ศิลปินกับหัวหน้า

Chokchai Phatharamalai
odds.team
Published in
2 min readAug 15, 2019

พอเป็นโค้ชแล้ว ก็มีโอกาสได้ทำงานใกล้ชิดกับผู้บริหารระดับสูงมากขึ้น ผมเคยจินตนาการมาตลอดว่าไม่มีใครอยากอยู่ตำแหน่งสูง ๆ หรอก เพราะยิ่งสูงยิ่งหนาว :P

การที่ตำแหน่งสูงขึ้น มันได้อย่าง เสียหลายอย่างเลย เพราะเวลาอยู่ตำแหน่งสูงขึ้น ความคาดหวังก็จะมากขึ้นตามรายได้ที่สูงขึ้นของเรา องค์กรจะไม่คาดหวังให้เราลงมือทำงานได้ดีอีกต่อไป เพราะ impact ของการที่คนคนหนึ่งเร็วร้อย มันน้อยกว่าการสร้างทีมของคนสิบคนที่เร็ว 30 มากมายนัก

จั๊วะที่เป็นศิลปิน

ความสุขของศิลปินอยู่ในการออกแรงทำอะไร แล้วก็ได้ feedback ทันที เช่น กดชัตเตอร์แล้วก็เห็นรูปทันที รวมไปถึงโอกาสที่จะได้เห็นรอยยิ้มของผู้คนจากแรงที่เราออก มันเป็นอภิสิทธิ์ของคนที่ทำงานใกล้ชิดกับหน้างานเท่านั้น สำหรับหัวหน้า ยิ่งระดับสูงเท่าไหร่ เราก็ยิ่งอยู่ห่างไกลรอยยิ้มเท่านั้น

จั๊วะที่เป็นหัวหน้า

จั๊วะที่เป็นหัวหน้า ถ้าต้องเลือกระหว่าง ทำ invoice กับลงไป pair กับทีมเพื่อแก้ปัญหา technical ผมเลือกทำ invoice ก่อน

เพราะเคยได้บทเรียนที่มัวแต่ทำงาน รู้สึกตัวอีกที เงินขาด แล้วต้องไปกู้เงินมาจ่ายผู้คนก่อน เสียดอกเจ็บตัวมาแล้ว นอกจากนี้ การทำให้คนทำงานต้องคอยระวังหลังว่าสิ้นเดือนนี้เงินจะเข้าตรงเวลาไหม มันเจ็บมโนธรรมจั๊วะที่เป็นหัวหน้า

เพราะบทเรียนนี้ เพื่อให้ทุกคนในทีมมั่นใจว่าจะมีเงินเข้าตรงเวลาตอนสิ้นเดือน ผมจึงเลือกทำ invoice ก่อนที่จะช่วยสมาชิกในทีมที่ต้องการความช่วยเหลืออยู่ตรงหน้า

หัวหน้าโดนขัดจังหวะอยู่เรื่อยๆ

บางครั้งผมก็มีงาน technical ที่ได้รับมอบหมายมา แต่พอต้องเลือกระหว่างมีคนในทีมกลุ้มใจ มาขอคำปรึกษา จั๊วะที่เป็นหัวหน้าก็จะเปิดพื้นที่ให้เพื่อนในทีมได้ระบายก่อน ปล่อยให้จั๊วะที่เป็นศิลปินกรีดร้องที่ทำงานที่รับปากมาเสร็จไม่ทันไป

หัวหน้าเสียเวลาเกือบทั้งหมดไปกับการประชุม

ทำเยอะ ๆ บางทีก็รู้สึกผิดเพราะทั้งวันนั้นไม่ได้ทำงานของศิลปินเลย จะไปเก็บเงินลูกค้าก็กระดาก ก็เลยไม่เก็บเงินวันนั้น หรืออาจจะเก็บแค่ครึ่งวัน พอทำแบบนี้บ่อย ๆ ก็หารายได้น้อยกว่าเงินเดือนที่เลือกไว้ (ที่ออด-อีเราเลือกเงินเดือนเองได้ เพราะความโปร่งใสเบอร์นี้แหละ) ซึ่งทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า เดือนนี้ผมเป็นปลิงกินแรงเพื่อน

จั๊วะที่เป็นหัวหน้าปลอบใจตัวเองบ่อยมาก

จะลดเงินเดือนตัวเองก็ไม่ไหว เพราะเงินเดือนที่เลือกมาก็เอาไปผ่อนนั่นนี่จดหมดแล้ว ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า “ทำให้ 10 คนเร็ว 30 น่าจะเป็นประโยชน์กับองค์กรมากกว่าเราเร็ว 100 คนเดียว”

ผมมาถึงจุดนี้ได้ไงนะ?

ผมกำลังอ่านหนังสือ Moral mazes ด้วยเจตนาที่อยากจะเข้าใจผู้บริหารระดับสูงที่ห่างไกลหน้างาน ผมเชื่อมาตลอดว่าทุกคนอยากอยู่ใกล้รอยยิ้มทั้งนั้นแหละ การ adopt Agile ในองค์กร ถ้าจะให้มันได้อะไรมากกว่าบรรยากาศครึกครื้น มีโพสอิทแปะสวยดี หัวหน้าก็ต้อง Gemba (ลงไปดูหน้างาน) บางครั้งผมเห็นโอกาสลงไปดูหน้างานมาถึงหัวหน้า บางทีเปิดโอกาสให้ลงมือทำเองเลยด้วย แต่การลงไปหน้างานจริงเกิดขึ้นไม่บ่อยเท่าที่ผมคาดหวัง ผมอยากรู้ว่าอะไรนะที่หยุดหัวหน้าเหล่านี้ไว้

มันลืมกันได้นะ บรรยากาศหน้างานเนี่ย

อ่านหนังสือ Moral Mazes มาถึงต้นบทที่ 3 ก็ได้เรียนรู้ว่า ตอนเป็นศิลปิน เราวัดคุณค่าด้วยผลงาน ยิ่งงานออกมาดี หน้าที่การงานก็ยิ่งเรืองรอง แต่สำหรับจั๊วะที่เป็นหัวหน้า ทำงานดีอย่างเดียวไม่ทำให้ก้าวหน้า ต้องมีลมหนุนด้วย คนทำงานดีไม่มีลมหนุน ทำแค่ไหนก็ไม่มีใครเห็น และถึงฉันจะไม่ได้แคร์ที่จะแข่งขันก้าวหน้าไปกว่านี้ แต่ถ้าฉันไม่โต แล้วฉันจะเอาอะไรไปดึงน้อง ๆ เก่ง ๆ ให้อยู่ด้วยนะ? ไม่มีใครอยากอยู่ทีมที่ไม่ก้าวหน้าหรอก จะมากจะน้อย ฉันต้องดูแลว่าน้อง ๆ ได้รับเครดิตที่เค้าคู่ควร

จั๊วะที่เป็นศิลปินก็มีสนิมขึ้นเหมือนกัน

อ่านไปอ่านมา เข้าตัวเองซะงั้น ทุกวันนี้บางทีก็มีจังหวะที่ทีมติดปัญหา technical แบบอับจนหนทางแล้ววิ่งมาขอความช่วยเหลือ ให้คิดเร็ว ๆ ผมก็คิดไม่ออกเหมือนกัน ถ้าให้คิดดัง ๆ ได้ ผมมักจะมีแค่สองเสียงดังมาในหัวคือ

เพื่อนเขียนโค้ดทุกวันยังแก้ไม่ออก เพื่อนจะคาดหวังอะไรกับคนประชุมทุกวันนะ?

กับคิดว่า

แหมม ทีจังหวะอย่างนี้ไม่มีประชุมด่วนมา interrupt ผมเลยนะสัส

ความยากของจังหวะแบบนี้คือเราตอบว่า “ไม่รู้” หรือ “ขอเวลาคิดแป๊ป” ไม่ได้ เพราะมันทำให้ทีมเสียขวัญกำลังใจ ตอนผมไปเรียนคอร์ส coaching beyond team มี simulation นึงผมจับไม้สั้นไม้ยาวได้บทเป็น manager ของทีม ในสถานการณ์ที่ทุกอย่างกำลังสับสน ทีมวิ่งมาถามผมว่าเอาไงดีหัวหน้า ผมตอบว่า ไม่รู้เหมือนกัน เท่านั้นแหละ ทุกอย่างโกลาหล พอถึงเวลาที่ผมคิดออกว่าเอาไงดี จะไปนำทีมอีกที เครดิตก็ไม่เหลือแล้ว

ถึงจุดนี้ ผมได้เข้าใจผู้บริหารระดับสูงสมใจแล้ว นึกถึงคำพี่รูฟขึ้นมาเลยว่า

อไจล์ไม่ใช่ของวิเศษที่จะแก้ทุกปัญหาให้เรา แต่เป็นของพิเศษที่จะช่วยให้เราเห็นทุกปัญหาที่ซ่อนอยู่ แต่คนแก้ ต้องเป็นตัวเราเอง

ผมหวังว่าความเข้าใจที่มากขึ้น จะช่วยให้ผมเชื่อมโยงกับผู้บริหารได้มากขึ้น ผมฝันว่าจะพูดออกมาจากหัวใจสู่แววตาและน้ำเสียงได้ว่า มันยากนะพี่ แต่แม่ทัพที่ไม่ลงไปแนวหน้า จะพูดปลุกขวัญมันก็ไม่โดนใจ เริ่มทีละนิดครับ ไม่ต้องทำเยอะ พี่แค่เอาโคลนหน้างานมาป้ายแก้มนิดนึงแล้วพูดว่า “ขอบคุณนะที่สู้มาด้วยกัน” แค่นี้จั๊วะที่เป็นศิลปินก็สู้ตายแล้ว

Credits

“Individual in a Suit” by flazingo_photos is licensed under CC BY-SA 2.0

“Craft Man” by ji.uppama is licensed under CC BY-NC-SA 2.0

--

--