บริษัทเราทำแบบนั้นไม่ได้หรอก เพราะพวกเรามีข้อจำกัดมากมาย
เราทำงานนี้ไม่ได้หรอกเพราะพวกเราไม่มีความสามารถ
เราเคยเห็นและได้ยินประโยคแบบนี้มากมาย คำถามคืออะไรที่ทำให้เราคิดแบบนั้น?
ในบริบทของหนังสือ “The Fifth Discipline” ของ Peter Senge คำว่า “mental models” หรือ แบบจำลองทางความคิด หมายถึง สมมติฐาน, ความคิดทั่วไป หรือแม้กระทั่งภาพในใจที่ฝังลึก ซึ่งมีอิทธิพลต่อวิธีที่เราเข้าใจโลกและการกระทำของเรา
โดยพื้นฐานแล้ว แบบจำลองทางความคิดคือกรอบความคิดที่เราใช้ตีความสิ่งที่เราเห็นโดยภาพเหล่านี้จะมีผลกับประสบการณ์ที่ผ่านมา ทำให้เรามีกระบวรการ ตัดสินใจ และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นตามแบบจำลองนั้น แบบจำลองเหล่านี้อาจเป็นได้ทั้งแบบที่เรารู้ตัวและไม่รู้ตัว และมีบทบาทสำคัญในการกำหนดพฤติกรรมและการมีปฏิสัมพันธ์ของเราภายในองค์กร
สรุปได้ว่า แบบจำลองทางความคิดคือเลนส์ภายในที่เราใช้มองความเป็นจริง และการทำความเข้าใจและทำงานกับมันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้
พวกเรามักจะตั้งสมมติฐานอยู่ตลอดเวลา เราต้องทำเช่นนั้นเพราะเราไม่สามารถแก้ปัญหาที่มีตัวแปรที่เป็นค่าไม่คงที่หลายๆค่าพร้อมกันได้ ดังนั้นเราจึงต้องกำหนดตัวแปรต่างๆที่เราไม่สนใจให้เป็นค่าคงที่เพื่อให้สามารถทำแก้ปัญหาที่เราสนใจได้ต้องการได้ เช่น ถ้าเราคิดว่าเราจะชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าพรุ่งนี้ก่อนไปทำงาน คุณต้องสมมติว่าไฟฟ้ามีแนวโน้มที่จะมาในตอนเช้า และรถของคุณจะสตาร์ทติด หรือถ้าเราต้องการวางแผนการผ่านบ้านระยะยาว 30 ปีเราต้องคิดว่าเงินเดือนของเราจะมาถึงเมื่อถึงกำหนด การคิดว่าใครบางคนกำลังจะพูดอะไรก่อนที่พวกเขาจะพูด ดังนั้นเราจะเห็นว่าบ่อยครั้งที่คนเราไม่กล้าที่จะลงมือทำอะไรใหม่ในองค์กรเพราะเราคิดว่า บางสิ่งเป็นแบบที่เป็นอยู่ในตอนนี้ มันจะเป็นแบบนั้นตลอดไป
แบบจำลองทางความคิดที่มีอยู่ในใจนั้น ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงและส่งผลต่อการกระทำของเรา
ดังนั้นถ้าเราอยากคนที่อยู่ในองค์กรของเราเปลี่ยนแนวคิดหรือพฤติกรรม สิ่งที่เราเปลี่ยนให้ได้ก่อนคือการเปลี่ยนแบบจำลองทางความคิดก่อน การเปลี่ยนแปลงแบบจำลองทางความคิดของเราต้องอาศัยความพยายามและการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนที่สามารถช่วยให้เราเปลี่ยนแปลงแบบจำลองทางความคิดของเราได้
- ตระหนักรู้ถึงแบบจำลองทางความคิดของเรา: ขั้นตอนแรกและสำคัญที่สุดคือการตระหนักถึงแบบจำลองทางความคิดที่มีอยู่ของเรา เราสามารถทำได้โดยการไตร่ตรองถึงความเชื่อ สมมติฐาน และค่านิยมของเรา รวมถึงสังเกตพฤติกรรมและปฏิกิริยาของเราในสถานการณ์ต่างๆ การพูดคุยกับผู้อื่นและขอข้อเสนอแนะก็เป็นประโยชน์เช่นกัน
- ตั้งคำถามกับแบบจำลองทางความคิดของเรา: เมื่อเราตระหนักถึงแบบจำลองทางความคิดของเราแล้ว เราควรตั้งคำถามกับมัน เราควรพิจารณาว่าแบบจำลองเหล่านี้ยังคงมีความเกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์อยู่หรือไม่ และมันจำกัดความคิดหรือการกระทำของเราหรือไม่
- เปิดรับมุมมองใหม่: เราควรเปิดรับและพิจารณามุมมองและความคิดใหม่ๆ เราสามารถทำได้โดยการอ่านหนังสือ ฟังพอดแคสต์ หรือพูดคุยกับผู้ที่มีภูมิหลังและประสบการณ์ที่แตกต่างจากเรา
- ทดลองและฝึกฝน: การเปลี่ยนแปลงแบบจำลองทางความคิดต้องใช้เวลาและการฝึกฝน เราควรทดลองวิธีคิดและการกระทำใหม่ๆ และเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของเรา
- แสวงหาข้อเสนอแนะ: การขอข้อเสนอแนะจากผู้อื่นสามารถช่วยให้เรามองเห็นจุดบอดของเราและระบุ areas ที่เราต้องพัฒนา
การเปลี่ยนแปลงแบบจำลองทางความคิดเป็นกระบวนการต่อเนื่อง เราต้องพร้อมที่จะเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป
นอกจากนี้ การมี ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ที่เราสามารถสำรวจความคิดและความเชื่อของเราได้อย่างเปิดเผยโดยไม่ต้องกลัวการถูกตัดสิน ก็เป็นประโยชน์อย่างมากในการเปลี่ยนแปลงแบบจำลองทางความคิด
จำไว้ว่า การเปลี่ยนแปลงแบบจำลองทางความคิดอาจเป็นเรื่องท้าทาย แต่ก็คุ้มค่ากับความพยายาม มันสามารถนำไปสู่การเติบโตส่วนบุคคล ปรับปรุงการตัดสินใจ และเพิ่มความสามารถในการแก้ปัญหาของเราได้
ภาวะผู้นำและการปรับปรุงแบบจำลองทางความคิดในองค์กร
ภาวะผู้นำมีบทบาทสำคัญในการสร้างและปรับปรุงแบบจำลองทางความคิดภายในองค์กร ผู้นำสามารถส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้และการเปิดกว้าง ซึ่งกระตุ้นให้พนักงานท้าทายสมมติฐานและพัฒนาแบบจำลองทางความคิดของตนเองได้ ต่อไปนี้คือกลยุทธ์ที่ผู้นำสามารถใช้เพื่อปรับปรุงแบบจำลองทางความคิดในองค์กร:
1. เป็นแบบอย่าง: ผู้นำควรเป็นแบบอย่างในการแสดงให้เห็นถึงความเต็มใจที่จะเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ท้าทายสมมติฐานของตนเอง และเปิดรับมุมมองใหม่ๆ เมื่อพนักงานเห็นว่าผู้นำเต็มใจที่จะเติบโตและพัฒนา พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะทำตาม
2. สร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับการเรียนรู้: สร้างพื้นที่ที่พนักงานรู้สึกสบายใจที่จะแบ่งปันความคิด ตั้งคำถาม และยอมรับข้อผิดพลาดโดยไม่ต้องกลัวการถูกตัดสิน สิ่งนี้จะช่วยให้พวกเขารู้สึกมั่นใจในการสำรวจและท้าทายแบบจำลองทางความคิดของตนเอง
3. ส่งเสริมการไตร่ตรองและการพูดคุยอย่างเปิดเผย: กระตุ้นให้พนักงานไตร่ตรองถึงสมมติฐานและความเชื่อของตนเองอย่างสม่ำเสมอ อำนวยความสะดวกในการอภิปรายแบบเปิดที่พนักงานสามารถแบ่งปันมุมมองและเรียนรู้จากกันและกันได้
4. สนับสนุนการเรียนรู้และการพัฒนา: จัดหาโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนา เช่น การฝึกอบรม การประชุมเชิงปฏิบัติการ และโปรแกรมการให้คำปรึกษา เพื่อช่วยให้พนักงานพัฒนาแบบจำลองทางความคิดของตนเองและเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ
5. ใช้การคิดเชิงระบบ: สนับสนุนให้พนักงานคิดอย่างเป็นระบบ โดยพิจารณาถึงความสัมพันธ์และผลกระทบที่เกิดขึ้นระหว่างส่วนต่างๆ ขององค์กร วิธีนี้สามารถช่วยให้พวกเขาพัฒนาแบบจำลองทางความคิดที่ครอบคลุมมากขึ้นเกี่ยวกับการทำงานขององค์กร
6. ให้ข้อเสนอแนะอย่างสร้างสรรค์: ให้ข้อเสนอแนะที่ตรงไปตรงมาและสร้างสรรค์แก่พนักงาน เพื่อช่วยให้พวกเขาระบุ areas ที่พวกเขาสามารถปรับปรุงแบบจำลองทางความคิดของตนเองได้
7. ฉลองความสำเร็จ: ยอมรับและให้รางวัลพนักงานที่แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการพัฒนาแบบจำลองทางความคิดของตนเอง สิ่งนี้จะช่วยเสริมสร้างพฤติกรรมเชิงบวกและสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นทำตาม
8. นำการเปลี่ยนแปลงด้วยตนเอง: ผู้นำต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงและปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป การยึดติดกับแบบจำลองทางความคิดที่ล้าสมัยอาจขัดขวางความก้าวหน้าและนวัตกรรม
โดยการนำกลยุทธ์เหล่านี้ไปปฏิบัติ ผู้นำสามารถสร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้และการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้องค์กรสามารถปรับตัว เจริญเติบโต และประสบความสำเร็จในโลกที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา