ผลการลดความอ้วนด้วยการกินคีโต
ผมพยายามลดไขมันมานาน ด้วยการนับแคลอรี่ พยายามกินน้อยกว่าใช้ ออกกำลังกายตอนเช้า และหลีกเลี่ยงการกินน้ำตาลหลังบ่ายสาม ซึ่งมันช่วยให้ผมควบคุมน้ำหนักให้อยู่เท่าเดิมได้ แต่พอพยายามจะลดมันยากเหลือเกิน
เร็ว ๆ นี้ผมเปลี่ยนมาทำ IF (Imitent Fasting) คู่กับการกินคีโต ซึ่งก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
วันนี้จะมาเล่าคร่าว ๆ ว่าผมได้เรียนรู้อะไรบ้าง
ออกกำลังกายง่ายขึ้น
ปรกติเมื่อก่อน ตอนเช้าก่อนออกกำลังกาย ผมจะไม่ค่อยมีแรง ผมพยายามจะออกกำลังกายตอนท้องว่างหลังตื่น เพราะตอนนั้นร่างกายน่าจะใช้น้ำตาลในเลือดหมดแล้ว จะได้ดึงไขมันมาใช้ แต่พอออกกำลังกายก็ไม่ค่อยมีแรง บางครั้งก็เลยกินขนมปังโฮลวีทไปซักสองแผ่น ซึ่งแคลอรี่ก็พอ ๆ กับที่ออกกำลังกายพอดี
แต่พอเปลี่ยนมากินคีโต ไอ้อาการไม่ค่อยมีแรงไม่เป็นแล้ว ตื่นมารู้สึกมีกำลังเยอะดี ออกกำลังกายได้เต็มที่ขึ้น
คุมอาหารง่ายขึ้น
เมื่อก่อน โดยเฉพาะตอนเย็น ๆ ที่ผมตั้งใจจะไม่ทานน้ำตาลแล้ว บางครั้งก็อยากกินขนมหวาน บางครั้งมีคนชวน จะกินแค่คำสองคำมันอดใจยากมาก นาน ๆ ทีก็หลุดกินไม่บันยะบันยังเหมือนกัน ซึ่งน้ำตาลที่กินก่อนเข้านอนนี่แทบจะกลายเป็นไขมันสะสมวันรุ่งขึ้นอย่างชัดเจนมาก เรียกว่าร่างกายผมเก็บสะสมพลังงานเรียบเลย
พอมากินคีโต ผมก็กินขนมคีโตนะ พวกเค้กช็อกโกแลตและไอศกรีมคีโต (ผมชอบกินของหวาน) แล้วมื้อเย็นก็กินเต็มอิ่ม เพราะไม่ต้องนับแคลอรี่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว แค่ระวังไม่กินเยอะจนจุก เพราะเดี๋ยวนอนแล้วแน่นท้อง นอนไม่หลับเฉย ๆ
ปรกติผมจะกินถึงสองทุ่ม แล้วก็อดไปจนถึงเที่ยงวันถัดไป ตอนสาย ก่อนมื้อเที่ยงมีหิวบ้าง แต่พอทำงานเพลิน ๆ ก็ไม่ได้ลำบากอะไร หลังจากเที่ยงก็กินตามใจปากจนถึงสองทุ่ม ไม่ต้องคอยนับเวลาทานของหวานแล้ว โดยรวมรู้สึกว่าใช้ชีวิตง่ายขึ้น
ไม่ต้องนับแคลอรี่อีกต่อไปแล้ว
หลังจากกินคีโตและทำ IF ตอนกินก็ไม่ต้องนับแคลอรี่แล้ว แต่เพราะเคยนับมาก่อน ก็พอจะประมาณได้ว่ากินเข้าไปกี่แคลอรี่ ซึ่งมันมากกว่าเมื่อก่อน มาก เพราะของที่กินเป็นของทอด ๆ มัน ๆ เยอะ ซึ่งช่วงแรก ๆ ก็มีไขมันสะสมเพิ่มขึ้น body fat จาก 19% เพิ่มเป็น 21% น้ำหนักก็ขึ้นตามไปด้วยประมาณ 2–3 กิโลกรัม
แต่พอทำไปซักเดือน น้ำหนักก็ตกลงมาเท่าเดิม แล้วพอผ่าน 1 เดือนมา ก็เริ่มลดลงกว่าก่อนเริ่มทานคีโตกับทำ IF ละ เดี๋ยวจะไปลองตรวจเลือดดูว่าค่าเลือดเป็นอย่างไรบ้าง
ตอนนี้ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า พอกินคีโตแล้วไม่ต้องนับแคลอรี่เพราะว่าร่างกายกำจัดไขมันที่เกินจำเป็นออกมาพร้อมของเสีย หรือว่าจริง ๆ แล้วพอกินไปเกิน เราก็กินมื้อถัดไปน้อยลดตามธรรมชาติ เพราะค่าคีโตนในเลือดทำให้เราไม่อยากอาหารกันแน่
แต่สรุปว่าการไม่ต้องมาคอยระวังว่ากินไปกี่แคลอรี่แล้วกันแน่ ทำให้ไม่ต้องคิดจุกจิกไปอีกหลายเรื่องเลย แต่ก็จะมีนะ บางทีที่อยากกินของที่คนกินคีโตกินไม่ได้ เช่น ผลไม้เป็นต้น แต่รู้สึกห้ามใจง่ายกว่าตอนยังกินแป้งแล้วอยากกินน้ำตาลมาก น่าจะเป็นเพราะช่วงนี้ระดับอินซูลินต่ำมาก เพราะไม่ได้กินน้ำตาลเลย
สรุป
ผมคิดว่าการลดความอ้วน (ลดไขมัน) ด้วยการกินคีโตก็เป็นวิธีหนึ่งที่ผมชอบ เพราะไม่ว่าจะใช้วิธีใดในการลดความอ้วน สุดท้ายก็ต้องให้ร่างกายเข้าคีโตซิส (ดึงไขมันสะสมมาใช้) อยู่ดี ซึ่งการกินคีโตให้ร่างกายเราเข้าโหมดนี้ตลอดเวลามันไม่ต้องคอยสู้กันเหมือนกับเมื่อก่อนตอนกินแป้ง
เพราะเมื่อก่อนตอนที่ยังกินแป้ง จะมีฮอร์โมนอินซูลินคอยฉีดออกมาให้ผมอยากน้ำตาล ผมคิดว่าร่างกายผมมันจำได้ด้วยว่าไขมันที่เหลือนี้เป็นอาหารสำรองที่จำเป็นและไม่อยากใช้ จึงคอยฉีดอินซูลินให้ผมกินน้ำตาลเติมเข้าไปเรื่อย ๆ เพื่อไปสะสมเป็นไขมันชดเชยส่วนที่หายไป มันเลยเหมือนต้องงัดกลยุทธ์ต่าง ๆ มาสู้กับกลไกสะสมพลังงานของร่างกายตัวเองตลอดเวลา
พอกินคีโตแล้วร่างกายอยู่ในโหมดคีโตซิสตลอดเวลา ทำให้จังหวะที่ต้องสู้กับใจตัวเองน้อยลงมาก รู้สึกว่าแบบนี้ง่ายกว่าเมื่อก่อนเยอะ
ไว้ถ้าได้ตรวจเลือดเมื่อไหร่จะเอาผลลัพธ์มาเล่าให้ฟังนะครับว่าสุขภาพดีขึ้นไหม