สรุปบทเรียน 7 Habits of Highly Effective for Agile Team
ในช่วงที่ผมเรียนมหาวิทยาลัยปี 2 มีวิชาหนึ่งที่ผมทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับมันมาก นั่นก็คือวิชา Analogue electronic เป็นวิชาที่ร่ำลือกันว่ายากมาก ซึ่งก็ยากจริงๆ อะนาล็อคเป็นวิชาเกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นแบบอะนาล็อค ซึ่งปัจจุบันไม่ค่อยถูกนำมาใช้แล้ว เราเรียนเกี่ยวกับคลื่นสัญญาณ ศักย์ไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าของวงจรเล็กๆ ที่อยู่ในนั้น วิชานี้เป็นวิชาที่ต่อเนื่องมาจากวิชา Electric circuit ซึ่งผมได้เกรด D มาแบบคาบเส้น บวกกับตอนนั้นเกรดเคมีก็ได้ D มาเหมือนกัน ผมมองไม่เห็นซักนิดว่าเราจะไปถึงเป้าหมายของการเข้ามาเรียนในคณะวิศวกรรมไฟฟ้านี้ได้ยังไง เพราะยิ่งเรียนก็ยิ่งรู้สึกว่ายาก และเดี๋ยวคงต้องกลับมาเรียนแก้อีกแน่
ในขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้ อาจารย์ของผมก็พูดประโยคหนึ่งขึ้นมา “คุณต้อง Begin with the end in mind สินักศึกษา” นึกภาพว่าหลังจากจบคลาสเราจะได้อะไร และหลังจากเรียนจบเราต้องการอะไร แล้วก็พาตัวเราไปสู่เป้าหมายนั้นให้ได้ นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเกี่ยวกับ 7 Habits อุปนิสัยของคนที่ประสบความสำเร็จ ผมรู้เพียงว่ามันเป็นแค่หนังสือเล่มหนึ่งที่อาจารย์แนะนำเท่านั้น
จนกระทั่ง 1 ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ผมตัดสินใจหันหลังให้กับสิ่งที่ผมเรียนมาเดินหน้าหาโอกาสใหม่ๆ ผมทิ้งดีกรีวิศวะไฟฟ้า แล้วมาหัดเขียนโค้ด และเริ่มอาชีพคนทำซอฟแวร์แบบที่ผมตั้งใจ ประมาณสิ้นเดือนสิงหา(2023) ที่ผ่านมาผมได้ข่าวว่าพี่จั๊วะศาสดาของคนธรรมดากำลังจะเปิด class 7 Habits of Highly Effective Agile Team ผมไม่รีรอรีบสมัครเรียน นี่เป็นหนึ่งใน modules ของ Scrum master class ที่พี่จั๊วะและพี่เก๋ตั้งใจจะเปิดสอนให้กับคนที่อยากทำงานเป็น Scrum master
Key Takeaway
- The Root
- Interactive
- Maintainable
พี่จั๊วะบอกว่าถ้าให้เราเปรียบ 7 Habits กับบางสิ่งบางอย่างเราสามารถเปรียบ 7 Habits ได้ว่ามันคือต้นไม้ 3 อุปนิสัยแรกมันก็คือราก ที่เรา “ทำ” และ “รู้สึก” ได้ด้วยตัวของเราเอง ที่สำคัญมันเป็นสิ่งที่คนอื่นไม่มีทางเห็น
ในโลกของจิตใจ เราสนใจสิ่งไหนสิ่งนั้นจะโตขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็นสัจธรรม
- Be proactive อย่าทำตัวเป็นรีโมท ให้ใครกดก็ได้ บ่อยครั้งเหลือเกินที่เราถูกบางสิ่งบางอย่างมากดเรา มาบีบเราให้เรากังวลถึงเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้แต่เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร กังวลไปก็ไร้ประโยชน์ พี่จั๊วะเปรียบเทียบการมานั่งกังวลเหมือนการนั่งโล้ชิงช้า สิ่งนี้ทำให้เรามีอะไรให้ทำแต่โล้ไปก็แกว่งกลับมาที่เดิมไม่มีประโยชน์ให้เรา “ต้องทำ” บางอย่างจนลืมไปว่า ใครกันนะที่จะมาบีบบังคับเราได้ ไม่มีนี่นา การเป็นคนที่ proactive มันจึงบอกเราว่า จงรับผิดชอบสิ่งที่เราทำลงไปด้วยตัวเองซะ ควบคุมสถานการณ์ให้ได้ เพราะเราเองเป็นคน “เลือกที่จะทำมัน” จงจดจ่อเฉพาะสิ่งที่เราควบคุมได้ เมื่อเรามีสติ ระลึกอยู่เสมอว่าเราทำอะไรอยู่ จะไม่มีใครทำอะไรเราได้เลย
- Begin with the end in mind ให้ฝันถึงสิ่งที่ต้องการ แล้วขับเคลื่อนชีวิตเพื่อให้เกิดสิ่งนั้นขึ้น ผมเข้าใจว่านี่เป็นอีกหนึ่งวิธีในการจัดการความฝันและการใช้ชีวิต ซึ่งวิธีของการฝึกสิ่งนี้คือการให้เราลองหลับตานึกถึงวันเกษียณอายุการทำงานหรือวันที่เราใช้ชีวิตจนเรารู้สึกว่าเราประสบความสำเร็จกับสิ่งที่เราทำแล้ว ให้ลิสต์ว่าในความฝันนั้นมี ใคร บ้างที่จะมาร่วมแสดงความยินดีกับเราแล้วเราอยากบอกอะไรกับพวกเขาแต่ละคน และอย่างที่สองลองลิสต์ในมุมของความเป็นจริงจะมีใครบ้างนะที่มาอยู่กับเราจริงๆ นำทั้งสองลิสต์มาเทียบกัน
สิ่งไหนก็ตามที่ทำแล้ว contribute ให้เราเดินทางไปถึงเป้าหมาย สิ่งนั้นเรียกว่า “สำคัญ” - Put First things first หลายครั้งที่เราใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อย นอนเล่นติ๊กต็อกตอนเพิ่งลืมตาบนเตียง จนเราไม่รู้ว่าจะทำอะไรก่อนดีในวันนี้ อุปนิสัยข้อดีบอกว่าเราควรที่จะฝึกจัดลำดับความสำคัญ ยกตัวอย่างโมเดลง่ายๆ เฟรมเวิร์กบริหารเวลาของ Eisenhower Matrix
จงทำกิจกรรมที่ด่วนและสำคัญ วางแผนกิจกรรมที่ไม่ด่วนแต่สำคัญ มอบหมายงานที่ด่วนแต่ไม่สำคัญให้กับคนอื่นทำบ้าง เพราะมันเป็นแค่เรื่องยุ่งๆ ที่เราไม่ต้องทำเองก็ได้ และสุดท้ายจงโยนสิ่งที่ไม่ด่วน และไม่สำคัญออกไปซะ - Think win-win ความเชื่อว่าเราจะได้ในขณะเดียวกันก็จะมีทางให้อีกฝ่ายได้ในสิ่งที่ต้องการเช่นกัน ตรงกันข้ามกับ lose — win การไม่ยอมให้คนอื่นได้โอกาสเพราะกลัวตัวเองจะเสียบางอย่างไป การคิดแบบ win-win จึงเป็นการที่ทั้งสองฝ่ายละทิ้งวิธีการ และสร้างสรรค์วิธีการใหม่เพื่อให้ “เรา” ได้ในสิ่งที่ต้องการ ขอโน้ตไว้อีกว่า เราควรพาตัวเราให้ไปสู่ longterm win-win ให้ได้ หมายความว่าจงเลือกหนทางที่แม้จะผ่านไปนานเราก็จะสามารถยอมรับวิธีการเดียวกันนี้ได้ เพราะถ้าหากเรายอมแบบส่งๆ ไปก่อนเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจผลลัพธ์ย่อมเกิดเป็นความสัมพันธ์แบบ lose-lose ในที่สุด
- Seek first to understand, then to be understood ก่อนจะอยากให้ใครมาเปิดใจฟัง และเข้าใจคุณ ตัวคุณเองก็ควรหาพื้นที่ในการฟัง และเข้าใจเขาก่อน เพราะสุดท้ายคนเหล่านั้นไม่สนใจหรอกว่าคุณจะรู้มากแค่ไหน แต่เขาจะสนใจก็ต่อเมื่อรู้ว่าคุณแคร์คนเหล่านั้นมากแค่ไหน สิ่งนี้นำไปสู่ Empathic listening เป็นสกิลในการฟังผู้อื่นอย่างเห็นอกเห็นใจ
- Synergize การรวมกัน การประสานกัน การร่วมมือกันกับคนอื่นอย่างสร้างสรรค์ ยอมรับในคุณค่าของตนเอง แต่ก็ไม่หลงระเริง และภูมิใจในความสำเร็จที่ผ่านมามากจนเกินไป จนลืมที่จะฝึกฝนตัวเองซึ่งนำไปสู่ข้อสุดท้าย จะเห็นว่าอุปนิสัยข้อที่ 4 5 และ 6 นั้นเป็นอุปนิสัยที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นทั้งสิ้น เราจึงเรียก 3 ข้อนี้ว่าเป็น “Interactive Habits”
- Sharpen the saw เราตีความ Sharpen นี้ว่ามันคือ Goal ที่เราวางไว้ตั้งแต่ Begin with the end in mind ซึ่งเก่งไม่เก่งเราก็อาจจะทาบวัดมันด้วยไม้บรรทัดของเราเองก่อน อย่างไรก็ตามถ้าเราอยากให้เราไปถึงฝันที่เราวาดไว้เราก็ควรที่จะลับคมขวานของเราให้บ่อย เพราะศิลปินที่ดีจะฝึกฝนตัวเองแม้ในยามที่หลับตา
ถ้าเราอยากให้สิ่งที่เราสั่งสมมาถูก maintain ไว้อย่างดี เมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้ก็หยิบออกมาได้ไม่ขัดข้อง เราก็ควรฝึกฝนอุปนิสัยข้อที่ 7 อย่างสม่ำเสมอ
Compare with Agile Team
- Be proactive เปรียบได้กับ Daily Meeting เพราะเป็นพิธีกรรมที่ทีมจะต้องมาอัพเดทว่า เมื่อวานทำอะไรไปบ้าง วันนี้จะทำอะไร และมีสิ่งไหนที่เป็นอุปสรรคในการทำงานของคนในทีมบ้าง การมีความ Be proactive นอกจากจะหมายถึงการมีสตินึกคิดอยู่กับสิ่งที่ทำ ก็อาจหมายความว่าทีมควรที่จะยื่นมือเข้าไปแก้ไขปัญหา รวมไปถึงการที่ทีมจะต้อง Be proactive ต่อเป้าหมายของ Product owner ด้วย
- Begin with the end in mind เปรียบได้กับ Sprints Planing เพราะเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของการตั้งคำถามว่า Why, What, How, How much ว่าสุดท้ายแล้วใน Sprint นี้ อะไรที่สามารถสร้าง Values ให้กับ Product owner ได้ จึงเป็นความร่วมมือของทีม และ Product owner ในการช่วยกันร่างภาพสุดท้ายของสิ่งที่ปรารถณาให้ออกมาเป็น Card แต่ละใบ
- Put First Things First เปรียบได้กับการทำ Sprints Planing เช่นเดียวกันเพราะเป็นการลำดับความสำคัญของสิ่งของระหว่างทางได้แก่ card ใน product backlog จนกว่าที่เราจะไปถึงภาพสุดท้าย จงคิดเสมอว่าเป็นเรื่องปกติที่ของใน product backlog จะถูกสับเปลี่ยนได้เสมอ
- Think Win/Win ในขณะที่เราทำงานเป็นเรื่องปกติที่เราจะต้องทำงานกับหลายๆ paties เราเลยจำเป็นที่จะต้องดีลให้ระหว่าง Team และ Stakeholders ให้เกิดความสัมพันธ์แบบ Win/Win เช่น ในเคสที่เกิดมี defect เข้ามาแทรกใน Sprints เป็น defect ก้อนใหญ่มาก แต่เราเหลือเวลาในการทำงานน้อยลงมากเลยนะ แล้วการ์ดที่เหลือล่ะ ทีมอาจจะเสนอว่า Feature ที่ทำเสร็จอาจจะน้อยลงนะ และขอให้ product owner เรียงลำดับการ์ดเหล่านั้นใหม่ สุดท้าย defect นั้นถูกแก้ และ Team ก็ได้ทำทุกอย่างโดยเต็มที่ที่สุดเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายพอใจในผลลัพธ์ในตอนสุดท้าย
- Seek First to Understand, Then to be Understood เวลาที่เกิดปัญหาขึ้นเรามักจะโทษว่าเป็นความผิดของคนอื่นก่อน หรือเวลาที่เกิดความคิดเห็นที่หลากหลายเราก็ปิดหูไม่ยอมฟังคนอื่นเลย Habit ข้อนี้เลยบอกว่างั้นก็จงฟังก่อน ฟังถึงปัญหาให้ถ่องแท้ ก่อนที่เราจะตีโพยตีพายไปก่อน เมื่อเราเข้าใจปัญหาเราก็จะหาวิธีที่ดีที่สุดในการออกจากปัญหานั้นได้ สิ่งเหล่านี้มักเกิดขึ้นในพิธีกรรม Retrospective
- Synergize สำหรับ Agile team การร่วมมือกันคือกุญแจสำคัญที่จะประสานพลัง Synergize ให้กับทีม เมื่อมีสมาชิกคนใดคนหนึ่งเกิดติดปัญหา เราจะกระโดดเข้าไปช่วยทันที เพราะเรารู้ดีว่าถ้าปัญหาไม่ถูกแก้ สิ่งที่เรา Begin with the in mind จะไม่มีทางเกิดขึ้นเลย มีหลายเครื่องมือที่จะช่วยเพิ่ม Synergize ให้กับทีมได้ เช่น การมี Calendar Sharing ในแต่ละสัปดาห์มี 1 วัน 1–2 ชั่วโมง ที่ทีมหันหน้าคุยกันแล้วแชร์ความรู้ ปัญหา และวิธีการแก้ปัญหาเหล่านั้น
- Sharpen the Saw บ่อยครั้งที่เราบอกกันนักกันหนาว่า Agile team ในอุดมคติคือทีมที่เป็น Cross functional team นะ สมาชิกหนึ่งคนสามารถมีสกิลที่หลากหลาย สามารถขับเคลื่อนงานให้ลุล่วงได้ แม้จะขาดคนใดคนหนึ่งไป ดังนั้น Agile team โดยเฉพาะพวกเราที่ ODDS จึงต้องให้ความสำคัญกับเรื่องการฝึกฝนตัวเองมาก เพราะเราเชื่อว่าสิ่งนี้จะทำให้เราส่งมอบของให้กับลูกค้าได้อย่างมีคุณภาพ และยั่งยืน :)
สุดท้ายหลังจากจบคลาส ผมพยายามตกผลึกความรู้สึกนึกคิดหลังจากที่ได้ลองวาดภาพวันที่ผมจัดงานเกษียณในความฝันและความเป็นจริง ว่าจะมีใครมาที่งานของผม และพูดอะไรกับผมบ้าง สิ่งที่ได้จากบทเรียนครั้งนี้คือ ผมพบว่าอาจมีคนสำคัญหลายคนที่ผมฝันว่าอยากจะเจอเค้าในวันนั้น แต่มีหลายต่อหลายคนที่ผมคิดว่าเราคงไม่ได้เจอกันอีก เพราะในความจริง เราได้ถูกคั่นด้วยโลกแห่งความเป็นและความตาย ยิ่งทำให้ผมฉุดคิดขึ้นได้ว่า
เราควรที่จะ take effort พลังแรงกายพลังแรงใจ ไปกับบุคคลเหล่านั้นก่อน เพราะแม้ถึงเวลานั้น ความฝันจะไม่สามารถกลายเป็นความจริงได้ เราก็ได้ทำทุกอย่าง อย่างสุดความสามารถ และมันมีค่ามากพอแล้ว
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาจนถึงตอนจบ ขอขอบคุณพี่จั๊วะที่เปิดคลาสที่ดีอีกคลาสของปี 2023 และแม้ผ่านล่วงเลยมาจนถึงปีใหม่ 2024 คลาสนี้ก็ยังเป็นคลาสที่ผมประทับใจมากสุดๆ อยู่ดี