10 วัน จาก Lab to Launch กับการออก LINE Bot “ป่วยมั้ยนะ Koala Lab” สู้ COVID-19 (Ep. 1)
*Disclaimer โปรเจคนี้เกิดจากการรวมตัวกันของพนักงาน KBTG โดยได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหาร ทำนวัตกรรม HealthTech ตัวนี้ขึ้น
- เริ่มด้วยโจทย์ที่ชัดเจน แล้วถามตัวเองว่าเราสามารถทำอะไรที่แตกต่างได้ เพื่อให้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการรับมือกับสถานการณ์ COVID-19 ที่แม้ไม่ใช่โจทย์ทางธุรกิจของเรา แต่ก็เป็นวิกฤติระดับประเทศที่ทุกคนต้องช่วยกันด้วยนวัตกรรม HealthTech
- ดึงจุดแข็งของตัวเองออกมาสร้าง Innovation ที่ง่ายต่อการเข้าถึงและการใช้งาน โดยลด Friction ของผู้ใช้ให้เหลือน้อยที่สุด
- คนมองภาพใหญ่ที่พร้อมกำจัดอุปสรรคและทำทุกอย่างเพื่อดันให้โปรเจคเกิด (The Hustler) คนที่ทำให้ไอเดียบนกระดาษกลายเป็นผลิตภัณฑ์ใช้งานได้จริง (The Hacker) และคนออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้งานให้ใกล้เคียงกับคำว่า “สมบูรณ์แบบ” ที่สุด (The Hipster) ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่โปรเจคจะขาดไม่ได้
- สนใจใช้ LINE Bot สามารถแอดมาได้ที่ LINE OA: @KoalaLab หรือถ้าสนใจพูดคุยกับทีมงาน หรือพาร์ทเนอร์ ทักมาได้ที่ Facebook: Koala Lab เลยครับ
ที่มาที่ไปของนวัตกรรม HealthTech นี้เริ่มมาจากว่า…
ย้อนกลับไปเมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคม ประโยคยอดฮิตของเราคงหนีไม่พ้น “(กู)ติดยังวะ” พวกเราที่นั่งทำงานกันที่ออฟฟิศก็ได้แต่นั่งคิดหวั่นๆว่าเราจะติด COVID-19 ไปด้วยรึเปล่า พอยิ่งดูข่าวและอ่านบทความต่างๆ ก็ยิ่งเห็นว่าหลายครั้งกว่าวันที่เรารู้ว่าใครติด COVID-19 ก็เป็นเวลาประมาณ 5–10 วันหลังจากที่คนเหล่านั้นติดเชื้อไปแล้วเรียบร้อย เพียงแต่อาการไข้หรือไอแห้งยังไม่เกิด จึงยังไม่ได้ไปพบแพทย์ ทำให้เรามานั่งคิดว่า มันคงจะดีนะ ถ้าเรานำเทคโนโลยี (Technology) สามารถทำให้รู้ได้ว่าร่างกายเรากำลังทำงานไม่ปกติ กำลังจะมีไข้ หรือมีความเสี่ยงที่จะไม่สบาย นี่เองเป็นจุดเริ่มต้นให้ทีมเราเอาโจทย์มาเป็นตัวตั้ง แล้วมองหา Innovation ที่เราสามารถทำได้เพื่อแก้ปัญหาข้างต้น
Innovation : การทำอะไรที่แตกต่างเพื่อเติมเต็ม
คำถามสำคัญที่เราถามกันเองคือในสถานการณ์แบบนี้ เทคโนโลยี (Technology) ทำอะไรได้บ้าง ประเทศเรายังขาดอะไร และเราสามารถสร้างอะไรได้ภายใต้เงื่อนไขของเวลาที่จำกัดที่จะช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเห็นภาพรวมของสถานการณ์ได้ดีขึ้นหรือมีข้อมูลเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้สามารถออกแนวทางปฏิบัติหรือนโยบายลดความรุนแรงของปัญหาได้ทันท่วงที
พอมานั่งคิดดูก็นึกถึงโปรเจคก่อนหน้า DataWallet ที่มีการนำ Smart Watch มาช่วยมอนิเตอร์สุขภาพของผู้สวมใส่ โดยการใช้เทคโนโลยี (Technology) ดึงค่าต่างๆ ออกมาเก็บไว้ในแอปพลิเคชันก่อนที่จะเชื่อมต่อส่งให้กับโรงพยาบาลด้วยตัวเราเอง ช่วงนั้นก็พอดีได้ไปอ่านเจอบทความของ Fitbit ที่พูดถึงการนำข้อมูลอัตราการเต้นของหัวใจจาก Smart Watch มาสร้างแผนที่คาดการณ์การระบาดของไข้หวัดใหญ่ หรือ Fluในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งผลงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า ข้อมูลตรงนี้สามารถช่วยสะท้อนความจริงได้ค่อนข้าง Real Time กว่าการที่หน่วยงานกลางรอรับผลแจ้งจำนวนผู้ป่วยจากโรงพยาบาลทั่วประเทศ ณ จุดนี้เหมือนเราเจอ Sweet Spot ของสิ่งที่เราคิดว่าจำเป็นต้องมีในสถานการณ์แบบนี้ คือการใช้จุดแข็งของ KBTG ในด้าน Innovation ไปสร้างความแตกต่างในภาพรวมภายใต้ระยะเวลาที่จำกัด
#ป่วยมั้ยนะ LINE Bot โดย Koala Lab
เมื่อเจอ Sweet Spot แล้ว ก็ได้วางคอนเซ็ปต์ของผลิตภัณฑ์ก่อนลงมือพัฒนาจริง โดยสิ่งที่ #ป่วยมั้ยนะ LINE Bot ทำได้คือการเป็นช่องทางใช้งานหลัก เหมือนเป็นแอปพลิเคชันมือถือแบบที่ไม่ต้องโหลด เพื่อให้เข้าถึงได้ง่าย ไม่ต้องโหลดแอปกันใหม่ ความสามารถของแอปก็เน้นเฉพาะ Killing Feature ที่จะสร้างประโยชน์ให้กับผู้ใช้งานจริง แอด LINE ปุ๊บ ได้ประโยชน์ปั๊บ ช่วยให้เกิดการใช้งานแล้วบอกต่อ เกิดการใช้ซ้ำ ซึ่งพอรวมเงื่อนไขต่างๆ เข้าด้วยกันแล้ว ทำให้เราได้ออกมาเป็น LINE Bot #ป่วยมั้ยนะ ที่มีฟีเจอร์การใช้งานหลักๆ 2 อย่าง ดังนี้
- #ป่วยมั้ยนะ ฟีเจอร์ที่จะช่วยเช็คว่าสุขภาพการเต้นของหัวใจเราปกติมั้ย เช็คได้รายวัน เช็ควันละหนช่วงหลังเที่ยง (รอให้นาฬิกาเก็บข้อมูลของวันนั้นให้เรียบร้อยก่อน) โดยการเริ่มใช้ฟีเจอร์ ผู้ใช้งานทุกคนต้องทำการผูก Smart Watch ของตัวเอง (ปัจจุบันรองรับ Fitbit กับ Garmin) เพื่อให้ระบบสามารถดึงข้อมูลมาวิเคราะห์ได้
- แผนที่ไข้หวัด หรือ Flu Map แผนที่ที่จะบอกเราว่าในแต่ละพื้นที่มีคนอัตราการเต้นหัวใจสูงกว่าปกติกี่คน เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการระมัดระวังการระบาดครั้งใหม่ โดยเรากำหนดให้ผู้ใช้งาน 1 คน เลือกพื้นที่ที่ไปบ่อยๆได้ 2 จุด
เรามองว่า 2 ฟีเจอร์นี้โอเคพอที่จะปล่อยออกให้ทุกคนใช้ โดยตีเวลาว่าน่าจะทำเสร็จภายใน 1–2 อาทิตย์เพื่อให้ทันกับสถานการณ์ แต่ก่อนที่จะได้ข้อสรุปออกมาเป็นฟีเจอร์ดังกล่าวนั้น เราก็มีการ Brainstorm กันภายในทีมเพื่อให้เห็นโอกาสต่อยอดเพื่อเฟสถัดไปในอนาคต
ในบทความนี้ขอลงรายละเอียดของ LINE Bot และหลักการทำงานเบื้องหลังไว้เพียงเท่านี้ก่อนละกันครับ เพื่อให้บทความไม่ยาวจนเกินไป หากท่านใดสนใจ สามารถอ่าน Ep. 2 ต่อจากนี้ได้เลยครับ
The Hustler | The Hacker | The Hipster
ในวงการ Tech Startup สามคำนี้เป็นคำที่ถูกกล่าวถึงซ้ำๆ มานับครั้งไม่ถ้วน จนไม่รู้แน่ชัดว่าใครเป็นคนต้นคิด แต่สิ่งที่ถูกพูดต่อกันมาคือว่าโปรเจคจะมีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากขึ้น เมื่อทีมมีองค์ประกอบของคนสามกลุ่มนี้อยู่ด้วยกัน และทำงานเพื่อเป้าหมายเดียวกัน
The Hustler — คนที่มีวิสัยทัศน์ชัดเจนว่าโปรเจคจะหน้าตาเป็นยังไง เดินไปทางไหน คนที่พร้อมกำจัดอุปสรรคทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างทำโปรเจค พร้อมผลักดันโปรเจคไปข้างหน้าตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่ได้ผลิตภัณฑ์ออกมา จนไปถึงการสวมบทเป็นคนขาย หาผู้ใช้งานตั้งแต่คนแรกจนผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จักในวงกว้าง คนในวงการ Tech ที่เราน่าจะรู้จักกันดีก็เช่น Sheryl Sandberg, Chief Operating Officer คนปัจจุบันของ Facebook
The Hacker — นักพัฒนาหรือ Developer ที่สามารถเปลี่ยนไอเดียและจินตนาการของทีม สร้างออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ ทำงานได้ถูกต้อง รวดเร็ว ปลอดภัย รวมถึงสามารถนำทีมนักพัฒนาให้ทำงานร่วมกันได้อย่างแข็งแรง ถ้าจะให้ยกมา 1 คน คงหนีไม่พ้น Bill Gates อดีต Chief Executive Officer และผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft
The Hipster — ไอเดียดี ขายได้ ใช้งานจริง แต่หากเราไม่มีคนที่เข้าใจผู้บริโภคอย่างแท้จริง เข้าใจวิธีคิด เทรนด์ ความชอบ ตั้งแต่แอปพลิเคชันแบบไหนกดง่าย แบบไหนสวย คำไหนใช้แล้วไวรัล ไปจนถึงสีโทนไหนจะถูกใจและให้ Mood and Tone ที่ดีที่สุด หากขาดคนคนนี้ แอปพลิเคชันเราอาจไม่มีคนใช้งานก็เป็นได้ คนดังในกลุ่มนี้ เช่น Jony Ive อดีต Chief Design Officer ของ Apple
โชคดีที่ KBTG ของเรามีทีมที่เต็มไปด้วยคน 3 ประเภทนี้ในบริษัท เรามีทีม Innovation Product Manager ที่เป็นคนดูแลโปรเจคในมุมธุรกิจตั้งแต่วาง Product Roadmap ขออนุมัติโครงการ ไปจนถึงดูเรื่องกฎเกณฑ์และกฎหมายต่างๆ เรามีคนเกินครึ่งบริษัทที่เป็น Developer เก่งๆพร้อมเขียนได้ทุกภาษา ออกแบบระบบ และทำงานหนักเพื่อให้ผลิตภัณฑ์เกิดขึ้นจริง รวมถึงเรายังมีทีม Designer ที่ทำหน้าที่ออกแบบ Brand Identity และดูแล User Experience ให้ผลิตภัณฑ์มีคอนเซ็ปต์ชัดเจน เข้าถึงกลุ่มผู้ใช้งานได้มากที่สุด
ท้ายสุดนี้ เราโชคดีที่ได้ผู้บริหารที่เข้าใจและเห็นความสำคัญในสิ่งที่เราอยากทำกับการนำเอาเทคโนโลยี (Technology) มาใช้ให้เกิดประโยชน์ และให้เราได้ทำโปรเจคนี้ขึ้นมาจริงๆ เพราะหากผลิตภัณฑ์นี้สามารถทำออกมาใช้งานได้ และมีผลในการช่วยแก้ปัญหาระดับประเทศแล้ว ย่อมเป็นอะไรที่คุ้มยิ่งกว่าคุ้มสำหรับทุกคน
พัฒนา-เทส-ปล่อยของ แบบ Work from Home
มาถึงขั้นตอนลงมือทำ โชคยังดีที่ 4 วันแรกของการทำโปรเจค ทุกคนยังนั่งทำอยู่ด้วยกันที่ออฟฟิศ ทำให้ยังสามารถทำงานกันได้ปกติ เช้ามี Stand up Meeting ระหว่างวันก็แยกย้ายกันทำคนละส่วน โดยมีคนกลางคอยวิ่งประสานงานกับแต่ละฝ่าย แต่พอมาถึงอาทิตย์ที่สอง บริษัทมีนโยบาย Work from Home ทำให้เราต้องปรับรูปแบบการทำงานกันใหม่ เปลี่ยนเป็นอัพเดตกันเช้า-เย็น เพื่อให้เห็นความคืบหน้าถี่ขึ้น ทีมพัฒนาก็นั่งเปิด Meeting ออนไลน์กันทั้งวัน ทีมนักออกแบบก็แสตนบายช่วยปรับดีไซน์ และอาร์ตเวิร์คเพิ่มเติมตาม Requirement ที่เปลี่ยนอยู่แทบจะทุกวันจาก Product Owner (หากเพื่อนๆ ในทีมอ่านมาถึงตรงนี้ ขออภัยทุกคนด้วยครับผม ครั้งหน้าสัญญาว่าจะไม่ทำอีกแล้วว….) ตกดึกก็ช่วยกันนั่งเทสนั่งแก้ปรับโค้ด จนกระทั่งเราสามารถปล่อยผลิตภัณฑ์ออกไปให้ทุกคนใช้งานได้จริงดังตั้งใจ
วันนี้ และแผนการถัดไป
มาถึงวันนี้ นวัตกรรม HealthTech ตัวนี้ก็ถูกปล่อยออกไปแล้ว แม้จะยังมีผู้ใช้งานไม่มากนัก แต่ทุกๆวันที่ผ่านมา และวันที่จะมาถึง เราก็จะยังมีแผนเดินหน้าโปรโมท หาพาร์ทเนอร์ทางการแพทย์ และกระจายข่าวให้มีคนเห็น LINE Bot #ป่วยมั้ยนะ ให้มากที่สุด เพื่อให้เกิดการใช้งานในวงกว้าง เพิ่มเครื่องมือให้ทุกคนสามารถรู้ความผิดปกติของร่างกายตัวเองได้เร็วขึ้น รวมถึงเป็นฐานข้อมูลของประเทศให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาทำวิจัยต่อยอดเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป เพื่อให้ผลกระทบจาก COVID-19 และไข้หวัดใหญ่อื่นๆ ที่จะระบาดในอนาคตเกิดขึ้นกับบ้านเราให้น้อยที่สุดเท่าที่บริษัทเทคโนโลยีแห่งหนึ่งจะทำได้