MARRIED.I.Y (3) — จัดงานยังไง ไม่ให้งบบานปลาย

Chaiyong Ragkhitwetsagul
Pinn & Aun
Published in
3 min readOct 7, 2014

--

ป.ล. ตอนนี้เขียนโดยเจ้าสาว — ปิ่น และแต่งเติมโดยอั้น นะครับ

เรื่องเงินใครว่าใครว่าเรื่องเล็ก จริงไหมคะ แต่งงานครั้งหนึ่งในชีวิต ก็ย่อมต้องอยากได้โน่นนี่เยอะไปหมด ความต้องการดูเหมือนว่าจะมีไม่จำกัด แต่เงินในกระเป๋านี่สิมีจำกัด (-_-“)

ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนเลยว่า อาจจะไม่สามารถเสนอแนวทางการจัดงานแบบที่ถูกสุดๆ ให้ทุกคนได้นะคะ แต่เอาเป็นว่าจัดแล้วไม่เกินงบที่ตั้งไว้ดีกว่าค่ะ ปิ่นเชื่อว่าการจัดงานแต่งงานมันต้องมีทั้งศาสตร์และศิลป์ จะเอาแต่ถูกไว้ก่อน เราก็อาจจะไม่ถูกใจจริงไหมคะ สำหรับปิ่นแล้ว ปิ่นพยายาม balance กันค่ะ ถูกใจบ้าง ถูกเงินบ้าง แต่ใครจะถือแนวทางอื่นก็ไม่ว่ากันค่ะ บางคนอาจจะคิดว่าจัดง่ายๆ สบายๆ ถูกๆ ดีกว่า เผลอๆ เหลือเงินไป Honeymoon ได้อีก อันนี้ก็ไม่ว่ากันค่ะ

เคล็ดไม่ลับสำหรับคุมงบ

1. ทำลิสต์รายการค่าใช้จ่ายหลักๆ ไว้ก่อน เช่น ค่าโรงแรม ค่าตกแต่งสถานที่ ค่าชุด ค่าแหวน ค่าของชำรวย ค่าการ์ด ให้กำหนดงบรวมไว้เลยค่ะ ว่าเรามีเงินเท่าไหร่ สำหรับการจัดงานทั้งหมด แล้วกำหนดลงไปเลยค่ะว่า เราสามารถจัดสรรค่าใช้จ่ายให้แต่ละส่วนได้เท่าไหร่ และพยายามใช้จ่ายให้พอที่จัดสรรไว้ค่ะ อย่าพยายามเลื่อนจำนวนที่ลิมิตไว้โดยเด็ดขาด เพราะถ้าทำไปครั้งนึง ก็จะมีครั้งต่อๆ ไปแน่ๆ ค่ะ ☺ แต่ถ้าจำเป็นต้องเลื่อนจริงๆ ก็ให้ลดยอดอื่นๆ ตามลงไปค่ะ

2. สถานที่จัดงาน การจัดงานในโรงแรม ช่วยให้เราคุมงบได้ง่ายมากขึ้นค่ะ เพราะว่า ค่าโรงแรมจะรวมทั้งค่าอาหารและเครื่องดื่ม ค่าสถานที่ ค่าไฟ และการตกแต่งไว้พร้อมแล้ว หากจัดที่โรงแรมก็มักจะอุ่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าจะไม่เจอค่าใช้จ่ายงอกหลังจากจัดงานไปแล้ว (ยกเว้นค่านำเข้าเครื่องดื่มแอลกฮฮอล์ การนำเข้าซุ้มอาหารในกรณีที่จัดงานแบบค็อกเทล และการนำเข้าดอกไม้สด ที่ทุกโรงแรมมักจะขอคิดค่าใช้จ่าย และจะแจ้งไว้ก่อนค่ะ) และการจองล่วงหน้านานๆ หรือจองในงาน wedding fair ก็จะช่วยเราประหยัดอีกทางค่ะ เพราะส่วนมากจะมีการลดราคาหรือให้ของแถมเป็นการตกแต่งเพิ่มเติม ทำให้เราไม่ต้องเสียเงินเพิ่มเติมทีหลังเพื่อตกแต่งงานค่ะ

แต่ถ้าใครอยากที่จะจัดตามสโมสรต่างๆ ก็ขอให้ตกลงกันและเขียนให้ชัดเจนไปเลยค่ะ ว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง เช่น ค่าห้องรวมค่าตกแต่งสถานที่ให้ไหม หากนำการตกแต่งเข้ามาเองจะมีการคิดเงินเพิ่มหรือไม่อย่างไร ใช้ห้องได้ถึงกี่โมง มีจอ LCD ให้กี่จอ มีเครื่องฉายกี่เครื่อง ไฟจำพวก spot light, par light, follow light ทางสโมสรมักจะไม่มี หากเอาเข้ามาจะต้องเสียเงินเท่าไหร่ อย่างไร ถ้าจะให้ดีเขียนในสัญญาเลยค่ะ จะได้ไม่มาเถียงกันทีหลัง การจัดที่สโมสรหรือสถานที่อื่นๆ ที่ไม่ใช่โรงแรมจะมีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะหน่อย แต่ถ้าเราละเอียดรอบคอบซะอย่าง ก็คุมได้ค่ะ

3. ชุดแต่งงาน อย่างแรกเลยคือ เช่าถูกกว่าตัดแน่ๆ ค่ะ บางคนอาจจะถือเรื่องชุดเจ้าสาวต้องใส่คนแรก ก็อาจจะใช้วิธีเลือกชุดใหม่ที่ทางร้านตัดออกมาแล้วยังไม่เคยมีใครเช่าก็ได้ค่ะ อาจจะแพงกว่าหน่อยแต่ก็ถูกกว่าตัดแน่ๆ การเช่าชุดจากร้าน พร้อมกับซื้อบริการของร้านด้วย ก็จะช่วยให้เราได้ชุดในราคาถูกลงค่ะ เช่น ซื้อพร้อม package ถ่ายภาพ pre-wedding หรือถ่ายรูปวันจริง (ในทำนองเดียวกัน การเลือกใช้ช่างถ่ายภาพนิ่งกับช่างภาพวิดีโอเป็นคนเดียวกันก็จะราคาถูกลงกว่าจ้างแยกกันค่ะ)

และที่สำคัญคือ มีเงินเท่าไหร่ บอกร้านไปเลยค่ะ พี่คะ หนูมีเงินเท่านี้ เช่าชุดไหนได้บ้าง หากชุดไหนเกินงบก็ต้องตัดใจเลยค่ะ และอีกอย่างบางร้านอาจจะแถมให้เช่าฟรีเครื่องประดับและรองเท้าด้วย อย่างนี้ก็จะช่วยเราประหยัดไปได้อีกทางค่ะ ยังไงก็ลองชั่งน้ำหนักแต่ละร้านดูค่ะ เรื่องการเดินทางใกล้ไกลก็มีผลนะคะ และจะให้ดีก็ควรเช่าชุดไทยและชุดเจ้าสาวจากร้านเดียวกัน เพราะยังไง ถ้าตกลงใจเช่าแล้วก็ต้องมีการเดินทางไป fitting ชุดและรับชุดอีกอย่างน้อย 1–2 รอบค่ะ เดินทางไกลๆ หลายครั้งก็เป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายโดยไม่รู้ตัวค่ะ

ลองจนกว่าจะถูกใจนะคะ ทางร้านส่วนใหญ่ยินดีให้เลือก ให้ลอง ตามต้องการอยู่แล้วค่ะ

4. การ์ดแต่งงาน การ์ดมีหลากหลายแบบ หลายราคา ต้องลองสำรวจดูหลายๆ ร้านค่ะ ราคาอาจต่างกันหลายบาท ที่สำคัญคือควรเลือกร้านที่มีโรงพิมพ์เอง จะทำให้เราได้การ์ดราคาถูกลงค่ะ กระดาษที่มีความหนาไม่มาก (แกรมน้อย) ราคาก็จะถูกลง หรือการ์ดแผ่นเดี่ยวก็จะมีราคาถูกกว่าการ์ดพับ 2–3 ทบ การเลือกแบบสำเร็จรูปหรือแบบที่ร้านมีไว้อยู่แล้ว ก็จะเป็นการประหยัดกว่าเพราะไม่ต้องเสียค่าบล็อกค่ะ การสั่งพิมพ์ก็ควรจะสั่งถึงจำนวนขั้นต่ำที่กำหนด ก็จะทำให้เราได้ราคาการ์ดต่อใบถูกลง (ร้านทั่วไปอยู่ที่ 300 ใบค่ะ) บางร้านที่รับพิมพ์เฉพาะการ์ด แล้วให้เรามาพับเอง แบบนี้ก็จะทำให้ได้การ์ดราคาถูกลงเหมือนกันค่ะ หรือบางคน หากมีความสามารถด้านคอมพิวเตอร์หน่อย ก็อาจจะใช้วิธีออกแบบการ์ดเองแล้วอัดออกมาเป็นรูปถ่ายก็ได้ค่ะ ก็จะตกอยู่ที่ราคา 3–5 บาท/ใบ

สร้าง Facebook event เพื่อ invite และนับจำนวนแขกก่อน ดีมากเลยครับ (ใครๆ ก็ทำกัน เดี๋ยวนี้)

ในกรณีที่เป็นการจัดงานแบบกันเอง เพื่อนๆ จะใช้วิธีการเชิญผ่านทาง social network ต่างๆ เช่น facebook, Line หรือ e-mail ก็ได้ค่ะ แล้วเลือกพิมพ์การ์ดเฉพาะการเชิญญาติผู้ใหญ่ก็ได้นะคะ แต่หากใครคิดว่ายังไงก็ต้องแจกการ์ดทุกคน เจ้า social network เนี่ย ก็จะเป็นตัวช่วยให้เรากำหนดจำนวนการ์ดได้อย่างเหมาะสมค่ะ โดยเราอาจจะมีการตั้ง event ใน facebook แล้วเชิญเพื่อนๆ ก่อนล่วงหน้าระยะหนึ่ง เพื่อรอดูจำนวนคนตอบรับ ก็จะทำให้เรากะจำนวนคนที่จะมาร่วมงานได้คร่าวๆ ค่ะ ทำให้เราไม่ต้องพิมพ์การ์ดมามากเกินความจะเป็นค่ะ (มีเพื่อนคนหนึ่งแนะนำมาค่ะ ^^)

ภาพจากงานแต่งที่สงขลา

5. ของชำร่วย สืบเนื่องจากข้อ 1. เลยค่ะ เราต้องกำหนดก่อนว่าเรามีงบสำหรับของชำร่วยกี่บาท เช่น ตั้งไว้ 6,000 บาท เราต้องการเชิญแขก 300 คน แบบนี้ก็จะต้องหาของชำร่วยที่ราคา 20 บาท/ชิ้น เป็นต้น วิธีการเดียวกันนี้ใช้กับเรื่องการ์ดด้วยนะคะ ยังไงก็ดี จำนวนการ์ดและของชำร่วย ควรจะทำไว้เกินจำนวนแขกเล็กน้อยค่ะ ของชำร่วยมีหลากหลายค่ะ การเอามาทำ packaging เองก็จะช่วยประหยัด เช่น การมาใส่ถุง ผูกโบว์หรือห้อย tag เอง โดยไม่ได้ต้องสั่งทำลงไปในตัวของชำร่วย หรือการใช้ของชำร่วยจากมูลนิธิต่างๆ ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีค่ะ เพราะนอกจากจะได้บุญแล้ว ยังเอาค่าใช้จ่ายไปใช้หักภาษีได้อีกด้วย

หวังว่า tips เหล่านี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ว่าที่เจ้าบ่าวและว่าที่เจ้าสาวบ้างนะคะ ^^ ต่อกันได้ที่ MARRIED.I.Y (4) — ว่าด้วยเรื่องของแหวนเพชร ได้เลยค่าาา

ขอนอกเรื่องหน่อยจ้า เผอิญเจ้าสาวเปิดร้านขายตุ้มหูและสร้อยคอ คุณภาพดี นำเข้าเอง ราคามิตรภาพใครสนใจเชิญแวะเข้าไปเลือกชมได้ที่ Pastella Shop จ้า

https://www.facebook.com/pastella.accessories

--

--