สรุปข้อคิดของปี 2017

Pattapong J.
NoteWise
Published in
3 min readJan 4, 2018

ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ยากอันดับต้นๆในชีวิตเลย มีปัญหาเข้ามาเยอะมาก ช่วงสามไตรมาสแรก แทบไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่สุดท้ายก็ผ่านมันมาได้ ปิดด้วยไตรมาสสุดท้ายที่ใช้เวลาแค่สามสี่เดือน ทำงานหนักเหมือนเอางานทั้งปีมากองรวมกัน

เป็นปีที่ได้บทเรียนชีวิตเยอะมาก เลือกมาอันที่รู้สึกว่ามัน impact กับใจเราเยอะจริง

TL;DR :
- จะเอาอะไรกับ … อายุ … ก็รู้เท่าที่เราผ่านชีวิตมานี่แหละ
- ทำศีลให้สมบูรณ์
- ทำงานที่เราอยากจะบอกต่อกับคนอื่น
- เราฝากความหวังได้ แต่อย่ารอความหวัง
- รายจ่ายที่น่ากลัวที่สุด คือรายจ่ายจากหนี้สิน
- กติกาพิเศษ มีสำหรับคนพิเศษ
- เขียนสิ่งที่จะทำ ใส่วันที่ให้แน่นอน บอกตัวเราในอนาคต
- ทุกคนควรสังกัด Book Club ซัก 1 แห่ง
- เงินเป็นตัวคูณความเป็นตัวคุณ

จะเอาอะไรกับโปรแกรมเมอร์อายุสามสิบกว่า ก็รู้เท่านี้แหละ

เมื่อก่อน จะกลัวมากเลยเวลาต้องพูดอะไรออกไป กลัวรู้ไม่หมด กลัวพูดไม่ถูก กลัวโดนคนรู้จริงซัก
อย่างเรื่อง BlockChain เนี่ย อ่านมาก็ตั้งเยอะแล้ว แต่เพื่อนจะชวนคุยเรื่องนี้ ก็ไม่กล้าคุย เพราะกลัวว่าจะยังรู้ไม่ครอบคลุม อยากได้ผู้รู้จริงๆ มานำแล้วเราค่อยไปแซมๆเอา สุดท้ายพลาดโอกาสทำเงินดีๆ ไปเยอะมาก เพราะความกลัวว่าจะรู้ไม่หมดนี่แหละ

ช่วงว่างหลังจากเคลียปัญหาเสร็จ มีเวลาว่าง ได้ฟังเพลงน้องหอยนางรม แล้วYoutube suggest video นี้ขึ้นมา

สัมภาษณ์ที่เราอ้างถึง ไม่บอกว่าพูดนาทีที่เท่าไรนะ น้องเขาพูดดี ฟังทั้งหมดเลยละกัน

หลายๆอย่าง มันก็หลักการธรรมดานี่แหละ แต่มันเข้ามาในจังหวะที่ปัญหาพวกนี้เรากำลังเจอกับตัวอยู่พอดี พอฟังโอมพูดเลยรู้สึกว่ามันเข้าใจมากขึ้น ใจมันปล่อยได้ และมีประโยคนึงที่ฟังแล้วสะดุดใจ

ผมชอบพี่ฮิวโก้พูดมาก บอกว่า “เราเป็นศิลปินเองอะ จะไปรู้อะไรมากกว่าคุณ” ผมอายุเท่านี้เอง ที่นั่งดูอยู่นี่ก็เด็กกว่าผมไม่เกิน 10 ปี
— โอม วง COCKTAIL

ถูก … จะมาคาดหวังอะไรขนาดนั้น คือไม่ใช่ว่าจะให้เป็นคนพูดพล่อยพร่ำเพรื่อนะ แต่เราไม่ต้องตั้งความหวังกับตัวเรามากขนาดนั้นก็ได้ เราก็รู้เท่าที่เรารู้มานี่แหละ

ผิด … ก็ผิดดิ คนเรามันผิดได้ เหมือนเล่นเกม มันก็มีชนะมีแพ้ ผิดเราก็ดูว่ามันผิดตรงไหน เราจำผิด เราเข้าใจผิด เราเรียนมาผิด รู้ว่าผิดนี่ดีนะ ผิดก็แก้ให้มันถูก เราก็จะรู้จริงๆมากขึ้นเรื่อยๆ เจอผู้รู้ยิ่งดี ถามเลย คุยเลย

เคยมีอยุ่ช่วงนะ ที่รู้สึกกลัวจะพูดเรื่องที่ไม่รู้ลึกซึ้ง มากถึงขนาดหลีกเลี่ยงการพูดเรื่องมีสาระไปเลย คุยเรื่องละคร เรื่องอาหาร ข่าวเม้าfacebook สบายใจดี ผิดก็ไม่มีใครสนใจ เพราะมันไม่มีอะไรให้ต้องจดจำ

พอได้ยินประโยคนี้ เหมือนอัพเลเวลขึ้นนิดนึง กลับมาพูดคุยเรื่องสาระความรู้ได้เหมือนเดิมแล้ว

ทำศีลให้สมบูรณ์

ศีลคือสิ่งที่จะทำให้ใจเราแข็งแกร่ง
ศีล 5 ธรรมดานี่แหละ
ศีลที่สมบูรณ์ คือการรักษาศีลได้ครบ

เมื่อก่อน เราคิดว่าการรักษาศีล คือเพื่อเราจะได้เป็นคนดี เพื่อให้เราอยู่ในสังคมได้ เพื่อให้ไม่ตกนรก มันถูกแต่แค่ส่วนเล็กๆ หลังจากที่เริ่มศึกษามาทางนี้ เราถึงรู้ว่ามันเป็นเรื่องของใจ เรื่องภายในเรานี่แหละ

ศีลที่สมบูรณ์ เหมือนนอนบนเตียงที่บ้าน มันอบอุ่น มันมั่นใจ มันรู้สึกปลอดภัย
ศีลที่สมบูรณ์ เหมือนเป็นยอดนักรบ มันหนักแน่น กล้าที่จะพูด กล้าที่จะทำ กล้าที่จะคิด
ศีลที่สมบูรณ์ เหมือนมีเงินทรัพย์สินมากมาย ไม่กลัวการเจอปัญหา เจออุปสรรค

ถ้าศีลไม่สมบูรณ์ มันเหมือนคนตัวเปลือยเปล่า เหมือนข้ามน้ำด้วยเรือรั่ว เหมือนอนอยู่กลางสมรภูมิ ใจมันหวั่นไหว มีจุดอ่อน มีความกลัว มีปม
ใจแบบนี้จะทำการใหญ่ได้ไง เรื่องใหญ่เท่าไร ยิ่งกลัวเท่านั้น เป็นสุนัขบ้า กลัวน้ำ ต้องคอยเห่าให้คนอื่นออกห่าง เพราะกลัวคนเข้าใกล้แล้วจะมาเจอจุดอ่อนของตัวเอง

คนที่มีศีลครบอยู่แล้วคงเข้าใจดี คนที่ยัง แนะนำให้ลอง คนบาปๆนี่แหละพอทำศีลสมบูรณ์แล้วมันจะเห็นความต่างจากก่อนหน้าได้ชัดเจนเลย

ทำงานที่เราอยากจะบอกต่อกับคนอื่น

ชีวิตที่ผ่านมาจับหลายงานมาก ได้ข้อสรุปว่า ถ้าเราจะทุ่มเทแรงกายแรงใจ ลงมือทำอะไร สิ่งหนึ่งที่ต้องพิจารณาก่อนเลย คืองานนั้นมันเป็นงานที่เราสามารถเอาไปเล่าให้ใครต่อใครฟัง และชักชวนคนอื่นเข้ามาใช้งานได้หรือเปล่า

ถ้าเล่าให้คนอื่นฟังไม่ได้ ส่วนมากที่เจอคือจะโตได้ยาก รอวันคนเข้ามาแย่งทำ รอวันถดถอย รอเวลาปิดตัว อย่างดีคือพอเลี้ยงตัวเองได้ งานที่เล่าให้คนอื่นฟังไม่ได้เช่นอะไรบ้าง
- งานที่ทำเงินจากโอกาสที่คนอื่นมองไม่เห็น : ไม่อยากเล่าเพราะโอกาสมีนิดเดียวและเราไม่มี unfair advantage ถ้ามีคนรู้จะโดนแย่งส่วนแบ่งไปง่ายๆ
- งานที่ไม่น่าภาคภูมิใจ : ไม่อยากเล่าเพราะไม่ภาคภูมิใจไง เล่าให้คนอื่นฟังก็อาย แล้วถ้าคนรอบตัวไม่รู้ว่าเราทำอะไร โอกาสดีๆจะเข้ามาหาเราได้อย่างไร
- งานที่ผิดกฏหมาย : มันมีคนบังคับใช้กฏหมายอยู่ สุดท้ายมันก็จะตามมาทัน ไม่ว่าจะทำไว้ดียิ่งใหญ่แค่ไหน ถูกจับ ก็ติดลบทันที
มองยังไงก็เห็นแต่ทางเสื่อม

ทำงานที่ภูมิใจ เล่าให้คนรอบข้างฟัง เชิญชวนทุกคนเข้ามาใช้ประโยชน์จากมันให้ได้มากที่สุด
พอคนรู้ว่าคุณทำอะไรได้ เมื่อเจอปัญหาแบบนี้ เรื่องแบบนี้ เขาก็จะคิดถึงคุณ
พอคุณไปช่วยให้เขาได้ประโยชน์ เขาก็จะบอกต่อ คุณก็ได้ลูกค้ามากขึ้น
พอคนใกล้ตัวก็ใช้ คุณก็จะอยากทำมันออกมาให้ดีที่สุด เพื่อให้คนใช้พอใจ ซึ่งก็คือเพื่อน คนใกล้ตัวคุณพอใจ
มองยังไงก็เห็นแต่ทางเจริญ

เราฝากความหวังได้ แต่อย่ารอความหวัง

มีปัญหา … มีคนอยากช่วย … ดี
มีเรื่องเดือดร้อน … มีคนอยากช่วย … ดี
แต่อย่ารอ เพราะมันปัญหาเรา มันเรื่องเดือดร้อนเรา เขารับปากจะช่วยอย่างไร มันก็เป็นการไปช่วยปัญหาของคนอื่น ไม่มีทางจะร้อนใจ หนักใจเท่าเราหรอก สุดท้ายถ้าช่วยไม่ได้ ก็ไม่ได้เดือดร้อนเขา … เดือดเรานี่

ถ้ามีปัญหา
ต้องหาทางแก้
ดิ้นรน … สู้
มีคนช่วย … ดี
แต่อย่ารอ หาทางแก้มันให้ได้ ยิ่งได้ทางเยอะยิ่งดี ดึงทุกทางเข้ามา จนกว่ามันจะแก้ได้ หรือมีทางแก้ที่ชัดเจนแล้ว ค่อยผ่อนกำลังลง

ปัญหาบางอย่างมันต้องใช้เวลาแก้ด้วย วิ่งชนอย่างเดียวจะให้มันจบ บางทีมันเจ็บตัวเปล่า ใช้แรงเท่าที่จำเป็นก็พอ

รายจ่ายที่น่ากลัวที่สุด คือรายจ่ายจากหนี้สิน

เมื่อก่อนเราจะมีแค่รายจ่าย ซึ่งปกติแล้ว หางานไม่ได้ เงินลดลง หรือมีเรื่องต้องใช้ฉุกเฉิน ตรงนี้เราลดรายจ่ายได้ กินข้าวประหยัดขึ้น เที่ยวน้อยลง เพื่อเก็บเงินได้
หรือรายจ่ายคงที่อื่นๆ เช่นส่งเงินให้ที่บ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ พวกนี้ถึงแม้จะคงที่ แต่เราก็ควบคุมการเพิ่มหรือลด หรือพักการจ่ายไปก่อนได้

แต่พอมีหนี้สินเข้ามา ส่วนนี้เราไม่ควรนับเป็นพวกเดียวกับรายจ่ายอื่นแล้ว เพราะมันเป็นรายจ่ายคงที่ ที่เจรจาไม่ได้ มันมาทุกเดือน อยากลดเองก็ไม่ได้ ไม่สนว่าเรามีเท่าไร เดือนนี้ใช้หมด เดือนหน้ามาใหม่ ใช้ไปอย่างนี้จนกว่าจะหมด
ธุรกิจผมเจ๊ง ปีนี้เสียเงินไปเป็นล้าน ยังไม่น่ากลัวเท่าเป็นหนี้บ้านเลย ผ่อน 30 ปี ทุกปี ทุกเดือน ดอกคิดทุกวัน เงินจะมี ไม่มี ก็ต้องหามาจ่ายเขาให้ได้ทุกเดือน

คนรวย คนจน ต่างกันแค่นี้เอง คนรวยซื้อทรัพย์สิน คนจนซื้อหนี้สิน (เพราะคิดว่าเป็น ทรัพย์สิน)
— Money coach

กติกาพิเศษ มีสำหรับคนพิเศษ

ปีนี้มีสามเรื่องที่ทำให้คิดว่ากติกาที่คนส่วนมากรู้ มันไม่ใช้กติกาทั้งหมด เราต้องรู้ว่าเรากำลังอยู่ในเกมไหน เราเป็นผู้เล่นกลุ่มไหน

คนพิเศษที่กล้าถาม ดอกเบี้ยบ้าน ลดได้ ที่โปรว่าถูกแล้ว เราก็ลดลงได้อีก โปรไฟล์ที่ว่ากู้ยาก ก็ยังกู้ได้ แต่เขาไม่บอก เขาไม่ได้ให้ทุกคน เข้าให้คนที่กล้าถาม หลังล่าสุดที่กู้ ได้ดอกโปรถูกสุด 3.2% สามปี เลยถามไปว่าลดอีกได้ไหม สีส้มเหมือนจะให้ 2.9 เองนะ ผ่านไปวันนึง ได้มา 2.9 เหมือนกัน คำถามเดียว ลดค่าใช้จ่ายไปได้ปีละหลายหมื่นเลย

คนพิเศษที่รู้กติการที่คนอื่นไม่รู้ หลายๆเรื่องบางทีมันมีเงื่อนไขบางอย่างที่คนรู้กันเอง แต่ไม่ได้บอกคนอื่น มีธุรกิจอยู่ตัวนึงที่คนส่วนมากไม่คิดว่ามันทำได้ แต่เราคิดว่ามันน่าจะทำได้ เลยลองหาข้อมูลและลงมือดู กลายเป็นว่าเจอจุดทำเงิน ที่หาเงินได้เป็นกอบเป็นกำเลย

คนพิเศษที่มีสถานะพิเศษ ธุรกิจที่พูดถึงเมื่อกี้ ที่คิดว่าดีมาก ทำกำไรมาดีๆ ถูกกดดัน ถูกตรวจสอบ ถูกเล่นงาน จนต้องปิดไป เสียหายเป็นล้าน ในขณะที่อีกเจ้าที่ทำเหมือนกัน แต่ไม่โดนอะไรเลย เพราะไปรู้จักคนที่ควรรู้จัก ซึ่งพอเราไม่รู้ว่ามีกติกาข้อนี้ด้วย ก็เจ็บตัวไป

บางทีมันไม่สำคัญว่าคุณรู้อะไร มันอยู่ที่ว่าคุณรู้จักใครบ้าง

ซึ่งสามอย่างนี้ อย่างแรกคือต้องรู้จักขอ รู้จักตั้งคำถาม อันนี้เข้าใจง่าย ชัดเจน

แต่สองอันหลัง อันนี้เป็นได้แค่ข้อคิด ว่าเวลาลงมือทำอะไร อย่าสร้างกรอบให้ตัวเองมาก อย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้ อย่าคิดว่าไม่มีใครทำ หลายๆเรื่องบางทีเราอาจจะต้องเอาตัวเองลงไปคลุกดู แล้วความรู้ที่เรามีที่มันต่างจากคนที่เขาอยู่ตรงนั้นกันอยู่แล้ว จะสร้างโอกาสใหม่ๆให้กับเรา และต้องหาคนที่รู้จริงเรื่องนั้นๆมาช่วย อย่าคิดว่ารู้ดี อย่าใช้แรงถึกอยู่คนเดียว เสียเวลา บางเรื่องเอ่ยปากถามแป๊ปเดียวได้คำตอบดีๆแล้ว แต่ถ้ามัวแต่ทำเอง เสียทั้งเงิน ทั้งเวลากว่าจะรู้ เผลอๆรู้ผิดอีก

และต้องเผื่อใจไว้ด้วย เพราะว่าโอกาสที่เรามองเห็น ถ้ามันเป็นเรื่องไม่ยาก ไม่นานก็จะมีคนตามมา เราทำได้ คนอื่นก็ทำได้ ต้องดูด้วยว่า unfair advantage ของเรามีไหม หรือถ้าโชคร้ายไปเจอคนที่มีสถานะเหนือกว่าเรามากๆ หรือมี unfair advantage ก็อาจจะมาดึงโอกาสจากมือเราไปหมดเลยก็ได้

เขียนสิ่งที่จะทำ ใส่วันที่ให้แน่นอน บอกตัวเราในอนาคต

สองปีก่อนได้ลองใช้ passion planer แล้วรู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นมาก (ช่วงที่ทำต่อเนื่อง) รู้สึกเหนื่อยบ้าง แต่ได้เห็นความสำเร็จเล็กๆน้อยๆในชีิวิตทุกวัน รู้สึกภูมิใจในตัวเอง รู้สึกใช้ชีวิตได้มีประสิทธิภาพ

หนังสือหลายๆเล่มจะบอกว่า ให้ตั้งเป้าหมายและทำมันให้สำเร็จ บางทีเราก็รู้สึกว่ามันเหนื่อยจัง ตอนเห็นพัฒนาการเยอะๆอะดี แต่ตอนมันหนืดๆเหมือนวิ่งไล่ตามอะไรอยู่ตลอดเวลา พอมีขาดช่วงไปหน่อย กลายเป็นช่างมันไปเลยก็มี แต่ก็พยายามทำมาตลอด ขี้เกียจบ้าง ไม่ต่อเนื่องบ้าง แต่ก็พยายามทำ เพราะจากที่เห็นมา คนจะ success ได้ต้องมีเป้าหมาย และทำมัน

ปีที่ผ่านมาก็เลยทำต่อ แต่ทำใน google calendar แทนเพราะอยากให้มันสะดวกขึ้น พอเปลี่ยนมาทำใน calendar เรา มอง Task แต่ละอันเปลี่ยนไป มันไปรวมกับงานปกติที่เราใส่ calendar นัดประชุม กินข้าวกับเพื่อน ไปหาลูกค้า ตั้งไว้เตือนตัวเองว่าถึงเวลาแล้วต้องทำ เราก็เลยมองเป้าหมายใหญ่ เป้าหมายย่อย เป้าหมายรายวัน พวกนี้เป็นงานสำหรับตัวเราในอนาคต เหมือนการนัดกินข้าวกับเพื่อนไปเลย

พอเปลี่ยนมุมมอง จากสิ่งที่ต้องลงมือลงแรงทำ คอยมองว่าจะพุ่งไปตรงนั้นยังไง กลายเป็นเหมือนงานที่เราเคยตั้งใจว่าจะทำ และเลือกว่าจะมาทำวันนี้ ใจมันสบายขึ้นเยอะเลย ทำตามเป้าได้ไหลลื่นขึ้น ต่อเนื่องขึ้น แทบทำได้ตลอดเลย ความภูมิใจ ความตื่นเต้นมันลดลง แต่ความต่อเนื่องเพิ่มขึ้นเยอะมาก

และที่ต้องย้ำว่า ไม่ใช่แค่ทำ ต้องใส่เวลาที่แน่นอนด้วย เพราะว่าคนเราพอไม่กำหนดวันแล้ว มันวัดผลยาก เราผลาญเวลาเก่ง ถ้าไม่กำหนดวันที่แน่นอน มันก็จะเลื่อนไปเรื่อย หาเวลาเพื่อลงมือทำไม่ได้ซักที กำหนดลง calendar แบบนี้ เห็นอยู่แล้วว่าถึงวันต้องทำ สมองมันจะช่วยเคลียเวลาว่างให้เอง พอถึงวันส่วนมากก็จะได้ทำ ถ้าไม่ติดอะไรจริง หรือถ้าไม่ทำ ก็ต้องมานั่งทบทวนตัวเอง ว่าคราวนี้จะทำวันไหนดี ไม่ใช่ผ่านวันแล้วลืมไปเลย

ตัวอย่าง calendar ปีก่อน กำหนดเรื่องที่อยากทำ ระบุช่วงเวลาที่จะใช้กับมันในแต่ละวัน

ใครอยากตั้งเป้าหมาย แต่ทำไม่ได้ซักที ลองเปลี่ยนมุมมองมันดูนะ เอามาใส่ calendar ให้มัน alert แบบนี้ก็ได้

ทุกคนควรสังกัด Book Club ซัก 1 แห่ง

ปีที่ผ่านมา มีน้องมาชวนไปจอยกับ Kiddee Book club เป็นการพบปะที่รู้สึกดีมากกกกก

เราจะนัดเจอกันประมาณเดือนละครั้ง อ่านหนังสือมาคนละเล่ม แล้วเอามาเล่าให้กันฟัง ว่าหนังสือที่อ่าน เกี่ยวกับเรื่องอะไร และเราได้อะไรบ้าง เล่าคนละ 10 นาที ถามคำถามอีกซัก 10–15 นาทีต่อเล่ม

ได้เจอคนใหม่ๆ ได้ความรู้ใหม่ๆ ได้สอบทานสิ่งที่รู้ มันดีมากเลย

ที่ดีสุดๆคือ ได้บังคับตัวเองให้กลับมาอ่านหนังสืออีกครั้ง เมื่อก่อนเป็นคนอ่านหนังสือเยอะมาก มือต้องติดหนังสือ 1 เล่มติดตัวตลอดเวลา อ่านทุกครั้งที่ไม่ต้องใช้ลูกตาทำเรื่องอื่น แต่เนื่องจากเป็นคนอ่านหนังสือช้า อาทิตย์หนึ่งถึงจะอ่านจบซักเล่ม (ที่ทำให้ช้าไปอีกคือต้องอ่านการ์ตูนด้วย วันละ7–14 เล่ม 555) แต่หลังจากได้ iPad มาอ่านหนังสือน้อยลงมาก เหมือนมันมีอะไรให้อ่านตลอดอยู่แล้ว เลยไม่ค่อยได้จับหนังสือเหมือนเดิม

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ดูเหมือนระบบความคิดจะขาดตอนง่ายขึ้น ต่อเนื่องไม่ได้นาน ไม่ค่อยได้หยุดคิด กลั่นกลอง ไตร่ตรอง ที่เห็นชัดสุดคือ ตอนอ่านหนังสือ ช่วงที่อ่านหนังสือเล่มไหน เราก็จะได้ข้อคิดดีๆ มาใช้ในช่วงเวลานั้นๆ แต่มันแทบไม่เกิดขึ้นเลยในขณะที่ใช้ iPad

ตอนใช้ iPad อยู่เราก็ไม่รู้สึกผิดปกติอะไรนะ รู้ว่าก็ยังเป็นคนชอบอ่านเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนไปอ่าน online ไง แต่พอกลับมาอ่านหนังสือนี่แหละถึงรู้สึก อ่านจบเล่มยากขึ้น ถ้ามันไม่ได้สนุกจริงๆ สงสัยติดนิสัย กระโดดไปมาหลายๆเรื่อง จาก notification ที่มันชอบเด้งมาเวลาอ่านผ่าน iPad ให้เราเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น หรือไม่ก็จาก news feed ที่เรื่องเยอะมาก แต่ไม่ลงลึกซักเรื่อง

อ่านหนังสือเดือนละเล่ม ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเท่าไร เฉลี่ยก็วันละ 10 หน้าเอง และพอต้องไปแชร์ เราก็เลือกว่าจะอ่านอะไร อ่านเก็บสาระมากขึ้น คิดถึงบทสรุป และสิ่งที่เราได้จากเนื้อหาเหล่านี้ … รู้สึกดี รู้สึกมีคุณภาพในการอ่านมากขึ้น

และโชคดีที่วงที่ไปคุย มีแต่คนเก่งๆ และค่อนข้างเปิดกว้าง ทำให้สบายใจมากขึ้นที่จะแชร์ด้วย

ถ้านึกไม่ออกว่าอ่านหนังสือมาแชร์กันเป็นยังไง ลองฟังเมี่ยงทอร์คของเราก็ได้ EP.6 กับ EP.7 จะเป็นการเอาหนังสือ การเก็บบ้านของมาริเอะ และ minimalism มาแชร์กัน จนเป็นผลให้หลายๆคนที่ได้ฟัง เริ่มทำการเก็บบ้าน และเปลี่ยนวิธีการซื้อของไปเลย

อยากให้ทุกคนมี Book Club สังกัดซัก 1 วงนะ ดีต่อชีวิตมากจริงๆ ถ้าหาที่สังกัดไม่ได้ ทักมาครับ เดี๋ยวไปขอแอดเข้า group ที่ผมรู้จัก หรือถ้ามมากันหลายคน เราตั้ง Book Club กับเองก็ได้

เงินเป็นตัวคูณความเป็นตัวคุณ

เจอคนใกล้ตัวหลายคน ไม่ชอบเรื่องเงิน กลัวคุยเรื่องการเงิน รู้สึกว่าการคิดเรื่องเงินมากๆ เป็นเรื่องไม่ดี

ตัวเงิน มันไม่ได้เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดีนะ เงินมันเป็นแค่ตัวคูณ ความเป็นตัวคุณ

คุณเป็นคนดี มีเงินมาก ก็ยิ่งทำความดีได้มาก ได้หลากหลาย

คุณเป็นคนชั่ว มีเงินมาก ก็ยิ่งชั่วได้มาก เสริมอัตตาตัวเองได้มาก

อย่างรังเกียจเงิน มันเป็นสิ่งที่เราต้องใช้ทุกวัน ต้องหามันไปชั่วชีวิต
สิ่งที่เราใช้ทุกวัน ต้องหาทุกวัน ทุกคนเห็นตรงกัน แต่เราดันไม่มีความรู้เรื่องนี้มากพอ … มันน่าเศร้านะ

--

--