกแล้วก็บอกว่าเลือกได้ฟรี 2 อย่าง และ 1 เครื่องดื่มฟรี ผมเลือกกาแฟดำ รสชาติและกลิ่นแปลกใหม่ เดาว่าเป็นเมล็ดพันธุ์ของท้องถิ่น หอมดี กลิ่นออกฟรุตตี้หน่อย ๆ แต่รสไม่เปรี้ยวนะ ผมชอบ

อาหารสองจานใหญ่มาก เรียกว่ากินอิ่มแบบจุก ๆ เลย ผมเปิดมื้อแรกด้วยอาหารเช้าอเมริกันกับหมี่โกเรง (Mie Goreng)

อาหารเช้าที่ Gunawarman captured by Chokchai Phatharamalai

ที่เลือกอาหารเช้าอเมริกันเพราะอยากกินไส้กรอก ปรกติประเทศอื่นจะเป็นหมู ผมไม่กินหมูเลยไม่ค่อยได้กิน ที่นี่อาหารส่วนใหญ่เป็นฮาลาลเพราะมีชาวมุสลิมเยอะ เลยสบายเลย

ประชุมกับลูกค้า

ผมมีนัดประชุมกับลูกค้าตอนบ่ายโมงครึ่ง พนักงานที่ได้รับมอบหมายมาต้อนรับผมส่งข้อความมาถามว่าผมจะมาถึงประมาณกี่โมง ผมเลยเปิดโปรแกรม Muslim Pro เพื่อเช็คเวลาละหมาด Zohor (เวลาเที่ยง) ผมเห็นว่าเวลาละหมาดคือเที่ยงครึ่ง ผมเลยเลื่อนเวลานัดหมายออกไป จากที่ตั้งใจจะไปถึงบ่ายโมง ก็เลื่อนไป 13:15 เพื่อให้เค้าไม่ต้องรีบมารับผมหลังละหมาดเสร็จ ผมได้เรียนรู้จากเพื่อนร่วมงานชื่อเจนว่า เวลานัดหมายกับลูกค้า การให้เค้ามารับก่อนเวลาอันควรก็อาจจะไปกดดันเค้าได้เช่นกัน ถ้าจุดนัดหมายอยู่ในตึกเดียวกัน เจนจะบอกเค้าว่ามาถึงแล้ว 15 นาทีก่อนเวลานัด แม้ว่าจริง ๆ จะไปถึงก่อนเป็นชั่วโมงก็ตาม

ขอทำความสะอาดได้ไหมคะ

การประชุมผ่านไปได้ด้วยดี ผมได้รับคำชมด้วยว่าอธิบายเรื่องยาก ๆ ให้เข้าใจได้ง่ายมากด้วยการยกเรื่องราวมาเปรียบเทียบ และยังชมว่าทักษะภาษาอังกฤษผมดีมากอีกด้วย

ผมเห็นผู้เข้าประชุมบางท่านไม่ค่อยคล่องภาษาอังกฤษ ผมเลยจงใจเลือกใช้คำศัพท์ง่าย ๆ มากกว่าคำสละสลวย ทุกคนจะได้ไปด้วยกัน และก็ลดความเร็วลงเล็กน้อยด้วย

จากคำชมที่ได้รับ ผมนี่ลอยเลย เรียกว่าตอนขึ้นตึกนี่เดินขึ้นไป แต่ตอนลงนี่ลอยลงมา

กลับมาถึงห้องพักที่โรงแรมผมก็นั่งทำงานไปพลาง ๆ สักพักได้ยินเสียงเคาะและเสียงเปิดประตู พร้อมกับตะโกนถามว่า “ขอทำความสะอาดได้ไหมคะ?” จากจุดที่นั่งทำงานริมหน้าต่างมองไม่เห็นประตูหน้าห้อง “เชิญเลย” ผมตะโกนกลับไป กะว่าพอพนักงานเข้ามาแล้วจะถามเค้าว่า ขอนั่งทำงานพลาง ๆ ได้ไหม ถ้าอยากให้ขยับตอนไหนก็บอกได้เลย แต่ผมกลับพบว่าไม่มีพนักงานเข้ามา

ผมนั่งทำงานอยู่ 2 ชั่วโมงจนถึงหนึ่งทุ่ม พนักงานทำความสะอาดก็ยังไม่เข้ามา ผมเก็บคอมพิวเตอร์แล้วตัดสินใจพักไปหาของกินก่อน เดี๋ยวดึกแล้วจะหาอะไรกินไม่ได้ อุตส่าห์กดเงินสดมาแล้ว ขอลองสตรีทฟู๊ดที่นี่สักหน่อย

พอระหว่างเดินพักผ่อนไปร้านสะเต๊ะที่มีคนแนะนำมาก็นึกออกมาได้ว่า พนักงานทำความสะอาดต้องเป็นหญิงสาวชาวมุสลิมแน่เลย เพราะตามหลักศาสนาห้ามอยู่ห้องเดียวกับผู้ชายที่ไม่ใช่สามีหรือคนในครอบครัวตามลำพัง จริง ๆ แล้วคำว่า “ขอทำความสะอาดได้ไหมคะ?“ แปลว่า ”ช่วยออกไปจากห้องสักครู่ได้ไหมคะ จะทำความสะอาด“ นี่เอง

ไปถึงร้านสะเต๊ะชื่อ “Satae Padang Ajo Ramon” อร่อยดี น้ำราดไม่ใช่ซอสถั่วเหมือนบ้านเรา เป็นแกงรสคล้าย ๆ แกง Nahari (สตูว์เผ็ด) ของปากีสถาน แล้วก็มีอะไรไม่รู้ ขาว ๆ รสชาติสดชื่น ๆ หน่อยไว้ตัดเลี่ยนด้วย อร่อยดี

สะเต๊ะที่ Satae Padang Ajo Ramon captured by Chokchai Phatharamalai

แล้วก็แวะซื้อซาลาเปา ที่นี่เรียกว่า บ๊ะเปา (Bapao) ไส้ไก่แผงลอยข้าง ๆ ด้วย ที่นี่อะไรก็ฮาลาล หาของกินง่ายดี เค้าให้ซอสพริกมากินกับซาลาเปาด้วย แต่ผมไม่ได้ใส่ กินเปล่า ๆ ก็อร่อยละ ลูกละ 20 บาท

เดินกลับมาถึงห้องก็พบว่าห้องทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว สรุปผมก็ไม่ได้รู้ว่าที่ผมเดาว่าพนักงานทำความสะอาดเป็นมุสลิมจริงไหม แต่ก็คาดว่าน่าจะเดาถูกแหละ ไม่ได้เห็นหน้ากันเลยก็เมคเซนส์แล้ว

จบวันแรก อาบน้ำนอน พรุ่งนี้จองไกด์ไป walking tour ไว้ก่อนเดินทางกลับไทย เดี๋ยวค่อยมาเล่าต่อเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่ผมได้เรียนรู้นะ

อ้างอิง

--

--