Impact mapping

Pierceeee
odds.team
Published in
4 min readDec 18, 2023

สิ่งที่ได้จากการอ่านหนังสือ 🤩

Impact mapping คืออะไร?
เป็นเทคนิคการวางแผนกลยุทธ์การทำ product เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการส่งมอบที่ผิด หรือการทำสิ่งที่ไม่ตรงเป้าหมาย ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยในการสื่อสาร assumption เพื่อให้เกิดการสื่อสารและทำความเข้าใจที่ตรงกัน ด้วยการเห็นเป็นภาพเดียวกัน เพื่อให้ได้ product ออกมาใช้งานที่เร็วที่สุด และ มองภาพร่วมกันชัดเจนที่สุด โดยการทำเช่นนี้จะทำให้เราทำ product ที่มี impact จริงๆกับ business

ประโยชน์ของ Impact mapping ช่วยแก้ปัญหาเรื่องเหล่านี้ได้

  1. Scope creep — การที่เราเห็นภาพรวมจาก map จะทำให้เราเห็นว่า Feature อะไรที่เรา Focus อยู่ และเมื่อใดที่เป้าหมายที่เราเลือกนั้นสำเร็จเราก็สามารถหยุดทำได้ทันที และย้ายไปทำสิ่งอื่นที่เป็น Impact รองลงมาได้ ไม่เหมือนวิธีที่เรามีฟีเจอร์เยอะแล้วก็ทำไปเรื่อยๆโดยที่ไม่ได้สนใจว่าสิ่งที่ทำนั้น impact มากหรือไม่ทำให้เสียแรงและเวลาจนเกินไป
  2. Wrong solutions — มันจะช่วยให้เราคิดหาวิธีทำ feature ที่ ง่าย ราคาถูก (ประหยัดแรง) และรวดเร็ว ไม่ใช้ เทคนิคที่ยากจนเกินไป
  3. Pet features — การที่เราใช้ impact mapping จะทำให้เราเลือก Solution ที่ทำได้ไว ทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นอาจจะไม่รองรับในทุกๆ Activity ที่เราต้องการเพื่อสนับสนุนเป้าหมายโดยรวมของเรา ซึ่งมันจะทำให้เราตัดสินใจไม่ทำได้ง่ายขึ้นหรือมองข้ามมันไปก่อน เช่น แบบนี้ยังไม่ต้องเพราะมันเยอะไป เอาแค่นี้ก็พอ
  4. Wrong Assumptions — การตั้งสมมติที่ฐานที่ไม่สอดคล้องกับ Goal จะไม่เกิดขึ้น แน่นอนเนื่องจาก map นี้จะช่วยให้เราเห็นว่า ใครต้องทำอะไรให้ Goal สำเร็จ เราจึงสามารถตรวจสอบได้ว่า How (ผลกระทบ) ที่เราคิดมันส่งผลกับผู้ใช้งานจริง มันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของ Actor จริงจากการวัดผล
  5. Ad hoc Prioritisation — การที่เรา มี map ทำให้เรารู้แล้วว่าฝั่ง Business มี Goal ที่ต้องการเป็นอะไร ทำให้เวลาที่เราต้องจัด Priority จะทำให้เราสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าควรทำอะไรก่อน เพื่อให้ตอบโจทย์ให้ได้ไวที่สุด และ ยังเป็นจุดแชร์เรื่องราวระหว่างผู้เข้าร่วมทุกแผนก (Business , IT และ อื่นๆ) เพื่อให้สามารถแลกเปลี่ยนความคิดว่าใครสำคัญกว่าเพราะอะไร การพูดคุยกันจะทำให้เข้าใจกันและกันได้มากกว่า

สิ่งที่ต้องนึกถึง ในการทำ Impact mapping คือ
“ WHY WHO HOW WHAT ”

ทำไมต้องเป็น 4 คำนี้ เพราะว่าแต่ละคำมีความเกี่ยวข้องกันดังนี้

WHY = Goal
คือการตั้งเป้าหมายว่าทำไมเราต้องทำสิ่งนี้ สิ่งที่มีประโยชน์ และแสดงให้เห็นว่าปัญหาจะถูกแก้อย่างไร ไม่ใช่เป็นเรื่องทาง technical scope หรือ วิธีแก้ปัญหา ซึ่งการตั้ง Goal ที่ดีต้องใช้สิ่งที่เรียกว่า SMART โดยแต่ละตัวมีความหมายดังนี้
Specific — มีความชัดเจน เจาะจงเรื่องที่ต้องการแก้ปัญหา
Measurable — สามารถวัดผลได้จริงเพื่อให้เห็นว่าสิ่งที่ทำมีประสิทธิภาพจริง
Action-oriented — มีการดำเนินการว่าเราจะวัดผลอย่างไรด้วยวิธีการแบบไหน
Realistic — สามารถทำได้จริงในตอนนี้ ไม่ใช่อีก 10 ปีข้างหน้าถึงจะทำได้
Timely — มีขอบเขตเวลาที่ชัดเจนแน่นอน
ตัวอย่าง : อยากเพิ่มจำนวนคนซื้อตั๋วชมการแสดงของวง New baby ภายใน 3 เดือนด้วยยอดขายรวม 50,000 บาท, ท่องคำศัพท์ใหม่ ภาษาอังกฤษ หมวด UX 30 คำ ภายใน 1 เดือน

WHO = Actors
คนที่เราต้องการให้เกิด impact กับพฤติกรรมของเขา หรือเรียกว่าคนที่มีอิทธิผลต่อผลลัพธ์ที่เราวางเป้าหมายไว้ แม้แต่คนที่จะมาขัดขวางเราก็นับรวมคนกลุ่มนี้ด้วยและแน่นอนว่า actors ไม่ใช่ว่าเราจะเลือกใครก็ได้ คุณ Alistair Cockburn จึงแบ่งวิธีการกำหนด actors ไว้ 3 ประเภท

  1. Primary actor : ใครที่จะถูกเติมเต็ม คนที่เราต้องการอยากให้พฤติกรรมของเขาเปลี่ยนไปเมื่อเราทำ product ไปให้เขาใช้งาน
  2. Secondary actors: ใครที่จะช่วย Provide service ในที่นี้คือคนที่คอยช่วยเหลือหรือสนับสนุน ให้เกิดการเปลี่ยนพฤติกรรม
  3. off-stage actors: คนที่มีพฤติกรรมที่น่าสนใจ แต่ไม่ได้ส่งผลโดยตรงกับเป้าหมาย

HOW = Impact
จากที่เรามี Actors ที่สอดคล้องกับ Business goal ของเรา แล้วเราต้องทำยังไงให้คนนั้นเกิดพฤติกรรมที่เปลี่ยน จะทำให้เขาทำเป้าหมายให้สำเร็จได้ยังไงบ้างนะ อะไรที่จะมาขัดขวางไม่ให้เป้าหมายนั้นสำเร็จ
ตัวอย่าง : Inviting more friend, Purchasing tickets without calling the call center, Selling tickets faster
ภาพของ Impact เราจะไม่สนใจว่าวิธีการจะเป็นอะไร เราแค่ต้องการเป้าหมายบางอย่างที่เป็นภาพที่เราอยากให้เป็นส่วนเรื่องการจะทำยังไง เราจะดูที่ WHAT

WHAT = Deliverables แล้วเราจะส่งมอบอะไรได้บ้างล่ะ เช่น กลุ่มที่เป็น Software feature หรืออาจจะเป็น กิจกรรมของทางองค์กร จาก HOW ที่เราได้มาเราทำอะไรได้บ้างที่จะทำให้เกิด Impact ได้ไวที่สุด
ตัวอย่าง : on-line ticket sales, Mobile home page with purchase form, Optimize call center scripts

Example impact mapping for communicate overview to team

วิธีการทำ Map เขาทำกันยังไงหรอ?

Step for creating an impact mapping : Preparation (Discover real goal,Define goal measurement, Plan your first milestone), Mapping (Draw the map skeleton, Find alternative, Identify key priority, Earn or Learn)

Preparation

  1. Discover real goal
    กำหนด Roadmap ที่มีภารกิจที่ทุกคนตกลงร่วมกัน เขียน Goal ที่คิดว่าจะเป็นไปได้บน White board และทำการโต้แย้งกัน ปรึกษาหารือ หรือ เปรียบเทียบให้ได้สิ่งที่คิดว่าใช่ คืออะไร โดยอยากให้หา 1 Objective ต่อ 1 milestone (ถ้าหาไม่ได้ทำยังไง ก็ตั้งคำถามกลับว่าทำไมต้องมีฟีเจอร์นี้มันสำคัญยังไง จะทำยังไงให้มันสามารถใช้งานได้จริง หรือ ถามจนกว่ามันจะชัดเจนพอที่จะช่วยประหยัดเงินทุนได้ หรือ เพิ่มเงินให้กับองค์กรได้ โดยใช้หลักการ 5 why) [ภาพประกอบ A]
  2. Define Good measurement
    การวัดผลเราต้องการรู้ว่าอะไรที่จะทำให้เรา Track ได้ง่ายและสื่อถึงคุณค่าของงานที่ทำ ซึ่งการวัดผลที่มี high value มากๆ มักจะมีความเสี่ยงที่จะพลาดสูง
    การวัดที่ดีต้องมีองค์ประกอบดังนี้
    Scale : อะไรที่ต้องการวัด
    Meter : แหล่งที่มาของข้อมูลที่เราจะเอามาวัด
    Benchmark : เกณฑ์มาตรฐาน (จากสถานการณ์ ปัจจุบัน)
    Constraint : จุดคุ้มทุน
    Target : Value เป้าหมายที่เราต้องการอยากให้เป็น
    [ภาพประกอบ B]
  3. Plan your first milestone
    ร่วมกันแสดงความคิดเห็นว่าเราจะกำหนดเหตุการณ์ไหนเป็นสำคัญก่อนเพื่อให้ทุกคน โหวตและตรวจสอบว่าการวัดผลนั้นสอดคล้องไหมกับสิ่งที่ต้องการ
    เช่น Milestone : ผู้เล่นเพิ่มขึ้น ไม่มี impact ที่ไม่ดีกับ Retention, 100%เพิ่ม IT cost ถ้าจำเป็น [ภาพประกอบ C]
A. Example conversation to define real goal
B. Example define good measurement
Milestone I : more player, no negative impact on retention, 100% increase in IT costs allowed if necessary. Milestone II: no damage to number of player or retention, reduce IT costs.
C . Milestone I : more player, no negative impact on retention, 100% increase in IT costs allowed if necessary. Milestone II: no damage to number of player or retention, reduce IT costs.

Mapping

Draw the map skeleton
การวาดออกมาเป็นโครงสร้างว่า Goal ที่ตั้งหรือว่า Actors เรามีใครบ้าง มี Impact อะไรบ้าง และ Deliverable อะไรที่สามารถทำได้ เป็นเส้นแกนหลัก 1 แกนก่อน และแน่นอนว่าอย่าลืมการ measurement ด้วยเขียนไว้ใกล้ๆ Goal เลย

Find alternatives
การหาทาเลือกในที่นี้คือมาช่วยกันระดมสมองว่าเราต้องทำอะไรเพื่อให้ตอบโจทย์ Goal เราบ้างนะ เพื่อที่จะได้ actors , impact และ deliverable ออกมาเยอะๆ เพื่อเป็นทางเลือกให้ตัดสินใจ

Identify key priority
มากำหนด priority ซะหน่อยว่าอะไรที่เราควรทำก่อนหรือทำหลัง พูดคุยกันให้มากๆด้วยการให้เหตุผลกันและกันเพื่อให้เกิดการสื่อสารที่เข้าใจตรงกันมากที่สุด แล้วก็ร่วมกันโหวต

Earn or Learn
มีการแบ่ง User story ออกเป็น 2 ประเภท
1. Earning story คือ story ที่จะได้ผลลัพธ์กลับมา เรียกว่า User story
2. Learning story คือ story ที่ใช้สำหรับเรียนรู้และทดสอบสมมติฐาน สิ่งที่ได้อาจจะไม่ได้ส่งผลโดยตรงกับ Product แต่สิ่งที่จะได้คือ ช่วยในการตัดสินใจแนวโน้มของ Productในอนาคต

Typical mapping mistake

  1. The jumper : ข้ามไป over level จนเกินไป รีบ link technical scope โดยตรงกับ Actor เนื่องจากการทำแบบนี้จะไม่ทำให้เกิด Divergent thinking แถมยังทำให้ไม่มี Assumption ดีๆด้วย
  2. The Astronaut : การสร้าง map ที่ไม่มีตัววัดผลก็ไม่ต่างอะไรกับการอยู่ในอวกาศในสภาพที่ไร้น้ำหนักที่ไม่สามารถมี Good feedback เนื่องจากการมีเป้าหมายที่วัดผลได้มันสำคัญต่อการตัดสินใจกับสิ่งที่เป็นไปได้และไม่ได้
  3. The surrealist : เป้าหมายที่ไม่สามารถเป็นจริงได้ (non-actionable metric) จะไม่สามารถทำให้เกิด map ที่ดีได้ ตอนที่กำหนด milestone หรือ Key measurement ทุกคนที่เข้าร่วมต้องเห็นพ้องต้องกันว่าเป็นไปได้ ถ้าไม่ได้ต้อง Define ใหม่เสมอ
  4. The shopper : การเริ่มต้นจากของที่มีอยู่ใน Shopping list ไอเดียใหม่ๆที่จะได้ก็จะออกมาจากของเดิมๆเหล่านั้นไม่มีอะไรใหม่ ดังนั้นควรจะมี Actor และ impact ให้ชัดเจนก่อนเสมอ
  5. The optimist (มองโลกในแง่ดี) : ทุกๆทีมมักจะมีอุปสรรค ดังนั้นเราควรต้อง Support positive activity เช่น ทีมยังไม่มี Actor บนแม็ปเราต้องช่วยเขาถาม เพื่อให้เขาคิด และ สร้างสถานการณ์ที่ส่งเสริมกัน
  6. The dreamer : impact map ของเรานั้นเกิดจากพฤติกรรมของ Actor บางครั้งเราใช้เวลามากเกินไปในการ แก้ปัญหา ซึ่งหวังว่าทำ 1 อย่างจะแก้ได้ทุก Goal ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้ ต้องทำให้ทีมแยกแยะให้ได้
  7. Robot : เราทำ Impact mapping เพื่อสร้าง Road map การส่งมอบ ดังนั้นถ้า item บน map นั้นเป็น technical หมดเลย เราควรมองหารูปแบบวิธีหลายๆแบบที่ไม่ใช่แค่มี Software อย่างเดียว จริงๆแล้วพฤติกรรมของคนใช้ เขาเปลี่ยนไปยังไง ซึ่งบางครั้งมันจะทำให้เกิดการพัฒนา จากการ Discussion ไม่ใช่เป็น Robot ที่คอยทำตามคำสั่งอย่างเดียว
  8. Octopus : มันจะไม่เกิด Critical ถ้า Map เรามีตัวชี้วัดแค่ 1 ตัว แต่ถ้า map มันมีอะไรให้วัดเต็มไปหมดเลย ให้เราเลือกมาทำแค่ 1 เพื่อโฟกัสแทนที่จะทำให้มันสำเร็จทั้งหมดใน 1 ครั้ง ให้เปลี่ยนเป็นการแบ่งออกมาเป็น หลายๆ milestone เพื่อโฟกัสเป็นชิ้นย่อยจะดีกว่า

Typical organizational mistake

  1. Too many people : การที่มีคนใน Workshop ที่มากเกินไปก็จะทำให้คนที่ Facilitator จัดการยาก ทางที่ดีควรเลือกมาสัก 5–6 คนที่เป็น key หลักๆสำหรับทำ Workshop ก็เพียงพอแล้ว
  2. Wrong people : คนที่จะมาเข้าร่วมควรจะเป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจได้ และสามารถถ่ายทอด Business value ให้คนในทีมได้ด้วยเช่นกัน เช่น กิจกรรมที่ต้องมีพี่ๆ Senior แต่ดันส่งน้องฝึกงานที่เพิ่งมาทำงานใหม่เข้าคนเดียวและไม่มีข้อมูลที่สามารถตัดสินใจแทนพี่ได้
  3. Room layout : ควรเลือกห้องที่มี White board เยอะๆ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมร่วมขีดเขียน ร่วมกันไม่ใช่แค่นั่งฟัง หรือเล่นมือถือ บรรยากาศที่ควรจะเป็นการสร้างพื้นที่ให้ทุกคนได้คุยได้แลกเปลี่ยนและร่วมกัน Capture ข้อมูลให้ได้มากที่สุด

Typical facilitation mistake

  1. Critical too early : การวิพากวิจารณ์ที่เกิดขึ้นเร็วเกินไป เช่น ช่วงที่มีการ Divergent ที่เราต้องการ Idea มากๆจะเป็นการปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ ก่อนที่จะได้เลือกตัวเลือก ดังนั้นอย่าทำ
  2. One big group : ไม่ควรที่จะทำ Workshop ด้วยการจัดกลุ่มใหญ่ๆ เนื่องจากหากมีคนๆนึงที่มีความมั่นคงทางความคิดมากๆและเป็น Dicision-maker จะทำให้การ Workshop ร่วมกับคนอื่นๆจะเป็นการ lead ความคิดไปทางเขาซะหมด ทางที่ดีจึงควรแบ่งกลุ่มย่อยๆ เพื่อเลี่ยงสถานการณ์นี้
  3. Reverse-engineering an entire shopping list : เรามักจะเริ่มจาก Feature shopping list จำนวนมากมาย โยนทั้งหมดนั่นทิ้งไปแล้วเริ่มมองหาตัวเลือกใหม่ๆ โดยอาจจะใช้ Key item บางอย่างใน Shopping list มาวาด Skeleton จากนั้นก็ผลักดันให้พวกเขาคิดถึงทางเลือกใหม่ๆ
  4. Going in to too much low level detail early on : ให้ทุกคนโฟกัสที่ actor และ impacts เป็นหลักเพื่อไม่ให้ผู้ร่วม Workshop ออกนอก Scope ของ business การที่เราลงรายละเอียดใน map ที่ต้องการให้เห็นภาพกว้าง จะทำให้บุคคลที่เป็น Design-maker รู้สึกเสียเวลาที่ต้องมาลงรายละเอียดทั้งที่ภาพยังไม่ชัดเจน

เนื่องจาก Blog นี้เป็นการแปลจากความเข้าใจของผู้อ่าน ที่ต้องการจดบันทึกเรื่องราวที่เกิดจากการค้นคว้า ข้อความที่ใช้อาจจะไม่ได้สวยงาม ต้องขออภัย ณ ที่นี้ด้วยนะคะ หากต้องการนำไปใช้งานแนะนำว่าให้หาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น และเพื่อความถูกต้องของการใช้งาน

Book impact mapping By Gojko Adzic

Referral : https://www.impactmapping.org/

--

--