นอนให้ลืม

Chokchai Phatharamalai
odds.team
Published in
2 min readDec 13, 2021
Photo by Aleksandar Cvetanovic on Unsplash

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมเล่าเรื่องพัฒนาการของสมองที่เกิดขึ้นตอนนอนไปแล้ว และท้ายบทความผมก็เกริ่นไว้ว่าความเชื่อของผมเรื่อง neuro plasticity หรือความเชื่อที่ว่าสมองของเราสามารถพัฒนาได้ไม่หยุดยั้งมันมีที่มา วันนี้ผมจะมาแบ่งปันว่าทำไมผมถึงเชื่อเรื่องนั้น

คอร์ส Self Sabotage

ผมมีโอกาสไปเรียนคอร์สที่ชื่อว่า Self Sabotage (แปลว่าการบ่อนทำลายตัวเอง) ซึ่งก่อนไปเรียนเค้าให้ ลองยกตัวอย่างพฤติกรรมที่มันส่งผลเสียต่อชีวิตผมในระยะยาวมาหนึ่งอัน ซึ่งผมนึก ๆ ดู ก็เขียนลงไปว่า สูบบุหรี่

เมื่อสมัยเรียนผมติดบุหรี่ ตอนสูบเยอะ ๆ คือสูบวันละ 2 ซอง ตอนหลังก็พยายามคุมให้เหลือแค่วันละซอง แล้วก็สูบเท่านั้นเรื่อยมา จนกระทั่งหลังแต่งงานกับภรรยาได้ปีนึง ภรรยาก็เอาบุหรี่ไฟฟ้ามาให้ แล้วบอกผมว่า หลังจากวันนี้ให้สูบสิ่งนี้แทน เพราะเธอเชื่อว่ามันดีกับสุขภาพมากกว่า

ผมใช้เวลาประมาณสองเดือนในการปรับตัวให้ชินกับบุหรี่ไฟฟ้า จริง ๆ ผมรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่อาทิตย์แรกแล้วแหละ จากที่สูบไปบ่นไปว่าบุหรี่ไฟฟ้ามันไม่เหมือนบุหรี่จริง พอผ่านไปสัปดาห์นึงผมก็สังเกตเห็นตัวเองค่อย ๆ เลิกบ่นไป ผมเข้าใจว่านั่นคือช่วงเวลาที่ร่างกายผมเลิกทาร์ที่อยู่ในบุหรี่ เพราะในบุหรี่ไฟฟ้ามันไม่มี

แต่บุหรี่ไฟฟ้ายังมีนิโคตินอยู่ และผมก็พยายามลดปริมาณนิโคตินเรื่อยมา จากสูบแบบ high nicotin เป็น medium เป็น low จนหลัง ๆ คือเอา low ผสมกับ non nicotin เพื่อสูบ กระบวนการทั้งหมดนี้ใช้เวลาอีก 2 ปีหลังจากเปลี่ยนมาสูบบุหรี่ไฟฟ้า แต่แล้วพัฒนาการของผมก็หยุดอยู่แค่ตรงนั้น ไม่สามารถไปสูบแบบ non nocotin ล้วน ๆ ได้สักที

หลัง ๆ ผมเข้าใจตัวเองมากขึ้นว่า จริง ๆ แล้ว ปัญหาเรื่องติดบุหรี่ของผมมันซับซ้อนกว่าแค่สารเสพย์ติด เพราะ ปัญหาที่สำคัญจริง ๆ แล้ว คือผมจัดการความเครียดตัวเองไม่เป็น

ผมเริ่มสูบบุหรี่มาตั้งแต่ม. ปลาย สูบมาตลอด เมื่อไหร่เครียดก็สูบ พอสูบเสร็จ ความเครียดก็ถูกกดทับไว้จนผมไม่รับรู้ถึงความเครียดในร่างกาย ทำให้ผมใช้ชีวิตแบบนั้นมาตลอด ผมไม่เคยต้องทนกับความเครียดเลย เพราะผมใช้บุหรี่ลบความรู้สึกนั้นไป

พอพยายามจะเลิก แล้วเจอความเครียดขึ้นมา ผมไม่รู้จะจัดการกับมันอย่างไร ผมไล่ถามคนอื่นที่ไม่สูบบุหรี่ว่าเวลาเครียดทำยังไง บางคนก็ฟังเพลง บางคนก็นอน บางคนก็เล่นของเล่น ผมลองทำตามทุกคำแนะนำที่ได้มา ไม่มีอันไหนที่สามารถลบความรู้สึกเครียดออกไปได้ภายใน 10 วินาทีเหมือนสูบบุหรี่เลย

Sacred vows

ผมไปเรียนคอร์สนั้นพร้อมกับกระดาษที่เขียนคำว่าสูบบุหรี่ลงไปเป็นการบ้านก่อนเริ่มคอร์ส สิ่งที่ผมไม่รู้เลยคือตลอดเวลา 2 วันที่เรียน จะเป็นกิจกรรมต่อเนื่องที่ขุดจากคำในกระดาษลึกลงไปเรื่อย ๆ

ในคอร์สอาจารย์สอนว่า พฤติกรรมทำร้ายตัวเองทั้งหมดนั้น ล้วนเกิดจากสำบานศักดิ์สิทธิ์ที่ตัวเราตอนเด็กได้ทำเอาไว้ เพราะตัวเราในตอนเด็กมีคุณสมบัติเหมือน ๆ กัน 3 ประการคือ

  1. จะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้าขาดความรัก
  2. ไม่มีอำนาจอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นแรงกาย, กำลังทรัพย์ หรือ สถานะ
  3. แต่เรามีหัวใจที่พร้อมจะเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อคนทั้งโลก

และจากคุณสมบัติแบบนี้ เมื่อเจอเรื่องสะเทือนใจ เราอยากจะเข้าไปช่วยแต่ไม่มีกำลังอำนาจอะไรเลย เลยใช้สิ่งเดียวที่เรามีนั่นคือชีวิตทั้งชีวิตเพื่อแบกรับอะไรสักอย่างที่มันเกินกำลังที่เด็กน้อยจะรับไว้ได้

แล้วสิ่งนั้นก็กลายเป็นพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์ที่เราแบกรับมาตลอดชีวิต โดยที่เราลืมไปแล้วด้วยว่าเราไปสร้างมันไว้กับใครตั้งแต่เมื่อไหร่

พันธะสัญญาศักดิ์สิทธิ์ที่ผมได้มาจากผลของกิจกรรมของผมคือ

ผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้อายุขัยตัวเองสั้นลง เพื่อเป็นการให้ความเคารพกับพี่สาวฝาแฝดที่ไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิต

สังเกตว่าผมใช้คำว่าได้มาจากผลของกิจกรรม เพราะ สิ่งนี้คือสิ่งที่คนในกลุ่มผลัดกันเดาให้ผม แล้วให้ผมเลือกเอาจากแรงสั่นสะเทือนในร่างกายว่าอันไหนมันโดน ประโยคด้านบนผมไม่ได้คิดเอง ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันถูกไหม มันถูกเดามา แต่ประโยคนี้ทำให้ผมสะเทือนใจทุกครั้งที่ได้ยิน แม้ตอนนี้ที่พิมพ์มันออกมาก็ยังเป็น

ผมมีพี่สาวฝาแฝดตอนเกิด แต่วิทยาการสมัยนั้นไม่มีอัลตร้าซาวน์ ต่อให้มีก็เกินกำลังทรัพย์บ้านผม ทำให้ไม่มีใครรู้เลยว่าในท้องแม่มีพี่สาวผมอีกคน ตอนผมคลอดออกมา พี่สาวผมก็ยังอยู่ในท้อง กว่าแม่จะเจ็บท้องอีกทีแล้วหมอจะคิดออกว่ามีเด็กแฝด พี่สาวผมก็ไม่อยู่แล้ว

สำหรับคนที่กำลังสงสัยว่าผมออกมาก่อนทำไมไม่เป็นพี่ บ้านแม่ผมเชื่อว่าสำหรับเด็กแฝด คนเป็นพี่จะถีบน้องออกมาก่อน

กิจกรรมสุดท้ายในคอร์สคือเค้าให้ผมไปหาเพื่อนร่วมชั้นที่ผมคิดว่ามีพลังงานใกล้เคียงกับพี่สาวผมที่สุด แล้วให้ผมพูดคำสาบานศักดิ์สิทธิ์ของผมออกไป แล้วให้คนนั้นตอบอะไรก็ได้ตามที่เค้ารู้สึก สิ่งที่ผมได้ยินคือ

ขอบคุณที่ทำเพื่อพี่ตลอดมา และพี่อยากให้จั๊วะได้ใช้ชีวิตอย่างมีอิสระตามที่จั๊วะคู่ควร

แล้วน้ำตาผมก็ไหลออกมา

หลังจากกิจกรรมนั้น ผมก็เริ่มปวดท้ายทอยนิด ๆ แล้วก็ปวดมากขึ้น ๆ แต่ไม่ได้มากขนาดที่ทนไม่ไหวจนต้องกินยาแก้ปวด แค่ปวดนิด ๆ เหมือนมันทำงานหนักมากเฉย ๆ โชคดีที่หลังจากนั้นอีก 2 วันเป็นวันหยุดพอดี ผมไม่ต้องไปทำงาน ก็เลยพักผ่อนเอา ไม่ต้องกินยา พอผ่านไป 2 วันอาการปวดหัวก็หายเอง

หลังจากอาการปวดหัวหายไป ก็มีสิ่งแปลก ๆ เกิดขึ้น นั่นคือผมเริ่มลืมสูบบุหรี่ ในบางมื้อที่สูบเป็นประจำมาตลอดสิบปี

สำหรับคนที่ติดอะไรซักอย่าง จะรู้ดีว่าถ้าเราลืมเสพ แปลว่าเราเริ่มเลิกมันได้แล้ว พอผมรู้ตัวว่าลืมเป็นครั้งที่สองเท่านั้นแหละ ผมก็ทิ้งทั้งบุหรี่ไฟฟ้า น้ำยาที่มีทั้งหมดที่พกอยู่ลงถังขยะทันที แล้วพอถึงบ้าน ก็ไปเอาแท่นชาร์จ อุปกรณ์สำรองทั้งหมดทิ้งไปด้วย และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่ผมสูบบุหรี่

จากวันนั้นถึงวันนี้ผ่านไปประมาณ 5 ปีแล้ว ผมไม่เคยอยากกลับไปสูบมันอีกเลย สำหรับผม คอร์สนี้มันมหัศจรรย์มาก ผมอธิบายไม่ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับผม จากพฤติกรรมทำร้ายตัวเองที่ถูกคิดขึ้นมาเล่น ๆ ไม่ได้จริงจังอะไรมาก เพราะไม่รู้ว่าจะต้องอยู่กับมันทั้งคอร์ส จนกระทั่งคำสัญญาศักดิ์สิทธิ์ที่เพื่อน ๆ ในกลุ่มเดากันขึ้นมา จนคำพูดของเพื่อนร่วมชั้นที่ลองสวมอินเนอร์เป็นพี่สาว ทุกอย่างในนั้นไม่เห็นมีอะไรจริงเลย สิ่งที่ผมรู้ว่าจริงมีแค่แรงสั่นสะเทือนตอนได้ยินคำเหล่านั้นที่จริง น้ำตาที่ไหลออกมาที่จริง อาการปวดหัวหลังจบคอร์สที่จริง และทุกวันนี้ที่ผมเลิกบุหรี่ได้นั้นเกิดขึ้นจริง

ผมเพิ่งจะมาเห็นแสงรำไรที่พอจะอธิบายได้ตอนมาอ่านหนังสือเรื่อง Why we sleep ตอนที่เค้าบอกว่าตอนหลับลึก (NREM Sleep) สมองเราจะไปลบเส้นใยประสาทที่ไม่จำเป็นแล้วทิ้ง จากความเข้าใจของผม ถ้ามันเป็นเส้นทางสู่ความทรงจำ เราก็จะจำเรื่องนั้นไม่ได้ ถ้าเป็นเส้นทางสู่พฤติกรรม พฤติกรรมนั้นจะจางลง เปิดโอกาสให้เราให้เลือกพฤติกรรมอื่น ๆ บ้างตอนเราได้เดินมาเจอทางแยกของพฤติกรรมนี้ในเช้าวันถัดไป

นอกจากนี้ ตำแหน่งท้ายทอยเป็นสมองส่วนที่ถูกพัฒนาก่อนวัย 3 ขวบ เป็นส่วนที่เหมือนฮาร์ดแวร์ของสมอง เป็นส่วนที่หลัง 3 ขวบจะพัฒนาได้ยากแล้ว เหมือนกับที่เวลาเราฝึกภาษาใหม่ ๆ หลัง 3 ขวบก็จะฝึกสำเนียงสู้ฝึกตั้งแต่เล็ก ๆ ไม่ได้ เพราะลิ้นแข็งแล้ว (ใยประสาทในการควบคุมลิ้นถูกพัฒนาก่อน 3 ขวบ) แต่การปวดหัวที่ท้ายทอยของผมชวนให้ผมคิดว่าความทรงจำเรื่องสัญญาศักดิ์สิทธิ์นี้อยู่ลึกมาก และการที่มันเกิดกับผมตอนอายุสามสิบกว่าซึ่งเกินสามขวบมาไกล ให้ความหวังผมว่าถ้าถูกกระตุ้นอย่างถูกวิธี สมองทุกส่วนก็ยังปรับเปลี่ยนและพัฒนาได้ไม่สิ้นสุด

เพราะแบบนี้ผมถึงเชื่อ เชื่อใน nero plasticity เชื่อว่าคนเราพัฒนาได้ไม่สิ้นสุด เชื่อว่าไม่มีใครแก่เกินเรียน เชื่อว่าทุกพฤติกรรมแก้ไขได้ถ้าเรารู้วิธีสื่อสารกับสมองว่าอะไรให้เก็บ อะไรให้ลบ เชื่อว่าโลกนี้ไม่มีคนที่ยาก มีแต่คนที่ผมไม่มีทักษะเพียงพอที่จะสื่อสารถึงใจเขา

บทความที่เกี่ยวข้อง

--

--