พยายามจะ Hustle แบบไม่ให้ Toxic: จะ Productive ยังไงให้ Healthy ในปี 2022
ไม่ผิดเลยที่จะพยายาม Be more productive
.
แต่จุดไหนกันถึงจะเริ่มล้ำเส้น เปลี่ยนเป็น Toxic Hustle Culture วันนี้มาคุยเรื่องนี้กัน
คิดว่าเพื่อน ๆ คงเป็นเหมือนกัน ที่บางทีเราค่อนข้าง Obsess กับ Productivity อยากทำงานให้เร็วขึ้น ทำได้เยอะขึ้น วัน ๆ นึงมีเวลาเท่าไรก็ไม่พอ ของใน To-do List ทำเท่าไรก็ไม่หมด มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ กินกาแฟ ตื่นให้เช้า นอนให้ดึก อ่านหนังสือ พัฒนาตัวเอง ต้อง Socialize ต้องประชุม หน้าที่ต่อคนรอบข้าง ต้องดูแลตัวเอง
ฟัง ๆ ดูเหมือนโลกทุกวันนี้เรียกร้องอะไรจากเรามากเกินไป (ไหม ? นั่นคือคำถาม)
อาการ Burnout เหรอ ? เป็นเรื่อย ๆ เป็นกันทุกหย่อมหญ้า เป็น ๆ หาย ๆ ไม่เห็นจะแปลกอะไร
.
จริง ๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมคิดมาเรื่อย ๆ เหมือนกัน ว่าเราควรจะมี Principles ในการทำงาน ในการใช้ชีวิตยังไง ที่จะเหมาะกับยุคปัจจุบัน ได้ทำหรือ Achieve สิ่งที่เราอยากได้ เก่งขึ้นเรื่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็มีความสุข รู้สึก Fulfilling มีประโยชน์ต่อคนรอบข้าง และก็มีสุขภาพที่ดี (แค่เขียนออกมาข้างบนก็เริ่มรู้สึกแล้วว่า… เอ๋ มันเยอะไปไหม)
ตอนนี่อายุ 31 แล้ว เลยอยากลองเขียนความคิดตัวเองออกมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ เผื่อจะตกตะกอนอะไรออกมาที่เป็นประโยชน์กับชาวบ้านชาวช่องเค้ามั่ง ทั้งนี้ทั้งนั้น ตรงไหนใครมี Feedback ติชมเสริมแต่ง ก็สามารถแชร์ ๆ กันมาได้เลยนะครับ
สิ่งที่เรียนรู้กับตัวเอง กับการพยายาม Hustle แบบไม่ให้ Toxic
- ถามตัวเองให้เยอะว่า สิ่งที่เราต้องการจะ Achieve สิ่งที่เราอยากได้ อยากได้มันเพราะอะไร ถาม “Why” ไปเรื่อย ๆ หลาย ๆ ครั้ง Mari Kondo สอนไว้ ก่อนจะเริ่ม Organize บ้าน ให้เริ่มจากหยิบของทีละชิ้น แล้วถามตัวเองว่าจำเป็นไหม Spark Joy ไหม อันนี้เหมือนกัน ก่อนจะเริ่มวิ่งตามมันไปเสียทุกอย่าง ลองดูก่อนว่า แต่ละอย่างเราวิ่งตามเพราะอะไร
- อวดว่านอนน้อย อวดว่าแดกกาแฟ 10 แก้ว อวดว่าประชุมนู่นประชุมนี่ทั้งวี่ทั้งวัน Back-to-back มันไม่ค่อยเท่ห์นะ จริง ๆ แล้ว (มันหลอกเด็กได้แค่นั้นแหละเพื่อน และก็หลอกกันเอง 😂) ควรลดให้น้อยเท่าที่จะน้อยได้ ถ้ารู้สึกว่า Value ของเรามาจากการได้รับ External Validation ว่าตัวเรานั้นคือโคตรถึก Constantly working long hours อันนี้ต้องถามตัวเองหนัก ๆ แล้วนะ
- อีกเหตุผลที่อยากให้ลดพฤติกรรมดังกล่าว คือ พฤติกรรมแบบนี้เองที่เป็นตัว Contribute ต่อ Toxic Hustle Culture ด้วย เพราะมันถูก Glorify + Amplify ผ่าน Social Media มันอาจไม่ได้แค่ทำให้เราหลงทางอยู่คนเดียว แต่คนอื่นก็อาจหลงทางไปกับเรา
- ทำงานเยอะได้ แต่คิดให้เยอะกว่า Rule of Thumb คือ อย่าทำงานจนกระทั่งไม่มีเวลา Reflect, “คิด” และ “รู้สึก” (สำหรับ “ความรู้สึก” อันนี้ ผมเพิ่งจะเติมมาในปีนี้เอง ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยได้ใช้ความรู้สึกให้เป็นประโยชน์เท่าไร แต่จริง ๆ แล้วความรู้สึกนี่เป็นกลไกบางอย่างที่มีประโยชน์มาก ไม่งั้นมนุษย์คงไม่พัฒนามันขึ้นมา สำหรับผมตอนนี้ จะพยายามสังเกตความรู้สึก เพราะมันเป็นสัญญาณชั้นดีที่คอยเตือนเวลาความต้องการลึก ๆ ของเราถูกมองข้าม และอาจนำไปสู่การ Burnout)
- ทั้งหมดที่พิมพ์มา ยังย้ำว่าให้ Balance นะ ไม่ได้บอกว่าการ Hustle มันไม่ดีแต่อย่างไร ขอแค่อย่า Hustle จนหน้าคะมำ สิ่งสำคัญคือต้องมีความใจเย็น โลกเราเพิ่งมาเร่ง ๆ แบบนี้ตอน Generation เราเอง (แต่เข้าใจ ความเร็วของโลกที่เรารู้สึกมันเป็นความรู้สึกที่จริงมาก เพราะมันคือทั้งช่วงชีวิตของพวกเรา) ลองถอยออกมา มองภาพกว้าง ๆ บ้าง นึกถึง Invention โง่ ๆ ที่เรียกว่า “ล้อเกวียน” บรรพบุรุษพวกเรายังต้องใช้เวลานานกี่พันปีกว่าจะประดิษฐ์ออกมาได้ Learning Curve ของมนุษย์เรามันเพิ่งมา Overload เมื่อไม่นานนี่เอง ลองใช้เหตุผลนี้เพื่อใจดีกับตัวเองหน่อย
- พยายามเลี่ยงการทำงานแบบ Busy Work // Generally speaking ให้พยายามหาทางทำงานให้น้อยลงเรื่อย ๆ ทั้งในแง่ของจำนวนชิ้นงานที่ต้อง Take action ในการทำ ทั้งเวลาที่ต้องใช้ต่อชิ้น // Framework ที่ทุกคนพูด ๆ กันว่าให้ Eliminate -> Automate -> Delegate เป็นสิ่งที่ต้องฝึกและถามตัวเองอยู่ตลอด ถ้าไม่มีเวลาถามตัวเอง แสดงว่าอันนี้เริ่มข้ามเส้นไปทาง Toxic ละ
- คุณค่าของชีวิต ไม่ควรผูกติดกับงานอย่างเดียว Outcome ของการทำงานมันมีทั้งสิ่งที่เราควบคุมได้ และควบคุมไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึง Social Status หรือ “ภาพความสำเร็จ” ในมุมอื่นของชีวิตเลย ที่มันเป็นเรื่องของโชคชะตา 108 พันเก้า เราอาจจะนึกว่าหลายอย่างมันอยู่ที่เรา แต่แค่พันธุกรรมของเราเอง เราเลือกได้ไหมหล่ะ แล้วพันธุกรรมแค่อย่างเดียว ส่งผลขนาดไหนต่อ Outcome ของแต่ละคน I think it affects everything เพราะงั้น ถ้าทำได้ พยายาม Embrace outcome ที่มันเกิดขึ้น แล้วไปโฟกัสกับสิ่งที่เราทำได้ ภายใต้สถานการณ์ หรือ Resource ที่เรามี และก็กระจายความรู้สึกมีคุณค่าไปในทางอื่นด้วย รวมทั้งเผื่อที่ให้คุณค่ามันมาจากข้างใน “ตัวเอง” ด้วย แค่คุณยังพยายาม ก็มีคุณค่ามากพอแล้ว
- โลกที่มี Social Media มันทำให้เรากลายเป็น 7–11 ที่เปิด 24 ชม. แถมเป็น 7–11 ชนิดที่บริการลูกค้าไม่เลือกสถานที่ด้วย สิ่งที่ปีนี้บอกตัวเองหนัก ๆ คือ ฝึก Set Boundary ให้เก่งขึ้น — คิดว่านี่จะเป็นสกิวสำคัญมาก ๆ ที่โรงเรียนควรมีสอน สกิวในการ Set Boundary
- วิธี Productive ที่พยายามใช้ตอนนี้ คือการ Set System + Environment ที่ช่วยให้ถนนมันลื่นขึ้น มัน Flow ขึ้น ซึ่งนำไปสู่การทำงานที่ง่ายขึ้น และเร็วขึ้น มากกว่าการที่จะฝืนแล้วฝืนอีก ทุ่มตัวเองไปให้ได้ไกลที่สุด เร็วที่สุด บนถนนที่ขรุขระ และบางทีก็ออกนอกเส้นทางด้วย คือมันไปเป็นการบริหาร Energy ที่ต่างกันมาก ๆ ทั้งสองแบบ
- Hustle Culture มันมีประโยชน์นะ เหมือนกาแฟ แต่คุณคงไม่คิดว่าการยัดกาแฟ 80 แก้ว ทั้งวันทั้งคืนมันควรทำหรอกมั้ง?
เริ่มรู้สึกว่าเขียนไปเรื่อยละ ไว้จะมาเขียนอีก Blog นี้อาจจะไม่ได้ Articulate เท่าไร ถ้าไม่มีคุณภาพขออภัยด้วย แต่คิดในใจว่าน่าจะดีกว่าไม่เขียนมันออกมามั้ง 😂