เนื่องจาก เนื้อหาที่เพียสจะแชร์ต่อไปเป็นการเรียนรู้ และสรุปสิ่งที่ได้จาก Private Class ใน ODDS เนื้อหาที่ได้เรียน สอนโดย ฟ้า และ น้องพิมมี่ที่ได้ไปเรียนรู้เอาวิชามาแบ่งปันเพื่อน กราบขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ 😻💞
เริ่มยังไงดี
เอาตรงนี้ละกัน หัวข้อที่เราเข้าไปร่วม มีชื่อว่า DATA Storytelling ฟังจากชื่อแล้วเดาน่าจะไม่ยาก แต่บางคนอาจจะคิดภาพไม่ออก งั้นลองมาทำความรู้จักสิ่งนี้กัน
หัวข้อที่เราได้เรียนแบ่งออกเป็น 4 ข้อ
- Communication
- Analytic
- Visualization
- Data storytelling
Communication
- การจะส่งสารไปหาผู้รับสาร เราจะต้องดูด้วยว่า สิ่งที่เราพยายามสื่อสารนั้นมันชัดเจนและเข้าใจง่ายเพียงพอสำหรับผู้รับแล้วหรือไม่ เนื่องจากคนเราต่างคนต่างถูกเลี้ยงดูมาแตกต่างกันการใช้ชีวิตแตกต่างกัน สิ่งเดียวกันอาจจะตีความคนละอย่างก็ได้
- การสื่อสารที่ดีต้องทำการตัดสิ่งรบกวนออกให้ได้มากที่สุดและระบุสิ่งที่อยากให้ผู้ฟังทราบให้ชัดเจน
- ทำความรู้จักและ ทำความเข้าใจผู้ฟัง ก่อนจะเลือกนำเสนอในมุมของคนที่เขาอาจไม่คุ้นเคย
“ทำกราฟไม่ได้ แต่ต้องอ่านกราฟเป็น ”
เรียกได้ว่าเป็น Quote ที่เรารู้สึกว่า กราฟหลายๆแบบที่เราเห็นหลายๆอันเรายังอ่านไม่เป็นเลย แล้วยิ่งฝั่งคนที่ทำงานที่อ่านกราฟโดยเฉพาะ แต่ไม่ใช่คนที่ทำกราฟขึ้นมาเองต้องเป็นเรื่องยากมากแน่ๆ
Analytic
พาร์ทของการ Analytic มีอยู่ด้วยกัน 2 กระบวนการคือ Analytic process และ Creative process
- Analytic process ทำเพื่อพิสูจน์ว่าจุดๆนั้นมันมีความหมายนะ
- Creative process ทำเพื่อนำเสนอให้เกิด action บางอย่างจากสิ่งที่เราพิสูจน์มา
Analytic process
WHY เราต้องตั้งคำถามทุกครั้งว่าเรามีจุดประสงค์ของการทำสิ่งนี้คืออะไร เช่น เราต้องการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ
WHO เราต้องการนำเสนอเรื่องนี้ให้ใคร
- Listener : เขาอยากฟังอะไร เขาต้องการเห็นอะไร เขาต้องการอะไรจากสิ่งนี้
- Me : เราเป็นใครสำหรับเขา เป็นครั้งแรกที่เจอกันหรือเปล่า เรามีเครดิตสำหรับเขามากแค่ไหน เราต้องวางตัวให้เหมาะสม
WHAT จากความต้องการที่เขาอยากรู้แล้วเนี่ย เราต้องการให้เขาทำอะไรต่อ อยากให้เขารับรู้เรื่องอะไร ซึ่งการที่เราบอกเขาไปแล้วเนี่ยคนที่ตัดสินใจคือเขา เขาอาจจะทำหรือไม่ทำตามสิ่งที่เราบอกก็ได้
HOW
- เราจะหาดาต้าเหล่านั้นได้จากที่ไหน อย่างไร
- ดาต้าที่ได้มาช่วยสนับสนุนเป้าหมายที่เราวางไว้ไหม
- เราต้องวิเคราะห์ดาต้าอย่างไร
- แล้วการวัดผลจากผลลัพท์ที่จะเกิดขึ้นต้องทำอย่างไร
ในส่วนเนื้อหาของตรงนี้ ฟ้าต้องการให้เราปรับความคิดมุมมองให้เข้าใจมากขึ้นเลยให้เราได้ทำกิจกรรมลองวิเคราะห์ว่าจากข้อมูลที่มีให้เราอยากจะนำเสนออะไรให้ใครดู เป็นกิจกรรมที่ทำเป็นคู่ก็ได้เดี่ยวก็ได้ แต่เพียสเลือกทำร่วมกันกับเพื่อน ชื่อเฟรม
ตัวอย่างของทีมเรา สมมติว่าเราเป็นเจ้าของร้านที่ขายของทั่วไป เครื่องแต่งกาย อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเรามีข้อมูล ประวัติการซื้อของๆลูกค้าทุกคนโดยเราจะเอาข้อมูลเหล่านั้นมาต่อยอด
WHY — อยากเพิ่มยอดขายให้แบรนด์โดยกลุ่มที่เราต้องการเจาะตลาดเพิ่มขึ้นคือผู้ชาย
WHO — คนที่เราต้องการนำเสนอคือเราเอง เราเป็นเจ้าของแบรนด์
WHAT — เพื่อทำความเข้าใจคู่แข่ง และ หา Product ใหม่ๆที่เหมาะสมกับผู้ชาย
HOW — วัดผลจากสัดส่วนกำไรที่ได้ และ จำนวนยอดขายของ Product ที่ผู้ชายซื้อ
Visualization
เป็นเรื่องของการทำ Creative process ซึ่งตรงส่วนนี้คือการนำเสนอเฉพาะข้อมูลที่เราเห็นว่ามันสำคัญที่จะทำให้เกิด Impact ก็เพียงพอแล้วไม่ต้องเล่ามาทั้งหมดว่าเราทำอะไรบ้างให้สิ่งเหล่านั้นมีไว้ช่วยสนับสนุนตอนที่เขาต้องการทราบข้อมูลเชิงลึกก็พอ
ตรงส่วนนี้มีคำพูดที่ว่า
The one-size fits all dashboard is the most common design dashboard mistake
เป็นสิ่งที่ฟ้าเอามาอีกที แต่จำแหล่งที่มาไม่ได้ละ จากประโยคนี้ที่อยากจะสื่อคือ Dashboard รูปแบบเดียวที่สามารถตอบโจทย์ทุกคนได้บนโลกนี้ ไม่มีอยู่จริง เพราะถ้าจากที่เราเรียนมาเมื่อกี้เลยที่ว่า ใครต้องการเห็นอะไรมันก็ตอบได้แล้วว่าแต่ละคนไม่ได้ต้องการเห็นเหมือนกันแน่นอนแล้ว Dashboard รูปแบบเดียวจะไปเพียงพอได้ไง
เนื้อหาส่วนนี้ฟ้าได้แนะนำวิธีการใช้กราฟที่แตกต่างกันหลายๆรูปแบบทั้งหมดที่ได้เรียนมีประมาณ 4 ประเภท
- Comparison — เปรียบเทียบ
กราฟที่ใช้ คือ Bar chart, Stack Bar Chart, Group Bar chart, Line chart - Relationship — แสดงความสัมพันธ์
กราฟที่ใช้ คือ Scatter plot, Bubble chart - Distribution — การกระจายตัว
กราฟที่ใช้ คือ Histogram, Boxplot - Composition — การแบ่งสัดส่วน
กราฟที่ใช้ คือ Treemap, Stacked 100% Bar chart , Pie chart, Donut chart
โดยรูปแบบกราฟที่เอาไปใช้งานแต่ละแบบต้องทำการฝึกฝนและตีความให้เป็นซึ่งแน่นอนว่าเรียนครั้งเดียวก็ยังใช้ไม่เป็นแน่นอน ต้องใช้บ่อยๆนะ แต่เพียสเองก็ยังไม่ค่อยถนัดเหมือนกัน
Data storytelling
ตัวแรกที้ได้ทำความรู้จักคือ Top-T Framework เป็นการนำเสนอกราฟที่เราได้จากการทำ Visualize ให้ผู้ฟังรู้สึกอินกับสิ่งที่เรากำลังสื่อสาร การใช้งาน Top-T ประกอบด้วย
Top-T Framework
- Topic กราฟที่เรากำลังจะอธิบายคือกราฟอะไร (วัตถุประสงค์ที่กราฟต้องการนำเสนอไม่ใช่ประเภทกราฟนะคะ)
- Orient องค์ประกอบของกราฟ เช่น แกน X แกน Y แท่งสีแดงนำเสนอข้อมูลอะไร เป็นต้น
- Point สิ่งที่เราต้องการจะสื่อคืออะไร ข้อมูลที่นำเสนอควรจะช่วยให้ผู้ฟังตะลึง สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมข้อมูลนี้เราถึงควรให้ความสนใจมันต่อ
- Transition การโปรยหัวข้อถัดไปเพื่อให้เกิดการติดตามข้อมูลเพิ่มเติม
ตัวอย่าง
- Topic วันนี้เพียสจะมานำเสนอยอดค่าใช้จ่ายของลูกค้าที่เป็น Top spender ของบริษัทเราค่ะ
- Orient องค์ประกอบของกราฟ ก็จะมีในส่วน แกน X ที่เป็น Customer ID ค่ะ ส่วนแกน Y คือยอดการใช้จ่ายของลูกค้า
- Point จากกราฟเราจะเห็นว่าลูกค้า ID 0001 มียอดการใช้จ่ายของเดือน พ.ค. มากกว่ารายอื่นๆถึง 100,000 ฿
- Transition จากยอดค่าใช้จ่ายนั้นเราไปดูกันค่ะว่าเป็นสินเค้าประเภทไหน แล้วลูกค้าเป็นใครทำอาชีพอะไร…
Character arc
เป็นการเล่าเรื่องที่มีจังหวะของการทำให้เรื่องน่าสนใจมากขึ้น การเล่าเรื่องของสิ่งนี้จะเป็นเหมือนการติดตามภาพยนต์ หนัง หรือ นิทานซึ่งในเรื่องราวต้องมีการทำให้เนื้อเรื่องชวนน่าติดตาม เพื่อให้ผู้ฟังอินกับเนื้อหา
จากกราฟก็จะเป็นตัวอย่างของเรื่องราวที่เป็น เรื่องราวของความรัก ช่วงต้นๆเรื่องนั้นค่อนข้างที่จะมีอารมณ์ที่เป็นบวก การอินเลิฟของพระเอกและนางเอกทำให้เราอินมากๆ ต่อมากลางเรื่องเริ่มมีอุปสรรคมาขัดขวาง จนในตอนท้ายถึงจะกลับมาดีขึ้น
หรือแม้แต่เรื่องแนวการผจญภัย แรกๆก็มีอุปสรรคให้ผ่านเยอะขึ้นเรื่อยๆค่อยๆไต่ขึ้น แล้วจุดนึงก็จะดิ่งลง แล้วพอผ่านสิ่งนั้นมาได้ก็จะดีดขึ้นไปอีกจนในตอนท้ายก็จบด้วยความเรียบง่ายที่มีความสุข
The pyramid principle
จากยอดพิระมิดถึงฐานจะประกอบด้วย 3 ส่วน ส่วนของยอดคือ การเล่าเรื่องด้วย Main idea เราต้องการสื่อสารกับผู้ฟัง ว่าสิ่งที่เราอยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคือเรื่องอะไร ส่วนถัดมาคือ การหาข้อมูลเพื่อมาสนับสนุนหัวข้อหลักของเรา ในแต่ละหัวข้อที่เราเอามาสนับสนุนนั้นเราก็ต้องมีข้อมูลจริงมาสนับสนุนด้วยเช่นกัน
ตัวอย่าง ที่เพียสลองมะโนฝึกใช้ในคลาส
Main idea : อยากให้ทุกคนร่วมแยกขยะ
Why : เพื่อให้การ Recycle มีประสิทธิภาพมากขึ้นและสร้างมูลค่าให้ขยะ
How : วัสดุที่ใช้ Recycle จะได้หมุนเวียน , ไม่เป็นภาระให้คนเก็บขยะ
ข้อควรระวัง คือ Support fact ควรที่จะมีมากกว่า 1 เพื่อให้ Why ของเรามีน้ำหนักเพียงพอต่อการตัดสินใจ
เนื้อหาที่เอามาแบ่งปันก็มีประมาณนี้นะค้าบ แน่นอนว่าเป็นการเอาสิ่งที่เพียสทำความเข้าใจมาแบ่งปัน ถ้ามีตรงไหนที่ผิดพลาดไปต้องขออภัยด้วยนะคะ หวังว่าสิ่งนี้จะมีประโยชน์กับผู้อ่านนะคะ