MARRIED.I.Y (2) — เลือกโรงแรม

เอาหล่ะ ทุกคนผ่านขั้นตอนการตกลงพูดคุยกันมาเรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ ถ้าได้วันแต่งงาน กำหนดสินสอดทองหมั้น แหวนกี่กะรัต แต่งที่ไหน เช้าสายบ่ายเย็น มาเรียบร้อยแล้ว ก็มาเร่ิมเตรียมการกันครับ

Chaiyong Ragkhitwetsagul
Pinn & Aun

--

งานผมถือว่ามีเวลาเตรียมการค่อนข้างน้อยหากเทียบกับคู่อื่นๆ ที่ได้ถามมา คือมีประมาณสามเดือนกว่าเท่านั้น (ตอนแรกคิดว่า น้อยแล้วเรอะ … สุดท้ายก็เข้าใจว่า เออ มันก็น้อยจริงแฮะ) เพื่อนผมบางคู่เตรียมกันหนึ่งปีเต็ม เนื่องจากเวลามีน้อย เราจึงต้องคิดกันให้รอบคอบว่าจะทำอันไหนก่อน ช่วงไหนดี ให้ทุกอย่างเสร็จทันเรียบร้อยก่อนวันแต่ง

เฟส 2 — เตรียมการ

ขั้นตอนใน เฟสสอง — เตรียมการ นี้มีหลายเรื่องที่ต้องทำ เรายุ่งกันมาก เรียกว่าทำกันทุกวัน เสาร์-อาทิตย์ไม่ได้หยุด ตอนเย็นกลับมาก็ทำ ความรู้สึกจะเหมือนเราทำโปรเจคท์ซักอันนึงกับแฟนของเรา โปรเจคท์นี้ใหญ่มากสำคัญมาก ที่สำคัญ มันใช้เวลาในการเตรียมการนานมาก บางช่วงก็เครียด เหมือนเป็นงานอีกอันหนึ่งเลย

เอาละ … มีอะไรให้ต้องทำกันบ้าง มาดูกันครับ ไม่ได้เรียงตามลำดับความสำคัญนะครับ (เพราะไม่รู้อันไหนสำคัญกว่ากัน ฮา)

  1. จองโรงแรม
  2. ลิสต์รายชื่อแขก
  3. เลือกแหวน
  4. ถ่ายพรีเวด
  5. วิดีโอพรีเซ้นเตชั่น
  6. จ้างช่างแต่งหน้า
  7. จ้างช่างภาพ/วิดีโอ
  8. เช่าชุด
  9. เลือกของชำร่วย
  10. เลือกทีมตกแต่งสถานที่
  11. เลือกการ์ด

จริงๆ ยังมีไอเท็มเล็กๆ น้อยๆ อีกมายมายหลายอย่างเลยครับ แต่ว่าเอาหลักๆ แค่นี้ก่อนละกัน ที่เหลือค่อยไปเก็บตกทีหลัง

อ่านพวกแมกกาซีนบ้างไหม? อ่านครับ เราซื้อแมกกาซีนแต่งงานมาอ่านอยู่ 2–3 เล่ม เช่น WE, Wedding จริงๆ อ่านแล้วทำให้ได้ idea โน่นนี่ แต่สุดท้ายก็รู้ว่าไม่มีเงินทำตาม 555+ เลยเอาวะ search จากในเนตเป็นเรื่องๆ ไปเนี่ยแหละ ตรงจุด และฟรีด้วย

แฟนผมทำ To Do List เพื่อลิสต์ออกมาว่ามีเรื่องอะไรที่จะต้องทำบ้าง และก็พบว่า เยอะมากกกกกกกกกกกกก ฮ่าๆ ใครสนใจอยากจะเอาเทมเพลตของเราไปใช้ก็ยินดีนะครับ ใช้ได้หลายอย่างอยู่ ดูได้จาก Google Drive

To Do List ที่เราทำกัน นึกอะไรออกก็ใส่เข้าไปในนี้ มีประโยชน์ตอนใกล้ๆ วันงานด้วย เอาไว้เช็คว่าทำไปครบแล้วหรือยัง

เอาละ เรามาเริ่มที่อย่างแรกกันเลยดีกว่า … (ป.ล. ภาพเยอะมาก)

จองโรงแรม

จองโรงแรมนี่เป็นมหากาพย์แห่งความซับซ้อนวุ่นวายกันเลยทีเดียว เพราะมีเรื่องให้พิจารณาเยอะมากๆ แต่ละแห่งก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไหน คิดไม่ตก นอนกลิ้งไปมา ก็ยังเลือกไม่ได้ แนะนำว่าการจองโรงแรมควรจะทำแต่เนิ่นๆ เพราะยิ่งถ้าเป็นโรงแรมที่เป็นที่นิยมก็จะเต็มเร็วมาก และการจองล่วงหน้านานๆ อาจจะทำให้เราทันไปงานพวก wedding fair ของโรงแรม อาจจะทำให้ได้ส่วนลดหรือของแถมมาด้วย (แต่ wedding fair น่ากลัวมากนะครับ จากประสบการณ์ โดยเฉพาะพวก wedding studio ดึงกันร่างแทบขาด -*-) …

ความสูงของเพดานก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ภาพถ่ายออกมาสวย @โรงแรมสุโกศล พญาไท

จากที่บอกว่าเมื่อเราได้วันมาแล้ว เราสองคนเริ่มการจองโรงแรมเป็นอย่างแรก เพราะคิดว่านี่เป็นส่ิงที่จะต้องนำไปใช้ต่อๆ ไปอีกมาก เราเริ่มหาข้อมูล (จริงๆ แฟนผมทำเป็นส่วนมาก) จากหลายๆ แห่ง ที่ใช้บ่อยและมีประโยชน์มากคือเว็บไซต์ weddingsquare.com หากท่านจะแต่งงาน ต้องไปที่นี่เลยครับ มีครบทุกอย่างจริงๆ

นอกจากนั้นยังได้อ่านบล็อกของคุณ @kajochi ซึ่งมีประโยชน์มากเช่นกัน เป็นแรงบันดาลใจให้ผมเขียนบล็อกนี้ด้วยครับ เพราะได้เห็นแล้วว่าการแชร์ประสบการณ์ของตัวเองมีประโยชน์กับคนอื่น

สิ่งที่เราได้เรียนรู้คือ มีสามสี่อย่างที่ต้องตัดสินใจก่อนจะติดต่อโรงแรม คือ

  1. ตำแหน่งที่ตั้ง ว่าโรงแรมอยู่นอกเมือง ในเมือง เดินทางสะดวกไหม มีรถไฟฟ้าถึงไหม อันนี้แล้วแต่ชอบครับ
  2. จำนวนแขก ว่าจะเชิญประมาณกี่คน
  3. ชนิดอาหาร (ว่ากินอะไรดี ค๊อกเทล/บุฟเฟ่ต์/โต๊ะจีน)
  4. ราคา เพราะสิ่งที่ทุกโรงแรมจะถามเมื่อเราโทรไปก็คือ “จัดงานวันไหน” “แขกกี่ท่านคะ” และ “ค๊อกเทล บุฟเฟ่ต์ หรือโต๊ะจีนคะ” หลังๆ ไม่ต้องรอเขาถามแล้ว เราใส่ก่อนได้เลย “ผมจะขอถามห้องจัดงานเลี้ยงแต่งงาน วันที่ 24 สิงหา แขก 300 ท่าน โต๊ะจีนครับ ห้องว่างไหมครับ ราคาเท่าไหร่ครับ” รวดเดียวจบ ☺ บางแห่งมีข้อมูลบนเว็บอยู่แล้วก็ไม่ต้องถามเลย แค่ถามว่าห้องว่างวันนั้นหรือเปล่า จบ
ขนาดห้องพอดีกับการจัดงานหรือไม่ เช่นที่นี่ ไปรษณีย์กลาง ห้องสวยมาก แต่ใหญ่เกินไปสำหรับงานเรา (ที่นี่รับได้เป็นพันคน) แต่สวยมากนะครับ แนะนำเลยหากท่านมีแขกเยอะ

ตำแหน่งที่ตั้ง ราคา จำนวนแขก และชนิดอาหาร ก็จะช่วยลดจำนวนโรงแรมที่เราจะติดต่อไปได้มาก ตอนที่เราหาโรงแรมกันอยู่ เราตัดสินใจว่าจะจัดโต๊ะจีน แขก 300 คน ราคาที่รับได้คือโต๊ะละไม่เกิน 10,000 บาท เนื่องจากไม่ได้มีงบมากมายนัก ก็ตัดโรงแรมห้าดาว เช่น แมนดารินโอเรียนเต็ล แชงการีล่า เพนนินซูล่า ออกไปได้เลย เพราะโรงแรมพวกนี้โต๊ะละ 14,000 — 16,000 หรือมากกว่านั้น (เฮือก)

พอได้มาจัดงานเอง ก็พบว่าเรื่องเงินก็มีส่วนสำคัญที่จะต้องเอามาคิด (ถ้าท่านไม่ได้รวยแบบจ่ายเท่าไหร่ก็ได้อ่ะนะ) คือ เราต้องคำนวณว่าเราจ่ายโต๊ะละ 10,000 บาท นั่งได้สิบคน ถ้าเขาใส่ซองคนละพันบาท เราก็เท่าทุนพอดี อย่างนี้ก็พอโอเค ไม่ได้จะมาหวังว่าจะต้องได้กำไรนะ แต่ว่าถ้าเลือกไปตามใจฉัน เอาหรูๆ กินอาหารดีๆ ห้าดาว สุดท้ายออกมาขาดทุน 2–3 แสน น่าจะเศร้ากว่าไหม แต่ก็คงไม่ถึงกับว่า ฉันเอาถูกที่สุดที่จะหาได้ สถานที่กะอาหารเป็นไงไม่สน จะได้ได้กำไรเยอะๆ อันนั้นก็คงเกินไปหน่อย (เราคุยกันว่าเลือกโต๊ะละไม่เกิน 10,000 บาท ถ้าขาดทุนสัก 4–5 หมื่นก็ยังพอรับได้) จากงานนี้ทำให้เข้าใจและกะเงินที่จะใส่ซองงานคนอื่นได้ดีมากขึ้น เพราะกลายเป็นต้องมาดูว่า เขาจัดที่ไหน น่าจะเฉลี่ยหัวละเท่าไหร่

เราเลยเบนเข็มมาเลือกโรงแรมระดับ 3–4 ดาวแทน อยากได้ในเมืองเพื่อให้เดินทางสะดวก ขึ้นรถไฟฟ้ามาได้ (ยังกะจะมีคนขึ้นมานะ) เราจึงทำตารางไว้เปรียบเทียบครับ (ได้ไอเดียมาจากคุณ @kajochi นะ ขอบคุณมากๆ) เรื่องที่ควรจะถามโรงแรมก็มีเยอะแยะมาก ถ้าท่านถามได้หมดจะเก่งมาก (ผมลืมบ่อยมาก ถามไม่ครบเนี่ย ประจำ) ตัวอย่างเช่น ลักษณะห้อง/เบอร์ติดต่อ, ราคาโต๊ะจีน, ที่ตั้ง, รวม VAT+ sevice charges มั้ย, รวมค่าเครื่องดื่มมั้ย, ห้องพักเจ้าบ่าวเจ้าสาว, ซุ้มดอกไม้มีป่าว, พวงมาลัยให้กี่พวง (ปกติก็สองนะ), เค้ก, น้ำแข็งแกะสลัก, สมุดอวยพรให้กี่เล่ม, ชื่อบนเวทีฟรีมั้ย, แชมเปญ, กล่องใส่ซองกี่กล่อง, Projector/ LCD ไฟ follow / bubble แถมมั้ย, Gallery Decoration, และ นักดนตรี

บางโรงแรมมีการแบ่งห้องใหญ่ออกเป็นห้องย่อยๆ ได้ ลองเข้าไปดูบรรยากาศจริง @โรงแรมอีสติน มักกะสัน (เซลชื่อคุณเอ เก่งมาก และทำงานเป็นมืออาชีพมากครับ)

ถามไปเรื่อยๆ หลายๆ ที่ครับ จะได้มีไว้เปรียบเทียบเยอะๆ ผมว่าเราโทรจนแทบจะครบทุกโรงแรมในกรุงเทพแล้วมั้ง ฮ่าๆ ส่วนใหญ่ถ้าห้องไม่ว่างก็จะข้ามไป ได้ข้อมูลแล้วก็มาเติมๆๆ เข้าไป เราก็มีข้อมูลไว้ตัดสินใจ ตารางที่เราทำไว้หน้าตาประมาณแบบนี้

ลิสต์รายชื่อโรงแรมของที่พวกเราทำไว้ ยินดีให้เอาไปใช้ได้เลย มีข้อมูลอยู่เยอะนา น่าจะพอช่วยประหยัดเวลาไปได้ โหลดได้จากที่เดิมครับ (แต่ราคาอาจจะปรับขึ้นได้)

ทางเข้าโรงแรมเป็นอย่างไร มีที่จอดรถเพียงพอไหม ก็สำคัญเช่นกันครับ @Mandarin Hotel, Sam Yan

การเลือกห้องจัดเลี้ยง

เราแนะนำว่าควรไปดูโรงแรมด้วยตัวเองนะครับ ขอดูห้องที่เราจะจัดงาน ว่าชอบไหม บางทีรูปถ่ายในเว็บสวยมาก (เขารีทัชอยู่แล้วอ่ะนะ) ไปดูจริงเล็กนิดเดียว หรือเพดานต่ำ คู่เราเป็นโรคจิตชอบห้องเพดานสูงๆ และมีโคมไฟแชนเดอเลียร์ เพราะดูภาพจากงานคนอื่นแล้วสวยยยยยยยยครับ ฮ่าๆ เวลาโทรไปก็ถามตลอดว่าเพดานสูงกี่เมตร (โรคจิตเนอะ แต่พนักงานเขาคงรู้อยู่นะ สงสัยโดนถามบ่อย) ระดับ 3.5 ขึ้นไปก็โอเคครับ ไม่อึดอัด

ควรเข้าไปดูห้องและคุยกับเซลด้วยตัวเอง เพื่อดูบรรยากาศห้องโดยรวม ว่าชอบหรือเปล่า เซลเก่งไหม น่าจะช่วยเราได้ไหมในวันงานจริง

ถ้ามีเวลา ไปงาน wedding fair ของแต่ละโรงแรมด้วย ก็จะช่วยได้มาก เพราะงานพวกนี้โรงแรมจะจัดเต็ม เปิดห้องพร้อมตกแต่งเสร็จสรรพให้เห็นภาพว่าในงานจริงจะหน้าตาเป็นยังไง มีส่วนลดให้เยอะพอสมควร (มีโรงแรมหนึ่งให้ส่วนลดค่าอาหาร 10% แหน่ะ) พร้อมมี partner เจ้าต่างๆ เช่น ช่างภาพ ร้านการ์ด นักดนตรี มาให้ส่วนลดด้วย แต่ว่าก็จะเสียเวลาค่อนข้างมาก เพราะแต่ละโรงแรมมีช่วงจัด wedding fair ไม่ตรงกันครับ

ไปที่มีการจัดงานจริงๆ ก็ได้เช่นกันครับ จะเห็นการจัดโต๊ะและสิ่งตกแต่งต่างๆ ครบถ้วน @Mandarin Hotel

หรืออีกหนึ่งวิธีก็คือ ไปดูวันที่เขามีจัดงานจริงๆ ครับ สามารถแจ้งล่วงหน้าเพื่อขอเซลเข้าไปดูงานได้ ส่วนใหญ่จะให้เข้าดูก่อนเริ่มงาน อันนี้ก็ดีมากๆ เพราะเห็นบรรยากาศของงานจริงเลย สามารถเลือกเป็นวันเดียวกับที่เข้าไปชิมอาหารก็ได้ครับ

ถ่ายภาพมาไว้ดูทีหลัง ประกอบการตัดสินใจก็ดีเหมือนกันครับ

เมื่อตัดสินใจเลือกได้แล้ว ทางโรงแรมก็จะให้เราเซ็นสัญญาพร้อมจ่ายค่ามัดจำ (กันเบี้ยว) ก็แล้วแต่ว่าแต่ละโรงแรมคิดค่ามัดจำอย่างไร 30%, 50% แบ่งจ่ายได้มั้ย แล้ววันงานเคลียร์เงินตอนไหน หลังเลิกงานเลย หรือ ตอนเช้าของอีกวันนึง คุยกันไว้ก่อนเลยวันงานจริงจะได้ไม่สับสนนะครับ เพราะเงินเยอะอยู่ แนะนำว่าให้จ่ายด้วยบัตรเครดิตหากเป็นไปได้ เพราะท่านจะได้แต้มสะสมเยอะมากกกกก ฮ่าๆ และควรทำใบเซ็นชื่อไว้ให้ช่างกล้อง ช่างแต่งหน้า ช่างวิดีโอ และอื่นๆ เซ็นตอนรับเงินด้วยครับ เพื่อไว้เป็นหลักฐาน

Function Area

อันนี้เป็นศัพท์ใหม่ที่ผมเพิ่งรู้เหมือนกัน ช่วงแรกๆ คุยกับเซลแล้วไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร

ถ้าไปดูวันงานจริง (ของงานแต่งคนอื่น) ก็จะเห็นว่าโรงแรมจัดวางตำแหน่งอย่างไร

Function area = พื้นที่สำหรับตกแต่ง จัดวาง backdrop ถ่ายภาพ โต๊ะลงทะเบียน และอื่นๆ เพื่อต้อนรับแขกก่อนเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง

บางโรงแรมมี function area กว้างขวาง ก็จะสามารถจัดตกแต่งได้เยอะ (แต่ระวังจะกว้างเกินไป ก็จัดไม่สวยเหมือนกันนะครับ)

ถ้าเป็นไปได้ควรเลือกโรงแรมที่มี Function area เยอะๆ เพราะเราจะสามารถจัดวางของตกแต่งได้มาก และดูไม่อึดอัดเกินไป ส่วนใหญ่โรงแรมจะมีกำหนดตำแหน่งของ backdrop และโต๊ะลงทะเบียนไว้คร่าวๆ อยู่แล้ว รวมถึงตำแหน่งของลิฟท์ว่าแขกจะเดินออกมาตรงไหน ลองไปเดินตามโฟลวว่าถ้าเราเป็นแขกจะเป็นยังไงดูก็ได้ครับ

การชิมอาหาร

อาหารก็เป็นส่วนสำคัญ (มาก) อย่างหนึ่งของงานแต่ง หากท่านไม่แน่ใจว่าอาหารอร่อยไหม ควรจะขอไปชิมก่อนนะครับ บางโรงแรมยอมให้ชิมก่อนจอง (ที่เราเคยไปคุยมาก็เช่น ตึกช้าง อีสติน มักกะสัน) แต่บางที่ต้องจองแล้วถึงให้ชิม (ก็ไม่รู้ให้ชิมทำไมเหมือนกัน เพราะเปลี่ยนไม่ได้แล้ว -*-) แนะนำว่าควรพาเพื่อนๆ ญาติๆ ไปให้หมดครับ เพราะเขาให้ทั้งโต๊ะเลย 10 คน (กรณีโต๊ะจีน)

ทั้งโต๊ะ มากินอยู่สองคน วังเวงงงงมาก 555

งานผมไม่รู้ว่าเขาให้ทั้งโต๊ะ ไปกันสองคน โทรตามเพื่อนมาก็กะทันหันเกินไป ไม่ทันแล้ว สุดท้ายได้มาเพิ่มอีกคนนึง กินกันไม่หมด เสียดายจัง …

ในที่สุดเราก็ตัดสินใจว่าเลือกโรงแรมแมนดาริน (Mandarin Hotel) กัน เพราะว่าสมเหตุสมผลทั้งราคาอาหาร ตำแหน่งที่ตั้ง (สามย่าน ใกล้ MRT และบอกตำแหน่งง่าย) ขนาด/ความสวยงามของห้องและโรงแรม (เพิ่งรีโนเวตมาได้ไม่กี่เดือน) และของแถมที่เยอะมาก (ได้จากโปรโมชั่น wedding fair) ครับ

โรงแรมแถม bubble, dry ice, par light ครบหมดเลยครับ เวลาตัดเค้กเลยเอฟเฟคท์เพียบบบบ ☺

เอาหล่ะครับ เลือกโรงแรมกันได้แล้วก็เหมือนยกภูเขา (ลูกแรก) ออกจากอก ต่อไปก็เป็นเรื่องจุกจิกต่างๆ อ่านต่อตอนต่อไปได้เรยจ้าาาา ^^ → MARRIED.I.Y (3) — จัดงานยังไงไม่ให้งบบานปลาย

ขอนอกเรื่องหน่อยจ้า เผอิญเจ้าสาวเปิดร้านขายตุ้มหูและสร้อยคอ คุณภาพดี นำเข้าเอง ราคามิตรภาพใครสนใจเชิญแวะเข้าไปเลือกชมได้ที่ Pastella Shop จ้า

https://www.facebook.com/pastella.accessories

--

--