ทำไมหลัง ๆ ต่อให้ทำอะไรเสร็จสำเร็จด้วยดี ก็ไม่รู้สึกฟิน/ภูมิใจอีกต่อไป?

Kamin Phakdurong
Product Mixtape
Published in
2 min readSep 30, 2022

ได้ไปฟังคลิปใน YouTube อันนึงซึ่งพูดถึงเรื่อง Motivation และความรู้สึกฟินหลังทำงานเสร็จ ก็รู้สึกจึ๊กพอสมควร เลยอยากมาลองชวนคุยว่ามีใครเป็นเหมือนผมบ้าง ทุก ๆ วัน เราต้องเจอกับงานยากเยอะแยะ ซึ่งในช่วงแรกก็ไม่แน่ใจว่าจะทำได้ไหม จนสุดท้ายพอทำได้สำเร็จ กลับไม่ได้รู้สึกภูมิใจเท่าไร ทำไมหลัง ๆ พอทำอะไรสำเร็จเสร็จสิ้น มันควรจะให้ฟีลลิ่งที่มันฟิน ที่มันเติมเต็ม ที่มันรู้สึกว่า เห้ย เรานี่ก็ไม่ธรรมดานี่หว่า ไม่ใช่เหรอ?

Motivator ของคุณคืออะไรเอ่ย?

มันมีงานวิจัยที่พูดถึงว่า สุดท้ายความรู้สึกของพวกเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “What” ว่างานที่เราทำมันยาก มัน Challenging ขนาดไหน หรือว่าเราทำมันได้ดียอดเยี่ยมแค่ไหน แต่มันขึ้นอยู่กับ “Why” มากกว่า ว่าทำไม หรือเหตุผลกลใด ที่ทำให้เราตัดสินใจทำ Task นั้น ๆ

เวลาจะทำอะไร ลองหา Motivation ให้เจอ หา “เหตุผล” หรือ “ความหมาย” ของสิ่งที่เราจะทำให้ได้ คุยกับตัวเองให้ชัด ซึ่งบางทีจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก และถึงแม้จะเจอมันแล้ว มันก็อาจจะหายไประหว่างทางเมื่อไรก็ได้ ในมุมนึงจุดที่มันแอบยากก็คือ มันมี External Factor ที่บางทีเหนือการควบคุมของเรา แค่นอนน้อยไป 1 ชม. ก็อาจจะทำให้ตื่นขึ้นมาอีกวันแบบที่ไม่มี Motivation เลยก็ได้ โอ้ย Life is Pain

ลอง Aware เรื่อง Drive ของตัวเองให้ดี

สิ่งนึงที่ต้องระวัง และเพิ่งมาสังเกตตัวเองหลัง ๆ ก็คือ พยายามอย่าใช้ “Stressor” หรือความเครียดเป็น Drive ในการทำงานมากเกินไป จริง ๆ ความเครียดก็มีประโยชน์นะ พอคนเรามีความเครียด มันจะ Drive ให้เราต้องทำอะไรซักอย่าง ซึ่งรวมไปถึงการปั่นงานให้เสร็จ แต่สิ่งที่ทำให้เรา Burnout เร็วที่สุดท่านึงก็คือการใช้ “ความเครียด” เป็น Drive อยู่ร่ำไป เพราะสุดท้าย เมื่อมันสำเร็จแล้ว เราจะไม่ได้ Sense of Achievement (อย่างดีก็อาจจะรู้สึกว่า ฟู่…รอดตัวไปอีกหนึ่งวันนะเรา — Sense of Relief)

ซึ่งเจ้าความเครียด as a Motivator นี่ก็มาได้หลาย Way อยู่นะ

บางคนมาจากการ Procastinate ผลัดวันไปผลัดวันมา เอ้า Deadline ก็ยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ทำไงดี เครียด รู้สึกคั่นเนื้อตัว งั้นนั่งดู Netflix ดีกว่า ไถมือถือดีกว่า เอ๊ะ หรือจะจัดโต๊ะดี วันนี้ถ้าไปทำผมให้รู้สึก Fresh ก็น่าจะดี เวลาผ่านไป อ่าว ไอเวรตะไล Deadline มันคืนนี้แล้วนี่หว่า! รออะไรครับพี่ ปั่นไฟลุก! ณ จุดนั้น แทนที่เราจะจำได้ว่าทำไมเราถึงทำในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ In The First Place แล้วชื่นชมไปกับความสำเร็จอีกก้าวเมื่อเราทำเสร็จ กลายเป็นสิ่งที่ Drive เราคือมวลมหาความเครียดที่ โอ้ย ตูจะเผางานเสร็จทันไหม นั่นเอง

อีก Way นึงที่หลายคนตกหลุมพรางบ่อย ๆ (รวมทั้งผมเอง) ก็คือการที่เรามีภาพของตัวเราในแบบ “ที่ควรจะเป็น” และเราก็จะรู้สึกกดดันตัวเองอย่างหนักว่าจะต้องเป็นแบบ “ภาพ” นั้นให้ได้ เห้ย เราควรจะต้องได้ที่ 1 เราควรจะต้องประสบความสำเร็จในภาพที่วางไว้ก่อนอายุ 30 จะต้องรวย จะได้ต้องมีหน้ามีตา ไอ้ตรงนี้ ถ้าเป็นแบบไม่พอดี หรือเป็นตลอดเวลาก็ค่อนข้างจะน่ากลัวอยู่ แล้วบางที Expectation เหล่านี้ พอถามตัวเองดี ๆ มันอาจจะเป็นความหวังที่มาจากคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเองอีกต่างหาก พอเราทำสำเร็จ อย่างมากสุดเราก็ Live up to expectations แต่น่าจะไกลจากความรู้สึกของ Sense of Achievement อยู่มากโข

Imposter Syndrome อยู่รึเปล่า

สุดท้ายบางคนเป็น Imposter Syndrome ซึ่งในความหมายก็คือ รู้สึกว่าตัวเอง Somehow ด้วยโชคชะตา ฟ้าลิขิตให้ฉันดั้นได้มาอยู่ในจุดที่ยืนอยู่ทุกวันนี้ ซึ่งถ้าเราไม่ Give Credit ตัวเองซักหน่อย แต่ดันไปโฟกัสกับ ความเครียด ที่กลัวคนอื่นจะจับได้ว่าฉันไม่เก่งพอ ฉันเป็น Imposter ก็อาจจะทำให้รู้สึกว่าต่อให้ทำอะไรได้ เราก็จะไม่ Recognize ตัวเองไปซะอย่างงั้น แทนที่จะรู้สึกภูมิใจ รู้สึกฟินซะหน่อย ให้สมกับหยาดเหงื่อแรงกายของตัวเองที่ใส่ลงไป 💦

สุดท้ายนี้ มันเป็นเรื่องการ Work กับจิตใจภายในพอสมควร อย่าลืมนะครับ โฟกัสที่ Why ย้ำเตือนตรงนั้น พยายามใช้ความหมาย หรือเหตุผลอันนั้นเป็น Drive บ่อย ๆ อย่ากดดันตัวเองมากไป มุมมองเล็กน้อยสร้างความแตกต่างใหญ่หลวง ถึงแม้ Action ที่ออกมาจะเหมือนกัน

ถ้าเราดันไปเริ่มคิดว่า ฉันควรจะต้องน้ำหนัก 60 แล้วตอนนี้ฉันเริ่มที่ 70 ทุก ๆ หนึ่งโลที่ลดไป ไม่ได้มีค่าอะไรแค่การภูมิใจ เพราะฉันเริ่มจากคะแนนที่ติดลบ แต่ถ้าเรา Reset Scale ใหม่ให้เริ่มจาก 0 แม้ทุก ๆ ครึ่งโลที่ลดได้ ก็เป็น Quick Win ที่น่าภาคภูมิใจ

ส่วนคนที่เป็น Imposter Syndrome อันนี้คงไม่พูดเยอะ (เพราะตูไม่มีความรู้ แลก็ไม่ได้เป็นหมอด้วย…แต่ถ้าใครสนใจ พี่ชายผมเป็นจิตแพทย์) คิดว่าจากที่เคยเจอเพื่อนที่บอกว่าเป็น หลายครั้งต่อให้เขาประสบความสำเร็จอะไร เขาจะรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควร หรือไม่ก็ เอ้อ สิ่งที่เขาทำสำเร็จ ก็มีคนอีกตั้งเยอะที่ทำได้ ไม่เห็นควรค่าแก่การชื่นชมเลย แต่ถ้าลองคิดดู นั่นก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะงอมืองอเท้า แล้วได้มันมาง่าย ๆ ซะเมื่อไหร่ ลองให้ Credit ตัวเองซักนิดนึง

หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ อันนี้ไม่ได้มาเป็นไลฟ์โค้ชนะครับ เขียน ๆ ในมุมมนุษย์งานคนนึงเฉย ๆ ถ้าเพื่อน ๆ มีอะไรอยากเสริม อยากแชร์ก็ตามสบายเลยครับผม 😄

--

--

Kamin Phakdurong
Product Mixtape

Co-founder at LOOK ALIVE Studio (MIT based Startup) and a band member of The Dai Dai (Genie Records)