MARRIED.I.Y (4) — ว่าด้วยเรื่องแหวนเพชร …

Chaiyong Ragkhitwetsagul
Pinn & Aun
Published in
3 min readOct 8, 2014

--

Credit: บทความนี้เขียนโดยเจ้าสาว — ปิ่น ครับ อ่าน Medium ของปิ่นได้ที่นี่ครับ

Diamonds are forever เพลงภาคหนึ่งของ James Bond 007 ฟังชื่อแล้วทำให้รู้สึกว่าเพชรเป็นอะไรที่เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอมตะ คนเราถึงอยากให้เพชรมาเป็นตัวแทนของความรัก

ปิ่นเองตอนแรกก็ไม่ได้เป็นคนมีความรู้เรื่องเพชรอะไรเลย แต่ก็ใช้อาศัยอ่านๆ จำๆ เอา เพราะเห็นว่าไหนๆ จะซื้อเพชรทั้งที ก็ขอรู้เรื่องกับเค้าบ้าง

วันนี้เลยอยากจะขอแชร์หลักการคร่าวๆ ย้ำว่าคร่าวๆ ให้เพื่อนๆ เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์บ้างเวลาเพื่อนๆ ไปเลือกซื้อเพชรกัน หรืออย่างน้อยก็พอจะอ่านใบเซอร์เพชรรู้เรื่องบ้างค่ะ

1. เลือกร้านที่ไว้ใจได้

อันนี้ใช้การศึกษาชื่อเสียงเอาค่ะ จะทางอินเตอร์เนต หรือจะเป็นร้านที่รู้จักก็ได้ค่ะ เมื่อได้ร้านแล้วก็ศึกษาราคาค่ะว่ามีความเหมาะสมหรือไม่อย่างไร แต่จำไว้เสมอค่ะว่า การเทียบราคาเพชรต้องเทียบกับเพชรที่มีคุณสมบัติเท่ากันเท่านั้นค่ะ ซึ่งข้อต่อๆ ไปปิ่นจะมาเล่าให้ฟังว่าเวลาเราดูเพชรเราดูคุณสมบัติอะไรกันบ้าง เพื่อนๆ ลองดูไปเรื่อยๆ 2–3 ร้าน ก็จะพอกะประมาณได้ค่ะ ว่าร้านนั้นๆ ถูกหรือแพง

2. กำหนดงบประมาณ

การกำหนดงบประมาณไว้ก่อน ก็จะช่วยตีกรอบการเลือกเพชรของเราลง การซื้อแหวนเพชร มักเป็นการเลือกเพชรก่อน หรือที่เราเรียกว่า “เพชรร่วง” แล้วจึงออกแบบแหวนและประกอบเพชรอื่นๆ ลงไป เพราะฉะนั้นการกำหนดงบประมาณนอกจากจะดูราคาเพชรหัวแหวนแล้วก็อย่าลืมคำนวณถึง เพชรประดับ และตัวเรือนด้วย ซึ่งที่นิยมกันก็มักจะเป็นทองคำหรือทองคำขาว ราคาของตัวเรือนก็ขึ้นอยู่กับน้ำหนักค่ะ

แหวนผู้ชายมักจะเป็นแบบเกลี้ยงมีเพชรเล็กๆ หนึ่งเม็ด แต่แหวนของผู้หญิงจะจัดเต็มกว่าค่ะ

3. เลือกแบบแหวน

บางคนอาจชอบแหวนเป็นเป็นเพชรชูเม็ดเดี่ยว บางคนอาจจะชอบแบบมีรายละเอียด ร้านโดยทั่วไปจะมีแบบโดยประดับเพชรสังเคราะห์ไว้ให้เราลองสวมค่ะ นิ้วคนเราไม่เหมือนกัน บางคนนิ้วยาว บางคนนิ้วอ้วน เพราะฉะนั้นต้องลองสวมดูว่าแบบไหนเหมาะกับเราค่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แนะนำว่าควรเลือกดีไซน์ที่ดูแล้วคลาสสิคค่ะ เพราะแหวนหมั้นหรือแหวนแต่งงานก็จะอยู่กับเราไปอีกหลายปีจริงไหมคะ เพราะฉะนั้นเลือกแบบคลาสสิคไว้ก่อน ผ่านไปกี่ปีๆ กลับมาดูก็เชื่อว่าจะยังสวยอยู่

พกเป็ดไปให้ช่างภาพถ่ายวันงานด้วยค่ะ ^^

4. เลือกเพชร

อย่างแรกเลยที่เลือกง่ายที่สุด คือ รูปทรงของเพชร เพชรมีหลายรูปทรงค่ะ แต่รูปทรงที่นิยมนำมาเป็นแหวนแต่งงานมากที่สุดคือทรงกลมค่ะ เพราะเชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของความไม่สิ้นสุดเหมือนวงกลมที่ไม่มีจุดสิ้นสุดค่ะ ว่ากันว่าเพชรที่ขายๆ กันอยู่ในตลาดโลกกว่า 75% ก็เป็นเพชรกลมเนี่ยแหละค่ะ ปิ่นเองก็เลือกเพชรกลมค่ะ เพราะเห็นว่าเป็นรูปทรงเพชรที่ให้เหลี่ยมมากที่สุดจึงส่องประกายมากกว่ารูปทรงอื่นๆ แต่ก็เป็นรูปทรงที่แพงกว่าทรงอื่นๆ เช่นกันค่ะ แต่บางคนอาจจะชอบรูปแบบอื่นๆ ก็ไปลองดูกันได้ค่ะ

ภาพจาก http://www.toryandko.com/SERVICES/FACTS/Diamond+Information.html

คุณสมบัติของเพชร 4 ข้อ

ต่อมาปิ่นขอเล่าคร่าวๆ เกี่ยวกับคุณสมบัติของเพชร 4 ข้อ ที่ใช้กันเป็นสากลแล้วกันนะคะ นั่นก็คือ หลัก 4C มันประกอบไปด้วยอะไรบ้าง มาดูกันเลยค่ะ

(1) Carat (กะรัต หรือ น้ำหนักของเพชร )

เพชร 1 กะรัต จะเท่ากับ 200 มิลลิกรัม หรือปิ่นเห็นคนไทยมักจะเรียกว่า 100 สตางค์ จะใหญ่จะเล็กแค่ไหนก็เลือกกันตามชอบหรือตามจำนวนเงินในกระเป๋าเลยค่ะ แต่ก่อนปิ่นคิดว่าเพชรใหญ่คือเพชรที่แพงกว่าเพชรเล็กแน่ๆ แต่พอมาศึกษาดูก็รู้ว่าไม่จริงเสมอไปค่ะ เพราะมันต้องดูคุณสมบัติอื่นๆ ประกอบด้วย

(2) Color (สี หรือ น้ำเพชร)

เพชรทีมีน้ำ 100 เราจะเรียกว่า D Color ค่ะ เรียกว่าเวลาโดนไฟแล้วขาวแบบแสบตากันเลยทีเดียว แต่ราคาก็แพงสุดๆ เหมือนกัน เพราะหายากค่ะ การจัดระดับสีจะเรียงไปเรื่อยๆ จากสีขาวสุดไปเป็นสีออกเหลืองๆ แทนด้วยพยัญชนะภาษาอังกฤษโดยเริ่มจาก D (น้ำ100), E(น้ำ99), F(น้ำ98) ไปเรื่อยๆ ค่ะ เพชรยิ่งขาวก็จะแพงกว่าเพชรออกสีเหลืองนวลๆ แต่ถ้าเป็นเหลืองเข้มไปเลยก็จะกลายเป็นเพชรแฟนซีซึ่งก็มีราคาแพงเหมือนกัน ใครที่อยากได้เพชรน้ำหนักมากหน่อยแต่ราคาถูกลง แนะนำกว่าซื้อเพชรที่ไม่ขาวมาก อาจจะต่ำลงจนถึงประมาณน้ำ 95 ก็ได้ค่ะ เพราะสีจะยังค่อนข้างขาว แบบที่ชาวบ้านแบบเราๆ ดูไม่ค่อยออกค่ะ ยิ่งถ้าอยู่เดี่ยวๆ ไม่ได้โดนเทียบกับเพชรที่ขาวกว่า ยิ่งดูไม่ออกค่ะ ลองสังเกตดูเยอะๆ ก็จะพอแยกออกค่ะ ปิ่นเองเคยไปร้านเพชรแห่งหนึ่งในห้างหรู เค้าเอาเพชรมาให้ดู พอปิ่นบอกเค้าว่า เพชรไม่ค่อยขาวเลยนะคะ เค้าก็ทำหน้าเหวอๆ ไปเหมือนกัน แอบรู้สึกเหมือนเค้าจะเอามาหลอกขายยังไงไม่รู้ หลังจากนั้นคุณเจ้าของร้านก็พูดแนวๆ ประชดว่า รู้เยอะนะคะเนี่ย แล้วก็บอกว่า พอดีเป็นน้ำ 93 ค่ะ ปิ่นเลยคุยๆ อีกนิดหน่อยแล้วก็ขอบายร้านนั้นไปค่ะ แบบว่าอารมณ์ติสต์ จะซื้ออะไรกับใครก็ขอถูกใจคนขายด้วย :-P

ภาพจาก http://diamondsellersguide.com/

(3) Clarity (ความสะอาด)

วัดจากตำหนิหรือสิ่งเจือปนในเพชรค่ะ ซึ่งปกติแล้วจะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ต้องใช้กล้องที่มีกำลังขยาย 10 เท่า หลายคนสงสัยว่าแล้วถ้ามองไม่เห็นด้วยตาเปล่าจะแคร์ทำไม ปิ่นว่าคงเป็นความรู้สึกของคนน่ะค่ะว่าของมีตำหนิ มีมลทิน จึงต้องมีมูลค่าลดลงไป และเท่าที่ทราบเค้าว่ากันว่าการที่มีตำหนิจะเป็นการขัดขวางทางเดินของแสงทำให้ส่องประกายน้อยลงค่ะ ความสะอาดแบ่งได้เป็น 10 ระดับค่ะใครที่อยากได้เพชรเม็ดใหญ่หน่อยแต่ราคาถูกลงก็อาจจะเลือกความสะอาดน้อยลงได้ค่ะ แต่อย่างไรก็ดี เท่าที่ทราบไม่ควรต่ำกว่า VS1 ค่ะ และถ้าจำเป็นที่จะต้องเลือกเพชรมีตำหนิก็ควรจะเลือกเพชรที่มีตำหนิอยู่ขอบๆ เพชร เพราะบางทีช่างทำแหวนจะใช้หนามเตยปิดได้ค่ะ หรือไม่ก็เลือกตำหนิไว้หลังเพชรค่ะ

ภาพจาก http://www.gleimjewelers.com/gleim_diamonds.html

(4) Cut (การเจียระไน)

เค้าว่ากันว่าข้อนี้สำคัญที่สุดในการเลือกเพชรค่ะ มีเว็บไซต์ฝรั่งอันนึงที่ปิ่นเคยอ่าน เค้าบอกว่า cut เป็นคุณสมบัติเดียวในการเลือกเพชรที่ no compromise ซึ่งหมายความว่าเรื่องอะไรก็ยอมๆ หยวนๆ ได้ แต่เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด การเจียระไนทำให้เพชรเป็นประกายสวยงาม ซึ่งต้องอาศัย

หลายอย่างประกอบกัน เพชรน้ำดี แต่เจียระไนไม่ดี ก็ทำให้เพชรไม่ส่องประกายเท่าที่ควรค่ะ การเจียระไน แบ่งเป็น 5 ระดับ ค่ะ คือ

Excellent (ดีเยี่ยม), Very Good (ดีมาก), Good(ดี), Fair(ดีมาก), Poor (แย่)

อย่างที่บอกไปแล้วว่า เรื่องนี้ยอมไม่ได้ เพราะฉะนั้น แนะนำเป็นระดับ Very Good หรือ Excellent เท่านั้นค่ะ โดยหลักๆ แล้ว Cut จะดูจาก Proposition (สัดส่วน) Polish (การขัดเงา) และ Symmetry (ความสมมาตร) ถ้าจะให้ดีต้อง Excellent ทั้ง 3 ส่วนค่ะ หรือ ที่ร้านเพชรมักจะพูดว่า Triple Excellent หรือ 3EX นั่นแหละค่ะ ถ้าเพชรมีสัดส่วนดี การขัดเงาดี และสมมาตรดี เพชรจะส่องประกายมาก อาจทำให้เพชรดูขาวขึ้นด้วยค่ะ

ภาพจาก http://www.ross-simons.com/content/engagement-ring-guide/what-diamond-shapes-work-best.htm

นอกจากนี้ปัจจุบัน ยังมี cut ที่ว่ากันว่ามีการเจียระไนอย่างปราณีต ทำให้เพชรได้สัดส่วน และความสมมาตรส่งผลให้เพชรส่องประกายสวยงาม เรียกว่า คือ Hearts & Arrows (H&A) เป็นการเจียระไนที่เมื่อเอากล้องส่องแล้วจะเห็นลูกศรแปดดอก เมื่อมองจากด้านหน้าเพชร และหัวใจแปดดวงเมื่อมองจากจากทางก้นเพชร H&A ที่ดีต้องมีความสมมาตรสวยงาม คือ ลูกศรเท่ากันทุกดอก และหัวใจเท่ากันทุกดวงค่ะ ปล. เพชร 3EX ทุกเม็ดอาจจะไม่ใช่ H&A ก็ได้นะคะ

รูปแสดงว่าเพชรมี H&A บนใบ Certificate ของเพชร จาก HRD

นอกจากคุณสมบัติ 4C ตามที่กล่าวมาแล้ว ปิ่นขอเสนอว่า หากเพื่อนๆ จะเลือกซื้อเพชรที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 0.3 กะรัต หรือ ที่คนไทยเรียกว่า 30 สตางค์ขึ้นไป แนะนำให้เพื่อนๆ ดูเพิ่มอีก 1C คือ Certification ค่ะ

เพชรที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 0.3 กะรัตขึ้นไป จะมีการออกใบรับรอง หรือ Certification หรือที่เราเรียกสั้นๆ ว่าใบเซอร์นั่นแหละค่ะ ซึ่งเท่าที่พบก็จะมีจาก 2 สถาบันคือ GIA (ของสหรัฐฯ) และ HRD (ของเบลเยี่ยม) เคยอ่านทราบมาว่าคนไทยมักนิยม GIA เพราะว่ากันว่าการให้เกรดมีความเข้มงวดกว่า แต่เคยถามเจ้าของร้านเพชรที่รู้จักเค้าก็บอกว่าในตลาดค้าเพชรยอมรับว่าเป็นมาตรฐานเดียวกัน เพชรมีใบเซอร์ก็คือมีใบเซอร์ไม่ได้แยกว่ามาจากสถาบันไหน

การเลือกซื้อเพชรที่มีใบเซอร์จะทำให้เรามั่นใจได้ว่าเราได้เพชรแท้ค่ะ เพราะเพชรพวกนี้จะมาพร้อมใบเซอร์เพชร และจะมีเลข serial number อยู่ตรงขอบเพชร (girdle) ซึ่งหากใช้กล้องกำลังขยายสูงๆ ส่องดูก็จะเห็น และเราก็สามารถตรวจสอบทางเว็บไซต์ของสถาบันนั้นๆ ได้ด้วยว่ามีคุณสมบัติตรงกับที่ใบเซอร์เขียนไว้หรือป่าว และการตรวจว่า เลข serial number ที่เพชรตรงกับใบเซอร์ที่ให้มาก็เป็นการป้องกันการเอาเพชรมาสวมใบเซอร์ค่ะ

ตำแหน่งของ Girdle ของเพชรทรงกลม ขอบคุณภาพจาก http://www.jewelry-secrets.com/

5. ปัจจัยอื่นๆ

นอกจากนี้เพื่อนๆ ก็อาจจะดูปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่น นโยบายการรับซื้อคืน หรือ บริการทำความสะอาด เป็นต้น

แหวนเพชรที่เราเลือกกันมาค่ะ ^^

เป็นยังไงกันบ้างคะเพื่อนๆ กับหลักการเลือกเพชรแบบคร่าวๆ พร้อมจะไปร้านเพชรกันรึยัง ขอให้มีความสุขกับการเลือกเพชรค่ะ ☺
อ่านต่อได้ที่ MARRIED.I.Y (5) — หลากหลายเรื่องราวกับการ์ดแต่งงาน ค่ะ

ขอนอกเรื่องหน่อยจ้า เผอิญเจ้าสาวเปิดร้านขายตุ้มหูและสร้อยคอ คุณภาพดี นำเข้าเอง ราคามิตรภาพใครสนใจเชิญแวะเข้าไปเลือกชมได้ที่ Pastella Shop จ้า

https://www.facebook.com/pastella.accessories

--

--