สังเกต vs ตีความ
ปี 2015 ขณะที่ผมกำลังนั่งเครื่องบินไป Albuquerque, New Maxico เพื่อไปเรียนคอร์สที่แพงที่สุดในชีวิตผมที่ชื่อ Problem Solving Leadership
ช่วงเวลานั้น ห้องผู้โดยสารปิดไฟนอนกันหมดแล้ว ผมเปิดไฟอ่านหนังสือ แล้วไล่ทำ prework ของคอร์ส เพราะช่วงก่อนไปเรียนงานยุ่งมาก ไม่มีเวลาดูมันเลย
ถ้าคอร์สนี้จะเป็นคอร์สที่ประสบความสำเร็จมาก ๆ คุณจะต้องได้อะไรกลับไป?
ผมนั่งมองคำถามที่ผมเห็นใน prework แล้วก็คิดอยู่นาน เพราะผมแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคอร์สนี้เลย ไม่รู้ว่าเค้าสอนอะไร ผมไม่เคยเรียนภาคทฤษฎีทั้งเรื่อง problem solving หรือเรื่อง leadership มาก่อนเลย
ทำไมผมถึงตัดสินใจมาเรียนกันนะ?
ผมถามตัวเอง แล้วก็มี 2 เหตุผลผุดออกมาในหัว
เหตุผลแรกคือทั้งอาจารย์ผม Steven จากออด-อีทีมฮ่องกงและไอดอลผม Stanly จากออด-อีสิงค์โปร์บอกว่า มันเป็นคอร์สที่ดี ถ้าระดับสองคนนี้บอกว่าดี แค่นี้ก็เพียงพอให้ผมตัดสินใจแล้ว
อีกเหตุผลหนึ่งคือ Bas บอกว่า Gerald Weinberg ซึ่งเป็นผู้ร่วมสอนในคลาสนั้นเป็นบุคคลระดับตำนานที่เขียนโค้ดมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 การได้เจอ Gerald ตัวเป็น ๆ แค่นี้ก็คุ้มค่าคอร์สแล้ว
ตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งรู้ตัวว่าผมตัดสินใจมาเรียนด้วยศรัทธาล้วน ๆ เลย ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเค้าเรียนอะไรกันในนี้ ถามคนที่เคยไปเรียนแล้ว เค้าก็บอกว่า อธิบายไม่ได้ ให้ไปเรียนดูเอง
ผมนั่งถามใจตัวเองว่า สมมติมันเป็นคอร์สมหัศจรรย์ที่ขออะไรก็ได้ ผมอยากได้อะไรกลับไป?
True sight
คือคำตอบที่ผมเขียนลงไป
ผมเคยมองดูองค์กร ทีม หรือผู้คนมากมาย แล้วบ่อยครั้งผมก็เดาว่าเหตุการณ์นี้จะเกิด ปัญหานี้จะตามมา สองคนนี้ไม่ชอบกัน คนนี้กำลังต้องการความช่วยเหลือ ผมเห็นของที่ชวนให้ผมคาดเดาเหตุการณ์ไปต่าง ๆ นา ๆ แต่สุดท้ายผมก็เดาผิด ซึ่งตอนที่ผลมันออกมาว่าผิด ผมก็ประหลาดใจทุกครั้ง ผมไม่เข้าใจเลยว่าจากของที่ผมเห็นว่ามันเริ่มต้นแบบนั้น ดำเนินมาแบบนี้ แล้วมันจบที่ตรงนี้ได้ยังไง? มันทำให้ผมตกใจและงงมาก ๆ ทุกทีไป
การสังเกต
พอจบคอร์ส ถึงผมจะไม่ได้ true sight กลับมา แต่ผมได้เห็นแก่นแท้ของปัญหาว่าทำไมดวงตาผมถึงพร่ามัว สิ่งหนึ่งที่ผมได้ตระหนักจากคอร์สคือ ผมที่คิดไปเองว่าตัวเองสังเกตสิ่งต่าง ๆ เหมือนตัวเองเป็นกล้องวีดีโอมาตลอด แท้จริงแล้วผมเป็นแค่โปรเจคเตอร์
ผมคอยฉายภาพไปบนสิ่งต่าง ๆ ที่ผมมอง ทำให้ของที่ผมเห็นมันบิดเบือนไปจากความจริงไปหมด ผมเห็นแต่ของที่ผมคาดว่าจะเห็นตามประสบการณ์ของผมเอง
และสิ่งที่เปลี่ยนสายตาผมจากกล้องวีดีโอเป็นโปรเจคเตอร์ ก็คือคำตัดสินนั่นเอง
ตีความ
จากของที่ผมเห็นผ่านสายตา ผสมรวมเข้ากับประสบการณ์ที่ผมพบเจอมา แล้วผมก็ตีความสิ่งที่ผมเห็นไปต่าง ๆ นา ๆ และนั่นทำให้ผมพลาดโอกาสที่จะได้เรียนรู้ประสบการณ์ของคนอื่น
เช่นผมอาจจะไปเห็นเด็กคนนึง พอผมเห็นพฤติกรรมบางอย่างของเค้า ผมก็ตัดสินเค้าว่าเป็นเด็กดื้อ ตั้งแต่วินาทีนั้น ผมจะมองหาแต่หลักฐานยืนยันว่าผมคิดถูก นั่นคือเด็กคนนี้ดื้อ และมองข้ามทุกความดีที่น้องเค้าทำจนกว่าจะเจออะไรที่มันขัดแย้งมาก ๆ ผมถึงจะตื่นจากภวังค์ เช่น น้องเค้ามาทำดีมาก ๆ กับผม หรือได้รับรางวัลเยาวชนดีเด่น ผมถึงจะรู้ว่าว่าภาพที่ผมวาดมามันไม่ make sense อีกต่อไปแล้วผมก็หลุดพ้นนิมิตที่ตัวเองสร้างขึ้น
แบบฝึกหัดที่ทำให้ผมได้ตระหนักถึงจุดอ่อนของตัวเองข้อนี้คือ การชะลอคำตัดสินในหัว ซึ่งยากมาก ๆ เพราะสำหรับตัวผม ณ ตอนนั้น เพราะกระบวนการนี้มันเกิดขึ้นเองแบบ real time อย่างเป็นธรรมชาติ
จบคอร์สมา ถึงผมจะยังไม่ได้ true sight ติดตัวกลับมา แต่ผมได้ 2 ขุมทรัพย์ที่ล้ำค่ากลับมาแทน
สิ่งแรกคือแบบฝึกหัดที่จะชะลอคำตัดสิน เพื่อเปิดโอกาสให้ผมเห็นของได้ครบถ้วนที่สุด เพื่อกลับมาตีความภายหลังหลังจากได้ข้อมูลจากการสังเกตครบถ้วนแล้ว
สิ่งที่สองคือแรงบันดาลใจที่จะฝึกฝนมัน แรงบันดาลใจที่จะขัดเกลาตัวเองเพื่อให้ผมสามารถแยกการสังเกตและตีความออกจากกันได้อย่างชัดเจน เพราะผมเชื่อหมดใจว่านี่คือหนทางสู่สายตาที่แท้ทรูหรือ true sight ที่ผมใฝ่ฝันนั่นเอง
หลายปีผ่านไป วันนี้ที่ผมแยกการสังเกตกับตีความออกจากกันได้มากขึ้นมากแล้ว ผมพบว่าแบบฝึกหัดที่ได้มา แท้จริงคือบทเรียนในการขัดเกลาจิตใจตัวเอง มันเป็นบททดสอบแห่งการลดอัตตา ครั้งแล้วครั้งเล่าที่แบบฝึกหัดเปิดโอกาสให้ผมเห็นประสบการณ์และความเชื่อที่แตกต่างจากที่ผมเจอมามากเหลือเกิน มันต่างจนยากมากที่จะทำใจที่จะเชื่อ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ผมย้ำเตือนกับตัวเองว่า ประสบการณ์ของทุกคนมีคุณค่าเท่าเทียมกัน ผมจะให้น้ำหนักความสำคัญกับประสบการณ์ของตัวเองมากกว่าคนอื่นไม่ได้ถ้าผมไม่มีเหตุผลที่เป็นธรรมพอ และไม่เคยเลยสักครั้งที่ผมหาเหตุผลเข้าข้างประสบการณ์ตัวเองได้สำเร็จ :)
การฝึกในนี้ทำให้ความหมายของคำว่า มนุษย์สำหรับผมกว้างขึ้น ทำให้ผมเผื่อใจที่จะพบเจอประสบการณ์ที่แปลกประหลาดที่ผมไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนมากขึ้น ที่น่าอัศจรรย์คือ พอผมอยู่กับการไม่ตัดสิน อยู่กับการให้ความเคารพประสบการณ์ที่หลากหลายเป็น มันกลายเป็นเหมือนแรงแม่เหล็กที่ยิ่งดึงดูดให้ประสบการณ์ที่หลากหลายไหลเข้ามาให้ผมพบเจอ
บางครั้งผมนั่งคุยกับเพื่อนใหม่ที่รู้จักกันเพียงสัปดาห์เดียว ผมก็ได้รับความไว้วางใจให้เพื่อนแบ่งปันจุดเปราะบางให้ผมได้รับรู้ ผมนั่งคิดคำตอบแค่ไหน ผมก็ไม่รู้ว่าพฤติกรรมอะไรที่ผมทำให้คู่ควรที่จะได้รับความไว้วางใจนั้น
ระหว่างที่ผมกำลังค้นใจเพื่อหาคำตอบ ถึงจะไม่มีคำตอบออกมา แต่มีอีกสิ่งออกมาแทน นั่นคือผมได้รู้ว่า ผมในวันนี้เติบโตกว่าวันที่ผมสับสนระหว่างการสังเกตและการตีความมากมายเหลือเกิน