รีวิวควบ Canon EOS M3 & Canon EOS M10
กล้องMirrorlessเซลฟี่ของCanonที่โลกลืม แต่มันกำลังกลับมาทวงพื้นที่ของมันคืน!
สวัสดีเพื่อนๆ เราเอง @torcnn เจอกันเหมือนเคย
ช่วงนี้ Canon ในไทยเริ่มทำการตลาดกับกล้อง mirrorless ทำให้เจ้ากล้อง Canon EOS M3 กับ Canon EOS M10 เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากยิ่งขึ้น ทีนี้ก็เริ่มมีน้องๆหลายๆคนมาถามเราไม่ว่าจะทางทวิตเตอร์ ทาง ask.fm หรือในเพจว่า กล้องสองตัวนี้มันมีอะไรดี หนูหารีวิวอ่านแทบไม่ได้เลย เราเองก็ตอบไม่ได้ไงเพราะไม่เคยจับ จะให้ไปสอบถามเพื่อนๆที่ใช้ตัวนี้อยู่ก็ไม่มีให้ถามไปอี๊กกกกกก เพราะตอนนี้คนที่ใช้2รุ่นนี้ในประเทศเราหายากโคตรเหมือนงมเข็ม โอเค เอางี้เลยละกัน เราติดต่อ Canon ขอยืมมาเลย 2 ตัว อยากรู้เหมือนกันว่ากล้องสองตัวนี้มันเป็นยังไง
ในฐานะที่แทบจะไม่มีใครรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับกล้องทั้งสองตัวนี้เลย (และเผื่อมีบางคนต้องการที่จะเปรียบเทียบ) เราจะขอรีวิวควบไปเลยสองตัว พวกเธอจะได้รู้จักมันทั้งคู่ และจะได้ไม่ต้องสลับหน้าเว็บเปรียบเทียบไปมาให้เวียนหัว โอ้โหวววววว รีวิวแบบนี้มีที่ไหน เอาอาหารมาวางให้ไม่พอ นี่ตักป้อนให้ถึงปาก วันหลังเจอหน้าเรา เลี้ยงข้าวเราด้วยนะ ขอแค่นี้
EOS M คือไร
EOS เนี่ยคือชื่อของระบบปฏิบัติการของแคนอนเค้า พอใส่ตัวอักษร M ตามเข้าไปด้านหลังนั่นหมายถึงซีรีส์ mirrorless ของเค้าล่ะ
ณ ตอนนี้(มกรา 59) EOS M ของ Canon ยังมีอยู่แค่ 4 รุ่นบนโลกนี้เท่านั้น นั่นก็คือ
- Canon EOS M
- Canon EOS M2
- Canon EOS M3
- Canon EOS M10
ทั้ง Canon EOS M3 และ Canon EOS M10 มันออกมาตั้งแต่ปี2015ละ M3 ออกมาเมื่อต้นปี ส่วน M10 จะออกมาทีหลัง ช่วงปลายๆปีนิดนึง
Background
ขออธิบายก่อนนิดนึงนะว่าอะไรเป็นอะไร
กล้อง Canon EOS M3 เป็นกล้องmirrorlessที่Canonกะวางไว้ให้เป็นเหมือนกล้องตัวที่สองของคนที่มีกล้องแคนอนอยู่แล้ว และเป็นกล้องสำหรับมือสมัครเล่นที่ต้องการจะได้คุณภาพของภาพระดับกล้องโปรอย่างDSLRในขนาดที่พกพาง่าย
ส่วนกล้อง Canon EOS M10 เป็นกล้องmirrorlessที่Canonทำมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้กล้องระดับ(โคตร)เริ่มต้น จะเน้นความง่ายในการใช้งาน มีฟังก์ชั่นต่างๆที่สนับสนุนการถ่ายรูปให้ง่ายขึ้น และตัดอะไรๆที่เกินความจำเป็นทิ้งไปเพื่อลดความวุ่นวายในการใช้งาน
เริ่มรีวิวสองตัวนี้กันเลย! จะพยายามใช้ภาษามนุษย์ในการสื่อสารนะครับ
Sensor
เซนเซอร์ของกล้องทั้งสองตัวนี้เป็นเซนเซอร์CMOSและมีขนาดaps-c ครับ ซึ่งเป็นขนาดที่ใหญ่เหลือเฟือโคตรๆในการใช้งาน แต่แคนอนจะต่างกับชาวบ้านนิดนึงตรงที่เซนเซอร์ของเค้าจะมี crop factor ที่ 1.6 (aps-c ของเจ้าอื่นเขา 1.5 กัน) ยังไงก็ตามมันไม่ได้มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ
Canon EOS M3 มีจำนวนพิกเซลอยู่ที่ 24.2 ล้าน ส่วน Canon EOS M10 มีจำนวนพิกเซลอยู่ที่ 18 ล้าน ขออธิบายตัวเลขพวกนี้ง่ายๆว่า Canon EOS M3 จะมีความเหมาะสมกับผู้ที่จะถ่ายภาพไปทำพวกงานที่เน้นดีเทลหรืองานที่ต้องปรินต์ออกมา ภาพจะสามารถนำไปครอปใช้งานได้ดีกว่า ในขณะที่ Canon EOS M10 มีความละเอียดต่ำกว่า แต่ก็ไม่ได้ขี้เหร่เลยแม้แต่น้อย ความละเอียด 18 ล้านบนเซนเซอร์ขนาด aps-c นี่เกินความจำเป็นในชีวิตประจำวันของพวกเธอด้วยซ้ำเพื่อนรัก
เลนส์คิต
พุ่งเข้าเรื่องเลนส์คิตก่อนเลยละกันครับ ตอนจับครั้งแรกก็พบเซอร์ไพรส์เลย คือเจ้าเลนส์คิต(หรือเลนส์ที่มากับกล้อง)ของกล้องสองตัวนี้แม่งไม่เหมือนกัน! งงปะ เออ เราก็งง 555 แต่เล่นไปเล่นมาก็พอเข้าใจแหละว่าทำไมมีสองแบบ
เลนส์คิตของ Canon EOS M3 เป็นเลนส์ EF-M 18–55mm 3.5–5.6
เลนส์คิตของ Canon EOS M10 เป็นเลนส์ EF-M 15–45mm 3.5–6.3
หมายเหตุ: mount ของเลนส์จะเรียกว่า EF-M อย่าเรียก mount M เฉยๆนะครับเดี๋ยวจะสับสนกับLeica
ดูจากสภาพการณ์ด้านบนแล้ว เลนส์คิตของ Canon EOS M3 ดูดีกว่าหน่อย ซูมสุดระยะแล้วfไหลถึงแค่ 5.6 ในขณะที่เลนส์คิตของ Canon EOS M10 fไหลไปถึง 6.3 ถ้าซูมสุดระยะ รูปอาจจะมืดกว่า M3 เค้านิดหน่อย
ถ้ามาดูเรื่องขนาด เลนส์ 15–45mm ของ EOS M10 เล็กกว่ากันแบบสุดๆ จับดูแล้วก็เบากว่าด้วย เรียกว่าง่ายมากเรื่องการพกพา ใส่กระเป๋ากินพื้นที่น้อยกว่า ในขณะที่ เลนส์ 18–55mm ของ EOS M3 จะยาวกว่า
เลนส์ของ Canon EOS M3 เมื่อหมุนซูม จมูกจะยาวออกไปเรื่อยๆ
ส่วนเลนส์ของ Canon EOS M10 จะเป็นแบบยืดหดได้ คือตอนไม่ใช้งานมันจะเหมือนหดอยู่ในกระดอง พอเราใช้งานเราค่อยยืดหัวที่หลบอยู่ข้างในออกมา จากภาพข้างล่างเป็นภาพ ณ ตอนเราเพิ่งดึงเลนส์ออกมาใช้งาน ความยาวเทียบกันได้ประมาณนี้
ที่เลนส์คิตของ M10 เป็นแบบนี้น่าจะเป็นเพราะมันเน้นกลุ่มลูกค้าที่ต่างกัน กลุ่มลูกค้าที่ใช้ M10 น่าจะอยากได้เลนส์ที่กว้างกว่า เซลฟี่ง่ายๆ เผื่อว่าจะได้ไม่ต้องยืดแขนมากเวลาเซลฟี่ แล้วก็อยากได้ขนาดเล็กเพื่อความง่ายในการพกพา
ลักษณะของเลนส์คิตของ Canon EOS M3 เอาจริงๆจะมีความคล้ายคลึงกับเลนส์คิตของ Fuji x-a2 ที่หลายๆคนคุ้นเคยกัน ที่คุณภาพดี๊ดีแต่พอซูมดั้งจะยาวออกไปเรื่อยๆเหมือนกับพินอคคิโอ ส่วน Canon EOS M10 จะยืดหดได้ เหมาะแก่การพกพามากกว่า แต่ถ้าให้เทียบคุณภาพก็ไม่อาจสู้แบบแรกนะ
หมายเหตุ: เลนส์คิต 15–45mm ของ M10 จะต้องเลื่อนปุ่มที่อยู่บนเลนส์และหมุนซูมเพื่อเริ่มใช้งาน และต้องเลื่อนปุ่มนี้และหมุนซูมอีกครั้งเพื่อเก็บเลนส์กลับเข้าไปในกระดอง ออกจะยุ่งยากนิดนึง แต่มันก็ทำให้เลนส์กินเนื้อที่น้อยลงเวลาเก็บ
ชัตเตอร์
ทั้งคู่ปรับความเร็วชัตเตอร์ได้เร็วสุดที่ 1/4000 ช้าสุดได้ที่ 30วินาที
M3 จะมีชัตเตอร์Bulbให้ใช้งานด้วย แต่ M10 ไม่มีโหมดนี้
ISO
ทั้งคู่มี native iso ที่ 100–12,800 ครับ ดันขึ้นไปถึง 25,600 ได้
สำหรับคนที่งงว่า แล้วมันดีมั้ย: ถือว่ากลางๆครับ ปกติเหมือนชาวบ้านเขา ไม่ได้ถือว่าโดดเด่นอะไร เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน
Viewfinder
ไม่มีทั้งคู่ครับ แต่ Canon EOS M3 มีออปชั่นที่สามารถซื้อ Viewfinder แยกของCanonมาติดที่ hotshoe ได้ (hotshoe คือไอ้ช่องเสียบๆที่ติดอยู่ข้างบนกล้องอะ) ส่วน Canon EOS M10 หมดสิทธินะ เพราะไม่มี hotshoe
แล้ว viewfinder จำเป็นมั้ย? จำเป็นสำหรับคนบางกลุ่มครับ
สำหรับคนที่งงว่า Viewfinder มีดีอะไร: เคยใช้มือถือถ่ายกลางแดดปะ เราจะมองเห็นจอได้ไม่ชัด ถึงมือถือเราจะพยายามปรับจอสว่างแค่ไหนก็ไม่อาจสู้กับแสงแดดได้ หลักเดียวกัน ถ้าเรามองจอกล้องเวลาแดดแรงๆก็อาจะเกิดปัญหานี้ได้ viewfinder (หรือภาษาไทยเรียกว่าช่องมองภาพ) จะช่วยให้เราสามารถมองเห็นภาพที่เราจะถ่ายได้โดยไม่มีสิ่งรบกวนครับ
ระบบโฟกัส
Canon EOS M3 บอกว่าใช้ระบบโฟกัส Hybrid CMOS AF III ส่วน Canon EOS M10 บอกว่าใช้ระบบโฟกัส Hybrid CMOS AF II จุดโฟกัสที่ 49 จุดเท่ากัน
Canon เคลมว่า M3 โฟกัสเร็วขึ้นกว่ารุ่น EOS M ตัวเก่า 6.1 เท่า แต่พอเรามาใช้จริงก็ยังรู้สึกมีหน่วงๆบ้าง ยังไม่ได้เร็วสะใจอะไร โฟกัสตอนกลางคืนมีวืดๆให้เห็น หากเทียบกับการโฟกัสของ M10 แล้ว เราว่าไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่
ทั้งสองตัวมีระบบ face detection เพื่อให้การโฟกัสหน้าคนแม่นยำมากขึ้น
ปุ่มควบคุมต่างๆ
ขอพูดถึง Canon EOS M3 ก่อนเลย ทันทีที่ได้จับ เราพบว่าเราสามารถปรับค่าอะไรได้ง่ายมากกกกกก เร็วมากกกกกกก ทั้งค่า Shutter Speed, Aperture, ISO ปุ่มในการปรับค่าต่างๆอยู่ในตำแหน่งที่เราสามารถเดาได้หมด ไม่ยากเลยสำหรับคนที่เคยเล่นกล้องมาก่อน การวาง Shutter Speed Dial ไว้รอบๆปุ่มชัตเตอร์ก็เป็นอะไรที่สะดวกดี อันนี้ชอบ
พอมาถึง Canon EOS M10 เท่านั้นแหละ เฮ้ย ปุ่มหายไปไหนหมดวะ 555 คือเขาคงเน้นความsimpleอะ เอาจริงๆมันจะง่ายขึ้นนะสำหรับคนที่กำลังเริ่มต้นเล่นจริงๆ แต่สำหรับคนที่เคยเล่นกล้องมาแล้ว เราไม่แนะนำเท่าไหร่ เพราะเรามีความเห็นว่าการปรับกล้องด้วยการเกาปุ่มแกรกๆมันมีความฟินกับคนที่เป็นมือสมัครเล่นขึ้นไปมากกว่า
Interface บนหน้าจอ
จบเรื่องปุ่มกดๆ มาถึงเรื่อง Interface บนหน้าจอกันบ้าง
Interface บนหน้าจอของ Canon EOS M3 กับ Canon EOS M10 จะคล้ายๆกัน แต่เจ้า Canon EOS M10 นี่ดูมีลูกเล่นให้ปรับหลากหลายกว่าครับ แต่มันไม่ได้ใช้ยากเลยนะ คือทุกอย่างนี่โคตรรรจะsimple โดยเฉพาะโหมด Self-Portrait ปรับหน้าชัดหลังเบลอ ปรับแสงสว่าง ปรับสีของภาพ ปรับระดับความหน้าเนียนเวลาเซลฟี่ (เดี๋ยวจะสาธิตการใช้งานให้ดูในอีกพาร์ทนะ) พอลองเล่นแล้วแบบ เฮ้ยยยยย ง่ายไปปะวะ ฟีลลิ่งเหมือนจับกล้องCasioอะ คือไม่จำเป็นต้องรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ Shutter Speed, Aperture, ISO เลย
แต่ทั้งนี้การใช้งานก็ไม่ได้จำกัดแค่นี้นะ เราสามารถขยับไปโหมด M, Av, Tv และอื่นๆที่ยากขึ้นได้ กล้องไม่ได้ปิดกั้นการเรียนรู้เรื่องการถ่ายภาพในระดับที่สูงๆขึ้นไปครับ
ในโหมดถ่ายภาพปกติของทั้งคู่จะมีฟันเฟืองสีเขียวๆ บอกว่าปุ่มDialอันไหนใช้ปรับค่าอะไร แล้วก็จะมีปุ่มQเป็นปุ่มลัดให้เราเข้าไปปรับค่าต่างๆได้
กด Q บนหน้าจอทางขวาบนก็จะขึ้นอะไรมาให้ปรับเยอะแยะมากมาย สะดวกดี
ส่วนหน้าตาเมนูของทั้งสองตัวจะประมาณนี้ครับ
จอภาพ
ขนาด3นิ้ว ความละเอียด 1.04 ล้านจุด และทัชสกรีนได้ทั้งคู่ การกดปรับอะไรต่อมิอะไรได้ฟีลเหมือนกดหน้าจอมือถืออะ ตอบสนองเร็วใช้ได้(ไม่รู้ติดฟิล์มแล้วจะเป็นยังไงนะ) สามารถกดที่หน้าจอเพื่อเลือกจุดโฟกัสได้ทั้งคู่เลยด้วย สะดวกสบายดี การแสดงผลบนหน้าจอยังมีหน่วงเล็กน้อย แต่ไม่ได้เลวร้ายอะไร
กล้องทั้งสองตัวนี้สามารถพับจอเซลฟี่ได้ทั้งคู่ เพียงแต่กล้อง Canon EOS M3 สามารถพับได้ท่ายากกว่า เหมาะกับหลายๆสถานการณ์มากกว่า โดยเฉพาะเวลาถ่ายโอปป้าที่มีคนรุมเยอะๆ เราสามารถชูกล้องขึ้นไปสูงๆแต่ก็ยังเห็นจอได้อยู่
ภาพนิ่ง
ถ่ายเป็น JPEG พร้อมใช้เลยก็ได้ ถ่ายเป็น RAW เอาไปแต่งต่อในคอมก็ได้
ใครที่รอดูตัวอย่างภาพ เดี๋ยวเราแปะไว้ในตอนท้ายสุดของบทความละกันนะ ยังไงเดี๋ยวเราขอพูดถึงภาพเซลฟี่ก่อน
เซลฟี่
สเปคเป็นเรื่องรอง ของจริงอยู่ตรงนี้
อย่างที่บอกว่าทั้ง Canon EOS M3 และ Canon EOS M10 พับจอเซลฟี่ได้ เราเลยเอารูปเซลฟี่มาให้ได้ดูกัน จะเอาหน้าตัวเองรีวิวก็กลัวจะโดนกดรีพอร์ตเพจ งานนี้เราเลยขอให้ @faunglada ช่วยทำแทนครับ 555
Canon EOS M3 — Scene Intelligent Auto
Canon EOS M3 — SCN: Portrait
Canon EOS M10 — Scene Intelligent Auto
Canon EOS M10 — Rec. Mode: Portrait
Canon EOS M10 — Rec. Mode: Self-Portrait
ใน Rec.Mode: Self-Portrait ของ Canon EOS M10 มันจะปรับความเบลอของฉากหลัง ความสว่าง และระดับความหน้าเนียนก่อนเรากดถ่ายได้เลย
ถ้าอยากรู้ว่าเนียนได้แค่ไหน ดูเอาตามภาพครับ
เราว่ากล้องทั้งสองตัวนี้ทำได้ดีเลยนะเรื่องการเซลฟี่ แต่จะมีแกว่งๆบ้างเล็กน้อยเรื่อง White Balance เพราะเราให้ @faunglada ถ่ายในสภาวะแสงออกโทนส้มๆในร้านกาแฟมันเลยออกมาส้มบ้างชมพูบ้าง แต่รูปมันก็เอาไปปรับแต่งทีหลังได้แหละ โดยรวมๆถือว่าทำออกมาได้โอเค
การถ่ายภาพต่อเนื่อง
M3 ถ่ายภาพต่อเนื่องได้ 4.2 ภาพต่อวินาที
M10 ถ่ายภาพต่อเนื่องได้ 4.6 ภาพต่อวินาที
รัวได้น้อยกว่าคู่แข่งในตลาด แต่ถามว่าเป็นสาระสำคัญมั้ย ก็ไม่ครับ
แฟลช
มี pop-up flash ทั้งคู่ครับ ก้านแฟลชขยับขึ้นได้ ทำให้เราสามารถขี้โกงด้วยการเอานิ้วดัน bounce กับเพดานได้
M3 สามารถใช้แฟลชแยกได้เพราะว่ามีhotshoeมาให้ใช้งาน ส่วนM10ใช้แฟลชแยกไม่ได้นะครับเพราะไม่มีhotshoe
วีดีโอ
1080p ที่ 30fps ทั้งคู่ ไม่มี 4K คือยังไม่เด่นในด้านนี้น่ะแหละ แต่ความดีงามของ Canon EOS M3 คือมีช่องให้ต่อไมค์ได้ เอออออออ เก่งมากเจ้าแคนอน
Wi-fi
มีWi-fi แตะNFCได้ ส่งเข้ามือถือด้วยแอป Canon Camera Connect ได้ทั้งคู่ หรือถ้าอยากใช้มือถือเป็นรีโมตลั่นชัตเตอร์ก็ใช้ได้เหมือนกัน ผ่านแอป EOS Remote
บอดี้
Canon EOS M3 มีขนาด 111 x 68 x 44 mm หนัก 366 กรัม
Canon EOS M10 มีขนาด 108 x 67 x 35 mm หนัก 301 กรัม
ขนาดของบอดี้มาแบบเล็กๆกำลังดี
ข้อดีของบอดี้ Canon EOS M3 คือมีgripที่จับพอดีมือมาก น่าจะถูกใจหลายๆคน แต่ข้อเสียเราว่า Canon EOS M3 พอติดเลนส์คิตแล้วหนักไปนิดนึง
ส่วนบอดี้ของ Canon EOS M10 เนี่ยไม่มีgripให้จับเลย บอดี้จะมาเป็นทรงสี่เหลี่ยมมนๆ จับแล้วให้ความรู้สึกผู้ยิ้งงงงงงงผู้หญิง
ทั้งสองตัวไม่มี Weather Sealing นะครับ จะเอาไปลุยแดดลุยฝนหรือสภาวะอากาศเลวๆก็ต้องดูแลเค้าดีๆหน่อย
แบตเตอรี่
Canon EOS M3 ชาร์จครั้งนึงถ่ายได้ประมาณ 250 รูป ส่วน Canon EOS M10 ถ่ายได้ประมาณ 255 รูป อืมมมมม ถือว่ายังไม่อึดเท่าไหร่ ออกทริปยาวๆทีนึงอาจจะต้องมีหลายก้อนหน่อย
เวลาชาร์จจะมีแท่นชาร์จมาให้ครับ และเมื่อเราถอดแบตออกมาชาร์จเราก็พบว่า… แบตเตอรี่ของกล้องสองตัวนี้หน้าตาไม่เหมือนกันไปอี๊กกกก! ไม่รู้ว่าจะทำมาหลายๆแบบทำไมง่ะ อะนี่ ดูรูปเอา แบตของM3จะอันใหญ่กว่านิดนึง
ลักษณะของแบตเตอรี่ ถ้าใครเคยใช้ปรินเตอร์ Canon จะรู้สึกเหมือนกำลังใส่หมึกพิมพ์ในเครื่องปรินต์อะ ให้ฟีลเดียวกัน
เลนส์แยก
Canon เม้า EF- M นี่มีเลนส์ในค่ายให้เลือกน้อยมากกกกกก แบบบบบบ มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก คือ ณ ตอนนี้ (มกรา 59) เท่าที่เห็นมีเลนส์ให้เลือกแค่
- เลนส์ 11–22mm f4–5.6
- เลนส์ 55–200mm f4.5–6.3
- เลนส์ 22mm f2
แต่คือเราสามารถซื้อ Adapter เพื่อใช้เลนส์ Canon ทั่วไปได้ครับ ทุกคนคงทราบกันดีว่า Canon เขาอยู่กับ EOS มานาน ดังนั้นจึงมีเลนส์ให้เลือกสรรเยอะมาก ถ้าเราเป็นแฟนCanonอยู่แล้ว การมี Adapter จะทำให้เรามีอิสระในการใช้เลนส์มากขึ้น
เรื่องความเร็วในการโฟกัสผ่าน adapter นั้นยังไม่มีโอกาสลองนะครับ ใครที่สนใจแนวทางนี้อยากให้ไปลองทดสอบดูด้วยตัวเองก่อนซื้อ ถ้าเรามีโอกาสได้จับadapterบ้างเมื่อไหร่จะเอามาเพิ่มในบทความนี้เด้อ
นอกจากเลนส์ค่ายแล้ว ยังมีเลนส์ Samyang บางตัวที่ใช้กับ mount EF-M ได้โดยตรง (แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเลนส์ช่วงกว้าง และอย่าลืมว่ามันไม่ออโต้โฟกัสนะ)
ราคา
นี่คงเป็นสิ่งที่หลายๆคนรอคอย 555 ตามนี้ครับ มีหลายแพคเกจให้เลือก
M3 แบบมีเลนส์สองตัว คือ 18–55mm กับ 55–200mm ราคา 31,900 บาท
M3 พร้อมเลนส์คิตแบบมี viewfinder ด้วย ราคา 24,990 บาท
M3 พร้อมเลนส์คิต 18–55mm ราคา 22,900 บาท
M10 แบบมีเลนส์สองตัว คือ 15–45mm กับ 55–200mm ราคา 25,190 บาท
M10 พร้อมเลนส์คิต 15–45mm และเลนส์ฟิกซ์ 22mm f2 ราคา 20,190 บาท
M10 พร้อมเลนส์คิต 15–45mm ราคา 16,390 บาท
ก็ไม่ได้แพงอะไรมากมาย ราคาโอเคอยู่ครับ โดยเฉพาะ M10เลนส์คิต ค่าแรกเข้าถูกใช้ได้เลย เหมาะกับคนที่มีงบจำกัดมากๆ
สรุป
กล้อง Canon EOS M3 จะเหมาะกับพวกเธอถ้าเธออยากได้กล้อง mirrorless ระดับมือสมัครเล่นที่มีปุ่มปรับค่าต่างๆนานาครบครัน เซลฟี่ได้ และมีฟังก์ชันทัชสกรีนเสริมความสะดวกสบายในการใช้งาน
ส่วน Canon EOS M10 จะเหมาะกับคนที่ชอบอะไรง่ายๆ เน้นงานเซลฟี่ สามารถปรับหน้าเนียน แสงสว่าง ความเบลอหลัง และค่าอื่นๆได้ก่อนกดชัตเตอร์เลย ไม่มีพื้นฐานด้านการใช้กล้องก็สามารถใช้ได้ไม่มีปัญหา ในขณะที่ตัวกล้องก็ไม่ได้ปิดกั้นการปรับค่าต่างๆหากเราอยากจะเรียนรู้ในลำดับขั้นต่อไป
ถึง Canon mount EF-M จะยังมีทางเลือกเรื่องเลนส์ให้ไม่มาก แต่หากเรามีเลนส์ Canon อยู่แล้ว ก็ซื้อแค่ adapter เพิ่มแล้วใช้เลนส์ค่าย Canon ทั่วๆไปได้เลย ลองมองไว้เป็นอีกทางเลือกนึง แล้วก็สิ่งที่เราชอบมากๆๆๆๆคือช่วงเลนส์ 22mm (ซึ่งถ่ายโคตรง่าย)ราคาถูกเฟ่อถ้าเทียบกะชาวบ้าน
ในอนาคตCanonอาจจะทำเลนส์ EF-M ราคาถูกๆมาบวกกับคู่แข่งmirrorlessในตลาดก็ได้ใครจะรู้ ถ้าทำจริงนี่เราว่าตลาดmirrorlessมีสั่นคลอนแน่ๆ
การที่ Canon บุกตลาด mirrorless รุนแรงขึ้น ถือว่า Canon มาถูกทางแล้วเนอะ ผู้บริโภคก็มีทางเลือกมากขึ้น ในตลาดจะได้ไม่มะรุมมะตุ้มกันอยู่แค่ไม่กี่แบรนด์ พอการแข่งขันมากขึ้น บริษัทกล้องก็พยายามงัดไม้ตายออกมาสู้กัน ผลประโยชน์ก็มาตกที่พวกเรานี่แหละ อิอิ
หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้ที่สนใจกล้องทั้งสองตัวนี้นะครับ น่าจะทำให้รู้จักกล้องเหล่านี้กันมากขึ้น เราแนะนำว่าให้ไปลองของจริง การตัดสินใจจะได้ง่ายขึ้น แล้วก็หารีวิวของbloggerท่านอื่นๆอ่านเพิ่มเติมประกอบการตัดสินใจด้วย ไม่ว่าสุดท้ายแล้วจะได้กล้องตัวไหนมา อย่าลืมพามันออกไปถ่ายรูปบ่อยๆนะ
ก่อนไป ขอขอบคุณ Canon ที่ให้ยืมกล้องนะครับ และขอบคุณ @faunglada ที่ช่วยเรารีวิวโหมดเซลฟี่นะ
หากเพื่อนๆมีข้อสงสัยอะไรเพิ่มเติม ถามกันเข้ามาได้เหมือนเดิมนะครับ ทั้งทาง ask.fm ทาง Chanon หรือทาง Twitter
ขอให้สนุกกับการถ่ายรูปนะจ๊ะ