ทำเป็นธรรมชาติต่างกับทำเป็นนิสัย
Natural vs. habitual
สองคำนี้ ฟังดูผิว ๆ แล้วผมพบว่าคล้ายกันมากเลย เพราะก่อนเรียน NVC ทำเป็นธรรมชาติของผมหมายถึงทำตามสิ่งที่เป็นธรรมชาติของตัวผม ก็เหมือนทำตามนิสัยที่ผมเคยชินนั่นแหละ
เป็นธรรมชาติ
พอได้เรียน NVC ผมพบมุมมองใหม่ของคำว่าทำเป็นธรรมชาติ สิ่งที่ทำแล้วเป็นธรรมชาติ คือ ทางเลือกที่ไม่รุนแรง ทางเลือกที่อ่อนโยน ทางเลือกที่ส่งเสริมพลังชีวิตและสร้างความสัมพันธ์
ส่วนทางเลือกที่ทำเพื่อตามกฏ, ตามวินัย หรือตามหลักการของสังคมนั้นเป็นการฝืนทำ เป็นการฝืนธรรมชาติ
ผมไม่ได้คัดค้านการทำตามกฏหรือส่งเสริมความวุ่นวายนะ แต่การทำตามกฏแล้วให้เหตุผลว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือควรกระทำ มันปิดกั้นไม่ให้เราได้ทำความเข้าใจว่าภายใต้ความพยายามฝืนนั้น มีความต้องการอะไรที่ไม่ได้รับการตอบสนอง
ทุกวันนี้ผมก็ยังให้คุณค่ากับการทำตามกฏ แต่เป็นหลังจากที่ผมพิจารณาแล้วว่าตอนรู้สึกฝืน ความต้องการของตัวผมเองที่ไม่ได้รับการตอบสนองถ้าจะเลือกทำตามความต้องการของสังคมคืออะไร แล้วถ้าผมยังเลือกที่จะอดทนทำตามกฏ แปลว่าการทำตามความต้องการของสังคมเช่น ความมีระเบียบวินัยนั้น ก็มีความต้องการส่วนตัวของผมซ่อนอยู่ในนั้นเช่นกัน เช่น ความต้องการที่จะฝึกฝนหรือความต้องการที่จะเสียสละเพื่อสังคมเป็นต้น
ผมพบว่าพอผมฝึกที่จะไม่หยุดแค่ให้ความถูกต้องเป็นเหตุผล แล้วไปหาความรู้สึกและความต้องการ ผมพบว่าผมรู้จักทั้งตัวเองและผู้คนอื่น ๆ อีกมากมาย และช่วงเวลาที่เราได้แลกเปลี่ยนความรู้สึกและความต้องการก็ยังช่วยสานสัมพันธ์ให้เรารู้จักกันมากขึ้นด้วย
เพราะเหตุนี้ สำหรับผมตอนนี้ทางเลือกที่เป็นธรรมชาติ คือทางเลือกแห่งปัญญา ทางเลือกที่เติมพลังชีวิต ทางเลือกที่ช่วยสานสายสัมพันธ์ และเหตุผลที่ทางเลือกนี้เหมาะกับคำว่า “เป็นธรรมชาติ” เพราะ สิ่งที่เป็นธรรมชาติจะทำได้อย่างยั่งยืน
เป็นนิสัย
ก่อนและหลังเรียน NVC นิยามของการทำเป็นนิสัยของผมไม่เปลี่ยนแปลง คือ การทำซ้ำ ๆ จนทางเลือกนั้นเป็นอัตโนมัติ เป็นการเดินตามใยประสาทในสมองที่สร้างทางเลือกนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระบวนการตัดสินใจเลือกนี้ไม่ผ่านสติสัมปชัญญะของผมเลย มองอีกมุมว่าในชั่วขณะนั้นเราไม่มีทางเลือกเลยก็ได้
แก้นิสัยอย่างไร?
เมื่อก่อนผมเคยมีนิสัยที่จะพูดจาแรง ๆ กับลูกเวลาเจออะไรที่ไม่ได้ดังใจ อาจารย์ผม (พี่หลิ่ง) สอนผมว่า ใบประสาทเหมือนทุ่งหญ้า ทางที่เราเลือกประจำ ๆ จะโดนย่ำจนหญ้าตายหมด มองไปราวกับมีทางเลือกทางเดียว เป็นปรกติที่ท่ามกลางความเครียด คนเราจะเลือกทางที่คุ้นชิน แม้ว่าทางนั้นจะไม่เวิร์คก็ตาม เสร็จแล้วผมก็มานั่งตำหนิตัวเองในพฤติกรรมที่ไม่ควรทำ ซึ่งการตำหนิตัวเองก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ส่งเสริมพลังชีวิตเลย ทางเลือกที่ดีกว่าคือถ้ารู้ตัวว่าตำหนิตัวเอง ให้ใช้พลังงานตอนนั้น นั่นหลับตาแล้วจินตนาการภาพความสำเร็จว่าพอเจอลูกทำอะไรขัดใจ ผมอยากสื่อสารกับลูกอย่างไร การทำแบบนั้นเป็นการเริ่มสร้างทางใหม่ขึ้นมาในใยประสาทของผมแล้ว
ผมเริ่มจากนั่งมโนภาพผมลงไปนั่งยอง ๆ ให้อยู่ระดับสายตาเดียวกับลูก มองด้วยสายตาที่อ่อนโยน พูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลว่าเห็นพฤติกรรมของลูกแล้วผมเป็นห่วงอย่างไร ค่อย ๆ อธิบายให้ลูกเข้าใจ แล้วพรุ่งนี้ตื่นมา ก็เผลอดุลูกอีก
แต่พอมโนซ้ำแล้วซ้ำเล่า วันหนึ่งภาพที่เคยมโนไว้ก็เป็นจริงขึ้นมาในชั่วขณะที่ตึงเครียด แต่ได้แค่ 10% นะ แต่ทำไปเรื่อย ๆ มันก็ค่อย ๆ เพิ่ม จนทุกวันนี้ กว่าครึ่งทำได้อย่างที่เคยมโนไว้แล้ว
สรุป
ทางเลือกที่เป็นธรรมชาติคือทางเลือกที่เสริมสร้างชีวิต ส่วนทางเลือกที่เป็นนิสัยก็เหมือนไม่มีทางเลือกนั่นเอง