รีวิวประสบการณ์ 3 วัน กับ Enneagram Workshop (อ.ธนา) ฉบับคนไม่มีความรู้ที่โดนพี่ชายลอกไปเข้าแบบ Blank ๆ

Kamin Phakdurong
Product Mixtape
Published in
2 min readJun 14, 2022

คำเตือน: อาจเป็นรีวิวที่ต้องรู้จัก Enneagram มาแล้วนิดนึงในการอ่าน แต่ยังไงไม่รู้ก็ลองอ่านขำๆ ได้ครับ ผมก็ไม่ได้รู้มากกว่าพวกคุณเท่าไหร่หรอก 😂

.

เมื่อ Weekend ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปเข้า Workshop Basic Enneagram มา 3 วันเต็ม เป็นอะไรที่เหนื่อยโฮก เพราะต้องลางานไป เลยทำให้ต้องอัดทำงาน สั่งงานเผื่อไว้ก่อนล่วงหน้าพอสมควร แถมต้องแหกขี้ตาตื่นไปแต่เช้าจนเกือบลืมแปรงฟันเพราะกลัวรถติด แต่ต้องบอกเลยว่าคุ้มค่า คุ้มเวลา คุ้มเงินมาก ๆ แบบไม่ได้ค่าโฆษณา (แต่ถ้าโฆษณาเข้าก็จะดีมาก โปรด Inbox มา) ส่วนตัวก็เคยได้ยินแต่ชื่อ Enneagram หรือ นพลักษณ์ เพราะพี่ชายซึ่งเป็นจิตแพทย์พ่นให้ฟังบ่อย ด้วยศัพท์เฉพาะแบบ เออ เมิงไปคุยกับตัวเองดีไหม 555 (หยอกๆ) แต่สุดท้าย ก็ยังไม่เคยอ่าน ไม่เคยได้ศึกษาว่ามันคืออะไร จริง ๆ เคยอ่าน เคยทำ MBTI/Strenth Finder มาบ้าง แต่ก็จะไม่ค่อยอินเท่าไร เพราะดูแล้วถ้าไม่ระวัง อาจเป็นกับดักทางความคิดที่ยิ่งพาเราหลงทาง หรือแย่ยิ่งกว่านั้น…ไม่ได้พาเราไปที่ไหนเลย (เพราะพาลจะทำให้ยิ่งยึดมั่นถือมั่นกับตัวเอง และ Judge/Stereotype คนอื่นมากขึ้นไปอีก) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เหมือน Tool หลาย ๆ อย่างบนโลกนี้ครับ อยู่ที่คนใช้ ไม่ได้อยู่ที่ Tool ครับ

.

.

แต่เอ้อ ไหน ๆ ได้ฤกษ์แล้วก็…จัดไป! ซึ่งอาจจะไม่ได้ Spoil เนื้อหาของ Workshop มากนัก เพราะรู้สึกว่าอยากให้ไปโดนด้วยตัวเอง เพราะคุณประโยชน์ที่แท้จริง มันคือการ Work กับตัวเอง ถามว่าเรา Work กับตัวเองอยู่ที่บ้านได้ไหม ได้ซิเพื่อน! แต่ก็เหมือนกับเรา ๆ ท่าน ๆ เนี่ยแหละ พอผมมีเวลา ก็มักจะเอาไปทำบ้า ทำบอ มากกว่าจะมาบังคับให้ได้นั่งคุยกับตัวเองแบบ Workshop นี้ ซึ่งพอไปถึง อ. ธนาก็ Lecture เบื้องต้นก่อนว่า Enneagram คืออะไร โดยพูดว่ามันเป็นอะไร และมันไม่เป็นอะไร ซึ่งผม Buy อยู่นะ เพราะอาจารย์เล่าว่ามันเหมือนเป็นแผนที่ หรือ Framework บางอย่างในการมองโลก และช่วยนำพาเราไปสำรวจกิเลสแต่ละแบบ (ซึ่งเป็นปกติของมนุษย์ที่จะมีทุกแบบ) แต่ก็อยู่ที่ว่าเรามีอะไรมากหรือน้อยเกินไปไหม หรือบางอย่างมันแอบอยู่ใต้ซอกฟัน หลังใบหู แนบเนียนซะจนเราไม่ Aware เลยรึเปล่า ซึ่งพอตอนที่เขาค่อย ๆ Introduce แต่ละ ลักษณ์ ทั้ง 9 ลักษณ์ให้ฟัง (พูดคำว่าลักษณ์ที่ไร จั๊กกะจี้ทู้กที) คำถามแรกที่มีอยู่ในหัวคือ เห้ย กูขอเป็นลักษณ์ที่ 18 ได้เปล่าวะ เท่ดี (หยอก ๆ)

.

.

กลับเข้าเรื่อง… ผมว่าไอเดียการแบ่งลักษณ์ของ Enneagram เขาก็ถูกที่ถูกทางอยู่นะ เพราะมันเริ่มอธิบายจาก โลกทัศน์ (การมองโลก) ก่อน ซึ่งความสนุกคือแต่ละโลกทัศน์มันคือ “ความจริง” ทั้งนั้น (เราฟังความคิดของทุกลักษณ์ ก็คือพยักหน้ามันทุกลักษณ์) Point คือ สุดท้ายมันแค่ใครจะไปยึดมุมมองไหน หรือชุดความจริงแบบไหนเป็นพิเศษ มันก็จะเห็นสิ่งนั้นบ่อย เหมือนคน 3 คนที่เดินบนทางเท้าเดียวกัน คนนึงอาจจะเห็นทางเท้าไม่เรียบและความเหลื่อมล้ำ อีกคนมองเห็นความอันตราย และคนเดินผ่านไปมาที่ไม่น่าไว้ใจ ส่วนอีกคนมองเห็นร้านเด็ดข้างทาง เต็มไปอะไรที่ยังไม่เคยกิน ถามว่าอันไหนคือ “ความจริง” มันก็จริงทั้ง 3 อันนั่นแหละเพื่อน แค่เราโฟกัสที่อะไรก็จะเห็นสิ่งนั้นบ่อย (และพลาดที่จะมองเห็นสิ่งอื่นบ่อยเช่นกัน)

.

.

ผมว่าไปเริ่มที่โลกทัศน์ของแต่ละลักษณ์มันเป็น Starting point ที่โออยู่นะ เพราะมัน Specific กำลังดี และอยู่ใน Level ที่ลึกพอแต่ก็ยังอธิบายได้เข้าใจ ทีนี้พอแต่ละคน แต่ละลักษณ์ มีโลกทัศน์ที่อาจจะเหมือนหรือต่างกันแล้ว มันก็จะค่อย ๆ Develop ตัวตน หรือนิสัยและพฤติกรรมแปลก ๆ Something ขึ้นมาด้วย ใน Workshop นี้เราจะได้เห็นความประหลาดของคนอื่น ๆ ที่เข้าร่วม Workshop ไปพร้อมกับเรา แบบที่ต้องอุทาน (ในใจ) ว่า… เห้ย มันมีคนแบบนี้ด้วยเหรอ คือมันอารมณ์เหมือนมาดูสัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่ ในทุ่งซาวันนา ซึ่งตูก็คงเป็นสัตว์หน้าแปลก ๆ อีกตัวในนั้นเช่นกัน

.

อีกอย่างที่ผมชอบคือ อาจารย์พยายามย้ำว่า การแบ่งลักษณ์ มันเป็นแค่ Map เป็นแค่การสมมติขึ้นมาเฉย ๆ ที่ไม่ใช่ของจริง แต่ถึงแม้จะไม่จริง ก็มีประโยชน์ฉุด ๆ เพราะการเกลี่ยคนลง Bucket เบื้องต้น อย่างน้อยมันคล้ายกับการทำ Classification ใน Machine Learning เพื่อจะช่วย Guide เฉย ๆ ว่า เห้ย คนประเภทนี้ ลักษณ์นี้ มักจะมี Pitfall (หรือกิเลส) ประมาณนี้นะ ซึ่งในชีวิตจริง เราก็มีกิเลส มีความป่วย ความเพี้ยน ความดี ความโอ มันทุกแบบนั่นแหละ เพราะ Factor มันเยอะ แต่อันนี้มันกึ่ง ๆ พยายามช่วย Personalize ให้เราเฉย ๆ ส่วนคุณจะมีมากมีน้อย มีเรื่องนั้น ไม่มีเรื่องนี้ ก็ไปคุยกับตัวเองดู จบนะ พอฟังปุ๊บก็ อุ้ย (อุทานเป็นเสียงพี่หนุ่ม กรรชัย)

.

.

ความเด็ดสุดคือช่วง Panel ที่เขาจะค่อย ๆ ให้คนแต่ละ Type มานั่งอยู่ในรายการเจาะใจ ขึ้นเขียง นั่งหน้าเวที พร้อมกับได้มีโอกาสเล่า + Work ให้เราดูสด ๆ ซึ่งพอพูดงี้ สำหรับบางคนอาจจะฟังดูน่ากลัว จริง ๆ ไม่น่ากลัวนะครับ อาจารย์ทุกท่านน่ารัก และนั่งฟังกันนิ่ง ๆ (ซะจนดูเหมือนแอบหลับ) โดยเฉพาะอาจารย์ธนา ซึ่งหลับตาฟัง ดูคล้ายปรมาจารย์โยดาก็มิปาน แต่ละคำถามที่ออกมาก็มีศิลปะมาก ๆ คือมันเป็นคำถามที่ทั้ง Respectful แต่ก็ Educational ในเวลาเดียวกัน คือพอเราได้เห็นทีมลักษณ์ 1, 2, 3 ไล่ไปเรื่อย ๆ เล่าเรื่องในมุมเขาให้ฟัง คือมันเห็น Pattern ที่ต่างกันเลย และที่สำคัญ Pattern นั้นมันจริงขึ้นมามากในใจเรา เพราะ แต่ละลักษณ์ มันคือ “คน” ที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ไม่ใช่ Fictional Character หรือ ตัวละครต่างคลาสต่างอาชีพในเกมออนไลน์เฉย ๆ ระหว่างฟังก็ต้องพยายามสำรวจตัวเองไปด้วย ว่าเรื่องอะไรมันมากระทบใจเรา มี Body Sensation อะไรเกิดขึ้นบ้างในช่วงไหน และอื่น ๆ คือมันอย่างที่อาจารย์พูดเลยตอนจบคลาสว่า คลาสนี้อาจจะช่วยให้คุณ Realize ว่า ที่ผ่านมา พวกเราอาจจะฟังคนอื่น (และตัวเอง) น้อยไปนะจ๊ะ

.

จริง ๆ มีอีกค่อนข้างเยอะที่รู้สึกกำลังตกตระกอนอยู่ จึงขออนุญาตแปะโน้ตไว้ก่อนเผื่อเดี๋ยวหาเวลามาเล่าต่อ เช่น เรื่องศูนย์ Gut, Heart, Head ซึ่งช่วยอธิบายว่า Drive แต่ละคนมันมาจากคนละที่ ซึ่งผมว่ามัน Amazing มาก อารมณ์แบบ เห้ย! มันจะบังเอิญไปเชื่อมกับคำอธิบายของสมองส่วนหน้า ส่วนกลาง ส่วนหลังได้ขนาดนี้เลยเรอะ! บร๊ะ! ส่วน Part ที่ผมต้องกลับไป Work เยอะ ๆ คือฝึกที่จะอยู่กับ “ความรู้สึก” หรือความกลัวให้มากขึ้น ซึ่งบางที เพราะความรู้สึกเหล่านี้ Uncomfortable ต่อตัวเรามาก ๆ ทำให้เราชอบ “Cheat” มันโดยอัตโนมัติ ด้วยกระบวนท่าต่าง ๆ ที่ทั้งแนบเนียน และอธิบายได้ยาก (เพราะตูไม่มีความรู้ 555) อีกอย่างที่ได้กลับมามาก ๆ คือ “Get” พ่อ แม่ พี่ แฟน คนรอบข้างมากขึ้นจริง ๆ ว่า การสื่อสาร, Conflict มันมาจากไหน หรือความต้องการคืออะไร ผมจะได้สนองได้ถูก…เพราะผม…ลักษณ์คุณนะ 555

.

.

เอาเป็นว่าพูดขนาดนี้ก็ไปลองดูเหอะเพื่อน ๆ แต่ต้องคอย Stalk อาจารย์เขาเรื่อย ๆ นะ เพราะไม่ค่อยรู้ล่วงหน้าว่าจะเปิดเมื่อไร (คล้ายสมาคมลับ) และคอร์สเต็มเร็วมาก!

.

ขอให้ทุกคนโชคดี!

--

--

Kamin Phakdurong
Product Mixtape

Co-founder at LOOK ALIVE Studio (MIT based Startup) and a band member of The Dai Dai (Genie Records)