[UXLx] สำรวจการให้บริการในงานผ่าน Service Safari
เนื้อหาในซีรีส์ #UXLx ตอนที่ 2 ของผมนะครับ สำหรับในตอนแรกที่เราพาไปสำรวจเรื่องราว, ประวัตศาสตร์ของงาน, สถาปัตยกรรมต่างๆรวมไปถึงการออกแบบเมืองใครยังไม่ได้อ่านติดตามได้ที่ ข้างล่างนี้
ในครั้งนี้ผมจะพาทุกคนไปสำรวจการให้บริการของงานในจุดต่างๆ ผ่านเครื่องมือ Qaulitative Research ที่ชื่อว่า Service Safari
Service Safari คืออะไร?
ก่อนไปถึงตัวงานมาปูพื้นฐานถึงเครื่องมือนี้กันก่อน เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันว่า Service Safari คืออะไร?
ลองนึกภาพคุณเป็นนักสำรวจที่กำลังท่องไปในป่าใหญ่ คุณจะได้พบกับประสบการณ์ต่างๆตั้งแต่การ แคมป์ปิ้ง, สัตว์ป่า, ต้นไม้, ระบบนิเวศน์, เส้นทางเดินป่า หรือแม้กระทั่งเรื่องอาหารการกิน
Service Safari ก็นำคำว่า Safari ที่เป็นการท่องสำรวจป่ามาใช้กับคำว่า Service รวมกันก็คือการที่คุณไปสำรวจการให้บริการต่างๆโดยทำตัวเป็นลูกค้าคนหนึ่ง (walk in the customers’ shoes) เพื่อทำความเข้าใจและเรียนรู้จากประสบการณ์ในทุกมิติที่คุณได้เจอ
ทำไมถึงควรทำ Service Safari?
การทำ Service Safari นั้นมีประโยชน์มากมาย:
- เข้าใจผู้ใช้บริการ: การได้สัมผัสประสบการณ์แบบเดียวกับผู้ใช้จะทำให้คุณเข้าใจความรู้สึก ความต้องการ และปัญหาของผู้ใช้บริการจริงๆ
- พบปัญหาที่ซ่อนอยู่: การลงไปสัมผัสเองอาจจะทำให้เห็นปัญหาที่ซ่อนอยู่ได้ชัดเจนขึ้น
- ปรับปรุงบริการ: ข้อมูลที่ได้สามารถนำไปใช้ในการปรับปรุงบริการให้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ได้ดียิ่งขึ้น
วิธีการทำ Service Safari
วางแผน
- กำหนดวัตถุประสงค์: ตัดสินใจว่าคุณต้องการศึกษาด้านไหนของบริการ เช่น การใช้งานเว็บไซต์, การสั่งอาหารออนไลน์, การเดินทางด้วยรถสาธารณะ เป็นต้น
- เตรียมอุปกรณ์: จดบันทึก, กล้องถ่ายรูป หรือแอปพลิเคชันสำหรับบันทึกข้อมูล
ลงสนาม
- ทดลองใช้บริการ: ลงมือใช้บริการเหมือนเป็นลูกค้าคนหนึ่ง สังเกตทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเริ่มต้นจนถึงการสิ้นสุด
- จดบันทึก: บันทึกสิ่งที่เห็น, ความรู้สึก, ปัญหาที่เจอ, และสิ่งที่ทำให้ประทับใจ
วิเคราะห์ข้อมูล
- รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล: ดูว่ามีอะไรที่พบเห็นบ่อยๆ หรือเป็นปัญหาที่ผู้ใช้คนอื่นๆ อาจเจอเช่นกัน
- สรุปข้อค้นพบ: นำข้อมูลที่ได้มาสรุปเป็นข้อค้นพบหลักๆ และข้อเสนอแนะในการปรับปรุงบริการ
ตัวอย่างการทำ Service Safari ที่สตาร์บัคส์
สมมติว่าคุณต้องการศึกษาและปรับปรุงการบริการของสตาร์บัคส์:
- เตรียมตัว: กำหนดวัตถุประสงค์ว่าต้องการศึกษาการบริการที่สตาร์บัคส์ตั้งแต่การสั่งกาแฟจนถึงการนั่งดื่มที่ร้าน
- ลงสนาม: เข้าไปที่สตาร์บัคส์ในฐานะลูกค้าปกติ ทดลองสั่งกาแฟ, สังเกตการบริการของพนักงาน, คุณภาพของกาแฟ และบรรยากาศในร้าน
- การสั่งกาแฟ: ทดลองสั่งเครื่องดื่มที่ซับซ้อนเล็กน้อย เช่น “คาราเมล มัคคิอาโต้ ไม่ใส่น้ำตาล, เปลี่ยนเป็นนมอัลมอนด์” สังเกตว่าเจ้าหน้าที่รับออเดอร์ได้อย่างถูกต้องและบริการเป็นอย่างไร
(ย้อนกลับไปในสมัยที่ผมเข้าสตาร์บัคครั้งแรกๆ ก็ประหม่าตั้งแต่จะเลือกขนาดของกาแฟอย่าง Tall, Grande, Venti !!!) - การรับเครื่องดื่ม: สังเกตว่าการบริการในขั้นตอนนี้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพหรือไม่ และแน่นอนคุณอาจเจอประสบการณ์การเขียนชื่อผิด !!!
- บรรยากาศในร้าน: สังเกตความสะอาด, ความสะดวกสบายของที่นั่ง, การตกแต่ง ,เพลงที่เปิดในร้านหรือเสียงรบกวนต่างๆ ผู้คนที่เข้ามาส่วนใหญ่มีพฤติกรรมแบบไหน นั่งแช่, สั่งแล้วกลับหรืออื่นๆ
- จดบันทึก: บันทึกปัญหาที่พบ เช่น การบริการช้า, ความสะอาดของโต๊ะ, คุณภาพของเครื่องดื่ม จากนั้นนำข้อมูลมาวิเคราะห์และสรุปเป็นข้อเสนอแนะในการปรับปรุง
Service Safari ที่งาน UXLx
กลับมาที่ตัวงาน สืบเนื่องมาจาก พวกเราที่ได้ไปงานได้รับโจทย์จากพี่ Tao ในการทำ Learning Group ที่ให้ทุกคนลองตั้งโจทย์ในการศึกษาร่วมกัน โดยกลุ่มผมที่มีชื่อทีมว่า “.org” ประกอบไปด้วยสมาชิกอีก 2 คน คือ hua ホアและ แตง โดยพวกเราเลือกจะลองศึกษารูปแบบการจัดงานและการให้บริการดู ด้วยโจทย์นี้เองจึงทำให้ผมนึกถึงเครื่องมือนี้และลองหยิบมาใช้งานดู
วางแผน
แน่นอนเรามีโจทย์แล้ว แต่อาจจะยังมีโจทย์ที่กว้างไปหน่อย ดังนั้นผมเลยมาตั้งวัตถุประสงค์ให้ชัดเจนขึ้นเป็นเรื่อง “การเข้า Workshop ในงาน”
อุปกรณ์ที่เตรียม แน่นอนว่าคือโทรศัพท์มือถือที่ใช้ถ่ายรูป และบันทึกใน note
ลงสนาม
[ก่อนวันงาน] ช่วงก่อนเดินทางมาถึงสถานที่จัดงาน เราได้ email จากทางงานมาเป็น touchpoint แรกที่ทำให้เราพอจะมั่นใจในสถานที่มากขึ้น บอกรายละเอียดชัดเจน locaiton map ไปจนการเดินทางในรูปแบบต่างๆ ถ้ามา subway ต้องลงสถานีไหน
แต่ด้วยความไม่ประมาทพวกเราก็ไปสำรวจการเดินทางและระยะเวลาที่ใช้จากโรงแรมไปถึงงานกันก่อน 1 วันล่วงหน้า ซึ่งก็พบว่าทางงานยังไม่ได้จัดเตรียมพื้นที่อะไรมาก แม้กระทั่งป้ายงานหรือการบอกเส้นทางต่างๆที่จะมาถึงสถานที่จัดงานก็ไม่เจอ (สุโค่ยยยย) แต่ดีที่เรามีผู้มีประสบการณ์จากครั้งก่อนมาคอยไกด์ให้
touchpoint ถัดมาทางงานยังมีเขียน blog แนะนำเนื้อหางานรวมไปถึงการมางานอยู่หลายโพสท์ สำหรับผมถือว่ามีประโยชน์และช่วยเหลืออย่างมากๆ แถมยังสร้างความตื่นตัวในการ warm-up ในส่วนตัวของผมอีกด้วย
[ระหว่างวันงาน] พวกเราตกลงกันว่าจะมาก่อนเวลากันสักเล็กน้อยเพื่อเผื่อเวลาในการจัดการสิ่งต่างๆ ก็พบว่าตอนเรามาถึง ทีมงานยังติดป้ายกันอยู่ แถมพนักงานต้อนรับยังไม่ออกมา… (อาจจะกำลังบรีฟหรือเตรียมตัวกันอยู่หลังบ้าน) พวกเราจึงมีเวลาถ่ายรูปเก็บบรรยากาศกัน
ถึงเวลา chec-kin พนักงานมาประจำที่จุด โดยจะแบ่งจุด check-in เป็น 3 ช่องเพื่อกระจายความแออัดและคล่องตัวในการบริการ แต่สำหรับพวกเราที่มา ณ เวลานี้ไม่ประสบปัญหา เพราะคนยังมากันไม่เยอะ
โดยการ check-in นั้นก็แสนจะง่าย เพียงเรานำหมายเลขบัตรที่เราได้รับใน email ยืนยันมาแจ้งเจ้าหน้าที่ เขาก็จะนำไปค้นในระบบ และถามชื่อเรา โดยถ้าเรายืนยันว่าใช่เขาก็ให้ป้ายและของที่ระลึกเลย ตรงนี้น่าสนใจมากที่ไม่มีการตรวจสอบหรือยืนยันด้วยเอกสารใดๆเลยว่าหมายเลขบัตรและคนรับตรงกันตามชื่อ
ผู้เข้าร่วมทุกคนจะได้ของที่ระลึกเป็นกระเป๋าสีสันสะดุดตามีโลโก้งานชัดเจน พร้อมด้วยของที่ระลึกและอุปกรณ์ต่างๆ
- ป้ายชื่อเข้างาน
- คู่มืองานที่บอกรายละเอียดครบถ้วนมากๆ ถึงรายละเอียด workshop, speaker, ห้อง workshop รวมไปถึงกิจกรรมต่างๆ
- sticker งาน 3 แผ่น
- notebook สีสันแตกต่างหลากหลายกันไป
- ขนมคลายง่วงอย่าง sugus และ m&m
นอกจากนี้ใครที่ได lucky bag จะได้หนังสือจาก parther (O’Reilly) ฟรีๆกันไปอีกด้วย ซึ่งในทีมของเราก็มีผู้โชคดีกันถึงสองคน เย้!!!
มาลงรายละเอียดที่ป้ายชื่อเข้างานกันหน่อย สำหรับบัตรที่เราซื้อมาคือ 4 Days Pass เข้างานได้เลย 4 วัน บัตรประกอบไปด้วย
- ประเภทบัตร
- วันที่ที่เข้าได้
- ชื่อที่เราใช้ลงทะเบียนตอนซื้อบัตร
- ตำแหน่ง (ซึ่งตรงนี้สังเกตุเห็นว่า น่าจะพิมพ์มาตามที่เราแจ้งเลย เพราะอย่างพวกเราที่เป็น UX การใช้ตัวเล็กใหญ่ไม่เหมือนกัน)
- ชื่อบริษัท
- ประเทศ(และธงชาติ)
- หมายเลขบัตร
- QR code
ความพิเศษของบัตรนี้นอกจากรายละเอียดด้านหน้าแล้ว พบว่าสิ่งที่เป็นประโยชน์อีกอย่างก็คือด้านหลัง เมื่อเราพลิกกลับอีกด้านจะเจอรายละเอียด workshop ทั้งหมดที่มี ระบุเวลาอย่างชัดเจน แม้กระทั่งเวลาพักต่างๆ
โดยที่การพลิกดูก็ถูกออกแบบมาอย่างแสนง่าย เพราะทางงานได้ปริ้นมาแบบกลับหัวและใช้ตัวต่อแบบหมุนได้ ทำให้เมื่อแค่หมุน ซ้าย/ขวา ก็สามารถดูรายละเอียดต่างๆได้อย่างสะดวก (นี่สิ UX ที่ดี) แต่ก็ยอมรับว่าด้วยความเคยชินในครั้งแรกผมก็พลิกแบบบน/ล่าง แต่พอเกิดการเรียนรู้หลังจากนั้นก็สามารถใช้งานได้ตามที่เขาออกแบบมาให้
ด้วยความที่ workshop มีจำนวนมากและจำกัดจำนวนคน พวกเราจึงต้องลงทะเบียน เลือกบาง workshop ไว้ก่อน คำถามคือที่เราเลือกมามีอะไรบ้างนะ เพราะเราเลือกไว้ก่อนวันงานพอสมควร ผมใบ้ว่าป้ายนี้คือ informatoin ทุกอย่างลองทายกันดูซิว่าเราสามารถดู workshop ที่เราลงไว้ได้ที่ไหน ติ๊ก ตอก… ติ๊ก ตอก… ติ๊ก ตอก…
คำตอบก็คือ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
สุดยอดไปเลยไหมครับ นี่คือการออกแบบที่ผ่านการคิดมาแล้วอย่างแน่นอน
ไปสำรวจดูบรรยากาศรอบๆสถานที่กันบ้าง มีเครื่องดื่ม, coffee bar, จอทีวีที่บอกรายละเอียด workshop เพิ่มเติม และป้าย workshop หน้าห้อง
ในระหว่างนี้ก็จะเป็นช่วงเวลาให้ทุกๆคนได้ networking กัน พบว่าแต่ละคน(รวมถึงผมด้วย) ก็จะพยายามมองป้ายชื่อ มองธงชาติ มองตำแหน่ง เพื่อหาจังหวะในการเปิดบทสนทนากันได้อย่างแนบเนียน
touchpoint ถัดมาเป็นอีกเรื่องที่ผมประทับใจ เมื่อเรามาไปทำงานนอกสถานที่ต่างๆหรือไป event ใดๆ สิ่งที่เรามักจะถามหาก็คือ “มี Wi-Fi มั้ย?” ซึ่งถ้าเราลองเปิด Wi-Fi เพื่อลองค้นหาดูในงานนี้ คำตอบที่เราจะได้รับก็คือสิ่งนี้
เมื่อถึงเวลา workshop แบบตรงเวลาเป๊ะๆ ทุกคนก็ทยอยเข้าตามที่ได้ลงกันไว้ โดยที่การเข้า workshop ก็จะมีพนักงานคอยตรวจสอบว่าคนที่เข้ามาตรงกับที่ลงทะเบียนไว้ก่อนหน้ารึเปล่า แน่นอนครับอย่างที่ผมบอกไปว่าทุกอย่างอยู่ที่ป้ายชื่อของเราแล้ว ใช่ครับพนักงานสแกนจาก QR code บนบัตรเลย
ระหว่างเข้าเรียนก็แยกย้ายกันไป ตาม workshop ที่ลง วันนี้เราแบ่งครึ่งกันเข้าเรียนกันและก็ตกลงว่าจะแยกย้ายกันคนละกลุ่มเพื่อจะได้เปิดประสบการณ์ในการมา workshop ต่างประเทศ
ในวันแรกนี้เปิดแค่ 2 ห้องใหญ่ที่ชั้นล่างชั้นเดียวผมได้เข้าห้อง Auditoriam II ถึงแม้จะเป็นห้องใหญ่แต่ก็ไม่ได้ใหญ่มาก เข้าไปก็เห็นว่ามีการจัดโต๊ะเป็นกลุ่มๆให้เรียบร้อย มีผู้สอนอยู่ด้านหน้า พร้อมด้วยโปรเจคเตอร์ พวกเราก็แยกกันไปตามที่ตกลง ในช่วงแรกๆที่เข้าไปก็ดูไม่มีปัญหาอะไร แต่พอคนเริ่มเข้ามาเยอะขึ้นที่นั่งเริ่มเต็มในบางจุด (โดยเฉพาะใกล้ประตูทางด้านหลัง)ก็จะเจอกับการนั่งเบียด เก้าอี้หลังชนกัน ทำให้หากอยากเดินเข้าออกไปเข้าห้องน้ำจะไม่สะดวกมากนัก
บรรยากาศห้องก็จะไม่โปร่งมาก แสงไฟที่สว่างจนแย่งแสงโปรเจคเตอร์ที่ฉายสไลด์ ทำให้มองได้ไม่ชัดคมพอ ส่วนเรื่องเสียงและไมค์นั้นชัดเจนดี
พอถึงช่วงเบรค เราก็มาสำรวจบริการอื่นๆเพิ่มเติม โดยที่น่าสนใจก็คือของเบรค นอกจาก coffee bar ที่ชงสดเลือกสรรค์ได้ จะเห็นได้ว่าที่ขนมเบรคจะวางป้ายส่วนประกอบอาหารไว้ข้างๆ เพื่อแจ้งชัดเจนในกรณีผู้แพ้อาหารต่างๆ จะได้เลือกกินได้ (เป็นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่สำคัญและออกแบบมาอย่างใส่ใจ)
ช่วงพักเที่ยงเราก็จะขึ้นไปทานอาหารกันที่ชั้นสอง เพราะว่า workshop วันแรกใช้เพียงห้องใหญ่ด้านล่าง 2 ห้อง เราก็จะเจอป้ายบอกทางชัดเจน
อาหารก็จะเป็นอาหาร local, ขนมปัง, สลัด ต่างๆ รวมถึงเครื่องดื่มที่ให้เราไปหยิบจานเลือกตักกินเองได้ตามอัธยาศัย แน่นอนครับว่ามีป้ายบอกส่วนประกอบ วัตถุดิบในอาหารเหมือนเดิม
ซึ่งตรงนี้พวกเราพบว่าเจอปัญหาที่นั่งกินข้าวไม่เพียงพอ เพราะทางงานได้จัดสรรเป็นโต๊ะเล็กๆที่ยืนกินกันได้ 2–3 คน ทำพวกเราต้องเดินถือจานลงมากินกันที่ชั้นล่างตรงที่เบรค และก็สังเกตุเห็นว่าก็จะมีคนอื่นๆนั่งตามขั้นบันไดกันอีกด้วย
จบวันแรกทางงานมีกิจกรรม welcome pary ซึ่งพวกเราที่หมดสภาพจึงไม่ได้ไปเข้าร่วมแต่มีภาพบรรยากาศจากทางงานมาให้ดูไปพลางๆ
วิเคราะห์ข้อมูล
สำหรับวันแรกตามวัตถุประสงค์ “การเข้า Workshop ในงาน” ในฐานะผู้เข้าร่วมประเมินจากการใช้บริการว่า ทำออกมาได้ดี โดยแบ่งเป็นหัวข้อต่างๆตามนี้:
- Information เรื่องของการให้ข้อมูลที่จำเป็นในฐานะผู้เข้าร่วมงานเรียกได้ว่าตอบโจทย์และสะดวกมากๆ ป้ายชื่อที่ทำหน้าที่ได้มากกว่าการบอกว่าคือใครทำอะไร คือการที่บอกรายละเอียดของ workshop ได้อย่างชัดเจน
- Location ด้วยงานที่เป็นสเกลไม่ใหญ่มาก ใช้ตึกประชุมขนาดเท่านี้ ถือว่ากำลังดี แต่จะมีเรื่องการจัดโต๊ะในห้อง workshop ที่ดูแน่นไปหน่อย
- Service มีพนักงานที่เพียงพอในบริการตามจุดต่างๆ พร้อมให้ความช่วยเหลือและแนะนำได้ สำหรับผมเองไม่ได้พบปัญหาใดในจุดนี้
สิ่งที่น่าจะปรับปรุงเพิ่มเติมได้ดีขึ้นอีก
— Information
- ถ้ามีการเพิ่มป้ายบอกทางให้ระหว่างทางที่มาถึงที่จัดงานได้ ก็อาจจะเพิ่มความมั่นใจในการเดินทางขึ้นได้อีก แต่ก็ไม่แน่ใจเรื่องกฏหมายหรือรายละเอียดอื่นๆ
- ตัวป้ายชื่อดูเป็นสิ่งสำคัญมากๆ แต่ด้วยความเป็นกระดาษธรรมดาไม่มีซองใสหรือการ์ดใส่ให้เพื่อป้องกัน ถ้าเพิ่มเติมตรงจุดนี้ก็จะเพิ่มความปลอดภัยสำหรับการเสียหายในกรณีต่างๆ เช่นเปียกหรือฉีกขาดได้
- ตัวป้ายชื่อ สำหรับของวันแรกอาจจะลองเรียง IA ใหม่และใช้ สี และ font ที่เน้นข้อมูลในส่วนที่จะช่วยในการ networking ได้ดีขึ้นอีก อย่างที่ผมสังเกตุเห็นปัญหาคือบัตรของเราที่เป็นพื้นหลังสีเขียวกับตัวหนังสือสีขาวทำให้มองเห็นได้ไม่ชัด เวลาแนะนำตัวก็ต้องยื่นขึ้นมาใกล้ๆ
- อีกหนึ่งเรื่องคือชื่อที่อยู่บนบัตร อาจจะเป็นปัญหาแค่พวกเราคนไทยที่ชื่อจริงยาวและเรียกยาก เวลาแนะนำตัวเราก็จะสร้างปัญหาในการออกเสียงหรือจดจำกับเพื่อนๆชาวต่างชาติ ทำให้พวกเราต้องแก้ปัญหาด้วยการใช้ชื่อเล่นหรือชื่อในรูปแบบ inter ไปเลย (หลังๆก็เอา post-it เขียนชื่อใหม่แล้วแปะทับลงไป) ตรงนี้ถ้าสามารถให้ผู้เข้าร่วมเลือกชื่อที่จะใช้แสดงบนบัตรได้ก็อาจจะแก้ปัญหาตรงจุดนี้ได้
— Location
- โต๊ะอาหารตอนพักเบรค ซึ่งไปสอบถามจากผู้มีประสบการณ์ที่เคยมาครั้งก่อนก็พบว่าเป็นปัญหาเดิมจากปีที่แล้ว จึงทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเป็นความตั้งใจอะไรบางอย่างเพื่อให้เกิดพฤติกรรมอะไรบางอย่างของทางทีผู้จัดงานหรือเปล่า (เช่นต้องการให้ไม่กินนาน, ให้มีการ networking กัน หรืออื่นๆ) เลยไม่แน่ใจว่าถ้าจัดให้มีพื้นที่และโต๊ะอาหารที่เพียงพอจะแก้ปัญหาแต่ยังตรงตามวัตถุประสงค์ของผู้จัดงานหรือไม่
- ในจุดที่เป็น coffee bar เมื่อเป็นการทำตามเมนูทำให้เกิดการต่อแถวและเมื่อแถวยาวจากจุดที่ตั้งอยู่ทำให้กีดขวางทางเดินและการใช้สอยในพื้นที่ ซึ่งผมมองว่าถ้าย้ายขึ้นไปตั้งข้างบนชั้นสองก็อาจจะดีขึ้น
เสริมเพิ่มเติมจากวันอื่นๆ
หลังจากการสำรวจในการวันอื่นๆที่เหลือ นอกจากจำนวนคนที่เพิ่มขึ้น มีการเปิดห้องที่มากขึ้นในชั้น 2 ยังสังเกตุเห็นได้ว่าจะมีป้ายชื่อสีอื่นๆเพิ่มเติมขึ้นมาเรื่อยๆ บัตรสีส้ม 3 Days บัตรสีม่วง 2 Days บัตรสีฟ้า 1 Day
แถวกาแฟที่ยาวและนานขึ้นไปอีก ทำให้ผู้เข้าร่วมหลายคนต้องพลาดการเติมคาเฟอีนระหว่างวันและออกไปซื้อ starbucks ข้างนอก (รวมถึงผมด้วย)
แถวอาหารกลางวันก็พบปัญหาเช่นเดียวกับ coffee bar ส่วนเรื่องโต๊ะอาหารหรือพื้นที่กินไม่ต้องพูดถึง
อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ได้สังเกตุเห็นในวันแรกและได้ข้อมูลจากทีมงานที่ไปด้วยกัน ก็คือเจ้าตัวยึดแก้วไวน์กับจานนี้ พอเห็นสิ่งนี้แล้วทำให้นึกย้อนไปถึงเรื่องการจัดวางโต๊ะที่ไม่เพียงพอว่าหรือเข้าตั้งใจจะให้เป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะมีเจ้าตัวยึดนี้บริการให้
ผมเพิ่งเคยเห็นเจ้าสิ่งนี้ครั้งแรกในชีวิตก็เลยตื่นตานิดหน่อยเลยลองเอามาใช้ดู ก็พบว่าใช้ไม่ยากแต่อาจจะไม่มั่นใจนิดหน่อยหากต้องถือแล้วกินข้าวไปด้วย เพราะว่าค่อนข้างหนัก…
จบแล้วครับสำหรับการทำ Service Safari ของงาน UXLx 2024 หวังว่าจะได้รับประโยชน์และพอเห็นการนำมาใช้งานจริงกันนะครับ จากนี้ไปเมื่อลองไปใช้บริการใดๆลองสังเกตุและตั้งคำถามดูครับ ในฐานะ designer หรือผู้ที่สนใจ อาจจะทำให้เราได้เห็นมุมมองอะไรที่กว้างและละเอียดขึ้น
และซีรีส์นี้ของผมยังไม่จบ ครั้งหน้าจะลงรายละเอียดเรื่องเนื้อหาต่างๆ
ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ครับ ชอบตรงไหน, อยากเสริมหรือให้เล่าอะไรเพิ่มเติม comment ทิ้งกันไว้ได้เลยครับ หรือถ้าชอบมากๆช่วยปรบมือให้คนละ 20 ทีนะ :D
Enjoy Learning and Research
Source: