เมื่อโลกเปลี่ยนไปแต่ในมือที่ยังถือเครื่องมือเหมือนตัวเดิม จาก Art สู่ Design

Sarawuth Chinbenjapol
odds.team
Published in
2 min readFeb 13, 2020

Become a UX Designer (EP 1/3)

“สวัสดีครับผมชื่อหมี”

จากเด็ก ART ไปเรียน MAR (Marketing) ส่วนผสมที่ลงตัว

ผมชอบเกี่ยวกับสาย Art ครับเลยไปสมัคร ติว เพื่อสอบเข้าคณะวิจิตรศิลป์แล้วก็เรียนไปจนถึง ปี3 (คณะวิจิตรศิลป์ สาขา Painting ผมเรียน 5ปี) ผมจำได้ตอนปี 3 มีหนังเรื่องวัยรุ่นพันล้านเฒ่าแก่น้อย ผมเลยไปขอลง Visiter ในคลาสการตลาด กับ Branding เพิ่มเติม แบบไม่เอาเกรด (ไปนั่งเรียนเฉยๆเนี่ยแหละ) เรียนเพื่ออยากเรียนเอาความรู้เฉยๆ เรียนเอามันส์ เฮ้ยมันสนุกมากนะ เรียนไปก็เพลินไป สาวก็สวยเพิ่มกำลังใจในการเรียนเพิ่มขึ้นไปอีก

หลังจากนั้นผมเลยรู้สึกว่าผมชอบการตลาด มาก พอๆกับ Art หรือปั้นดิน
(ฮ่าๆๆ) เพราะการตลาดมันไปมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนมากกว่า Art

และ Art ส่วนใหญ่ที่ผมเรียนมา มักจะตอบสนอง Need ของตัวเองมากกว่า Need ของผู้อื่น ซึ่งผมรู้สึกว่าผมอยากทำงาน Art ที่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นด้วย ก็ลองทำทั้งงาน Video, Conceptual Art, และ อื่นๆ จนมาได้ลองอีกสายคือ Graphics Desgin ผมเลยลองศึกษาด้วยตัวเอง ละก็เริ่มทำ Poster, Logo, Label เล่นๆทำฟรีบ้างได้ตังบ้าง ก็เริ่มรู้สึกชอบครับ เพราะตอนนั้นรู้สึกว่า

“เป็นครั้งแรกที่เริ่มเปลี่ยนจาก Art ของตัวเอง เป็น Art ของผู้อื่น นั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่ผมเริ่มเรียกตัวเองว่าทำงาน Design ผมไม่ได้ทำงาน Art แล้ว”

ทำใบโบชัวส์สินค้าโดยการเริ่มถามความคิดเห็นจากคนรอบข้างเป็นระยะๆ เพื่อเอามาปรับปรุงการออกแบบ

ตอนนั้นด้วยที่มีความรู้การตลาดบ้างครับ ละก็เกาะติดตาม อาจารย์การตลาดเป็นลูกกระจ๊อก ได้เก็บความรู้จาก ผู้ประกอบการ SME แล้วมีโอกาสช่วยอาจารย์เขียนแผนการตลาด ให้ผู้ประกอบการ คราวนี้แหละครับยาวเลย เริ่มทำไปเรื่อยๆ ออกงานพวก SME จนเป็นผู้ช่วยอาจารย์ให้ข้อมูลด้านการตลาดและ พัฒนา Product

Graphic Design ก็เหมือนกับ UI Design นั่นแหละ ???

ข้อความดังกล่าวเป็นข้อความจากเพื่อนคนหนึ่งที่เริ่มจะทำ Digital Product ด้วยกันโดยการเจอหน้ากันครั้งแรก

ผมได้รับการเชื้อเชิญจากเพื่อนของเพื่อนคนหนึ่งครับที่ไปเจอกันในงานพัฒนา SME เนี่ยแหละ

พวกเขาอยากลองทำ Start Up ทำพวก App Carpool ผมเลยตกลงไปช่วยเค้าทำครับตอนนั้นเค้า Refer งาน UI ครับ งง มากคืออะไร เขาก็บอกเป็นงาน Graphic เนี่ยแหละแต่ทำในมือถือ (ตอนนั้นยังไม่รุ้จัก UX )

ใช้กระดาษวาดหน้าจอ Application :D
ใช้โปรแกรม illustrator ทำ Flow

จะเห็นได้ว่า UI(หน้าจอ Application) จะมีกลิ่นอายความเป็น Poster สูงมาก (ฮ่าๆ)

เครื่องมืออย่าง illustrator ที่เหมาะกับการทำสิ่งพิมพ์มากๆ ถูกนำมาใช้ในการออกแบบหน้าจอ UI ทำให้ UI ติดกลิ่นอายแบบงานสิ่งพิมพ์เยอะมาก และ ใช้เวลาทำที่นานกว่าที่มันควรจะเป็น ซึ่งตอนนั้นผมจำได้ว่าผมทำ UI ได้ 3–4หน้าต่อ 1 วัน
😓😓😓

ใช่ครับคุณฟังไม่ผิด 3 หน้าต่อวันทั้งที่มันแทบไม่มี Detail และ ความซับซ้อนอะไรเลย😂😂😂

จนหลังจากนั้นเพื่อนใน Team ให้ผมลองใช้ Sketch App ครับ ผมก็ยังยืนยันว่าผมจะใช้ illustrator ต่อไปเพราะมันเร็วกว่า และผมก็คุ้นชินกับมันมากกว่า (ดื้อมาหลายวัน)

สุดท้าย……

ถึงจะไม่ดีมากแต่ดูมีความเป็น Application มากขึ้น 😅

ผมก็หัดใช้ Sketch App……

ไม่รอดครับต้านทานจากแรงกดดันไม่ไหวต้องใช้โปรแกรมที่ใช้สำหรับทำ UI จริงๆ😔
และมันทำให้การทำงาน และ สร้าง UI ของผมมันรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้นมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

“มันก็เป็นบทเรียนได้จริงๆครับว่าการทำงานในสายนี้เราต้องหัดเรียนรู้ และ เครื่องมือใหม่ๆอยู่เสมอ”

จากนั้นก็ลองใช้ Invision, Pop, มารัวๆเลยครับ ได้บ้างไม่ได้บ้างก็ลองๆใช้ ลองผิดลองถูกไป 🥺🥺

จบตอนที่ 1 ตอนหน้าเรื่องราวในการเข้ามาทำ UI และ UX จะเริ่มขึ้นอย่างจริงจัง ลองผิดลองถูก ทะเลาะ จุดหัก จุดเปลี่ยนในการทำงานสายนี้จะเจ้มจ้นมากขึ้น

(ผมไม่รู้ว่าเรื่องราวของผมมันจะมีประโยชน์กับใครบ้างนะครับ แต่อย่างน้อยๆที่สุดผมก็เป็นคล้ายๆสมุดเมมโมรี่ในตัวผมเอง และอยากจะแชร์ให้เพื่อนๆ น้องๆ ได้เห็นอะไรบางอย่างจากการเดินทางสายนี้ของผม)

--

--