เมื่อสัปดาห์ก่อนได้มีโอกาสได้ live เรื่องเกี่ยวกับ Continuous Integration เราเริ่มด้วยความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Continuous Integration (CI) มีหลายความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ CI ที่พบได้บ่อย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการนำ CI ไปใช้และประสิทธิภาพของทีมพัฒนา:
- CI คือเครื่องมือหรือเทคโนโลยี: แม้ว่า CI จะเกี่ยวข้องกับการใช้เครื่องมืออัตโนมัติ แต่ก็เป็นแนวทางปฏิบัติและวัฒนธรรมมากกว่าเพียงแค่เครื่องมือ การนำ CI มาใช้ให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของทีมและการสื่อสาร
- CI ทำให้ทุกอย่างเป็นไปโดยอัตโนมัติ: แม้ว่า CI จะเน้นการทำงานอัตโนมัติ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะถูกทำให้เป็นอัตโนมัติเสมอไป ยังคงต้องใช้การตัดสินใจและการแทรกแซงจากมนุษย์ในบางกรณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดข้อผิดพลาดหรือสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด
- CI ทำให้การพัฒนาเร็วขึ้น: แม้ว่า CI จะสามารถช่วยเพิ่มความเร็วในการพัฒนาในระยะยาวได้ แต่ก็อาจทำให้กระบวนการพัฒนาช้าลงในระยะแรก เนื่องจากทีมต้องปรับตัวเข้ากับแนวทางปฏิบัติใหม่และแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดเหล่านี้ สิ่งสำคัญคือต้องทำความเข้าใจ CI อย่างถ่องแท้และปรับใช้ CI ให้เหมาะสมกับบริบทของโครงการและองค์กร นอกจากนี้ การสื่อสารและการทำงานร่วมกันระหว่างทีมต่างๆ ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของ CI
ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องและการนำไปใช้อย่างเหมาะสม CI สามารถเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการปรับปรุงคุณภาพของซอฟต์แวร์ เพิ่มความเร็วในการพัฒนา และส่งเสริมวัฒนธรรมการทำงานร่วมกันภายในทีม
ประวัติโดยย่อของการรวมอย่างต่อเนื่อง (Continuous Integration — CI)
ช่วงเริ่มต้น
แนวคิดเบื้องหลัง CI มีรากฐานมาจากแนวทางการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบ incremental และ iterative ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 Grady Booch ได้บัญญัติศัพท์ “Continuous Integration” ในหนังสือของเขาในปี 1991 อย่างไรก็ตาม Kent Beck และ Ron Jeffries ได้นำแนวคิดนี้ไปปฏิบัติจริงในปี 1997 ระหว่างที่พวกเขาทำงานในโครงการ Chrysler Comprehensive Compensation System (C3) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Extreme Programming (XP)
นิยาม
Continuous Integration (CI) หรือการรวมอย่างต่อเนื่อง คือแนวปฏิบัติในการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่นักพัฒนารวมการเปลี่ยนแปลงโค้ดของตนเข้ากับที่เก็บส่วนกลางบ่อยครั้ง ซึ่งโดยปกติแล้วจะทำหลายครั้งต่อวัน เมื่อโค้ดถูกส่ง ระบบ CI จะตรวจสอบแต่ละการรวมโดยการสร้างโครงสร้างใหม่และดำเนินการทดสอบอัตโนมัติหลายชุดเพื่อตรวจจับและแก้ไขข้อผิดพลาดในการรวมได้เร็วขึ้น
ประโยชน์ของ CI
- การตรวจจับข้อผิดพลาดในช่วงต้น: CI ช่วยให้สามารถตรวจจับข้อผิดพลาดได้เร็วขึ้นในวงจรการพัฒนา ซึ่งทำให้ง่ายและถูกกว่าในการแก้ไข
- ปรับปรุงคุณภาพซอฟต์แวร์: ด้วยการทดสอบโค้ดใหม่อย่างต่อเนื่อง CI ช่วยให้มั่นใจว่าโค้ดเบสยังคงมีเสถียรภาพและมีคุณภาพสูง
- การทำงานร่วมกันของทีมที่ดีขึ้น: CI ส่งเสริมให้นักพัฒนาทำงานในส่วนเล็ก ๆ และรวมการเปลี่ยนแปลงของพวกเขาบ่อยขึ้น ซึ่งช่วยลดความขัดแย้งในการรวมและทำให้การทำงานร่วมกันง่ายขึ้น
- การเผยแพร่ที่เร็วขึ้นและบ่อยขึ้น: ด้วยการทำให้กระบวนการสร้างและทดสอบเป็นไปโดยอัตโนมัติ CI ช่วยให้ทีมสามารถเผยแพร่ซอฟต์แวร์ได้บ่อยขึ้นและเชื่อถือได้มากขึ้น
การพัฒนาและเครื่องมือ
ในช่วงต้นปี 2000 เครื่องมือ CI เฉพาะตัวแรกเริ่มปรากฏขึ้น เช่น CruiseControl และต่อมาคือ Hudson (ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Jenkins เนื่องจากปัญหาทางกฎหมาย) เครื่องมือเหล่านี้ทำให้กระบวนการ CI เป็นไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งรวมถึงการสร้าง การทดสอบ และการรายงานผล ทำให้ทีมสามารถระบุและแก้ไขปัญหาการรวมได้เร็วขึ้น
การนำไปใช้อย่างแพร่หลาย
ด้วยการเติบโตของ Agile และ DevOps CI ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงกลางทศวรรษ 2000 ปัจจุบัน CI ถือเป็นแนวปฏิบัติมาตรฐานในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ส่วนใหญ่ และมีเครื่องมือและบริการมากมายที่รองรับ CI
วิวัฒนาการ
CI ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีแนวโน้มไปสู่ไปป์ไลน์ที่เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การผสานรวมกับเทคโนโลยีคลาวด์ และการเน้นที่ DevSecOps (การรวมความปลอดภัยเข้ากับ DevOps) CI (Continuous Integration) และ CD (Continuous Delivery/Deployment) เป็นแนวปฏิบัติที่สำคัญในการพัฒนาซอฟต์แวร์สมัยใหม่ ซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดและมักจะถูกนำไปใช้ร่วมกันเพื่อสร้างกระบวนการพัฒนาและเผยแพร่ซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพ CD ต่อยอดจาก CI โดยนำโค้ดที่ผ่านการตรวจสอบจาก CI ไปสู่ขั้นตอนการเตรียมพร้อมสำหรับการเผยแพร่ ซึ่งรวมถึงการทดสอบเพิ่มเติม การบรรจุภัณฑ์ และการกำหนดค่าต่างๆ เพื่อให้โค้ดพร้อมสำหรับการปรับใช้ในสภาพแวดล้อมการผลิตได้ทุกเมื่อ
