ORCHHA — เงียบสงบในวันที่โลกเร่งร้อน
“เธอเคยไปเมือง Orchha ยัง สวยมากเลยนะ ฉันกำลังไปพรุ่งนี้” – ประโยคที่เพื่อนร่วมเกสต์เฮ้าส์ชาวจีนวัยกลางคนเอ่ยขึ้นมาในวงสนทนาอาหารเย็นที่เต็มไปด้วยแกงถั่วเผ็ดๆ โรตี และลาซซี่แบบโฮมเมด
.
“ออคค่าหรอ? คือที่ไหนน่ะ ไม่เคยได้ยินมาก่อน” เราถามกลับไป เพราะเมืองนี้ไม่เคยอยู่ในสารบบแผนที่ท่องเที่ยวของเราเลย เพราะเคยได้ยินแค่ Jaipur Jodhpur Agra และ Delhi ตามที่ได้ยินมาจากรีวิวท่องเที่ยวที่นิยมเท่านั้น
.
“Orchha ต่างหากล่ะ อยู่ไม่ไกลจาก Agra นะ สวยมากเลยนะ” เราถามวิธีการสะกดชื่อเมืองอีกที แล้วกดเสิร์ชกูเกิ้ล รูปที่ปรากฎออกมา ทำให้เราเลือกที่นี่เป็นจุดหมายถัดไปต่อจาก Agra เมืองแห่งทัชมาฮาลอย่างไม่ลังเล
Orchha เมืองเล็กๆในอินเดีย กลายเป็นจุดหมายระหว่างทางที่ไม่คาดคิด มีบ่อยครั้งแค่รูปเพียงไม่กี่รูปก็เพียงพอแล้วที่จะลากคนบางคนจากสถานที่หนึ่งมาอีกสถานที่หนึ่ง พอมาถึงก็รู้สึกว่าสวยจริงด้วย ถ้าให้เปรียบเทียบง่ายๆก็เหมือนกับ”ปาย” ล่ะมั้ง — “ปาย” ช่วงก่อนที่จะมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวกันขวักไขว่ ความสวยตามธรรมชาติ ชาวบ้านเป็นมิตร และยังไม่ถูกปรุงแต่งมากเหมือน Jaipur หรือเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ถ้ามีโอกาสได้ไปอินเดียล่ะก็ เราก็อยากแนะนำว่าควรมาเที่ยวเมืองนี้ก่อนที่จะกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวในเร็ววัน
ตารางเที่ยวที่ปุ๋ยไปอินเดียทั้งหมด30 วัน (ไปวันที่ 9 พ.ย. — 9 ธ.ค. 62) ถึงแม้จะเป็นจุดแวะระหว่างทาง แต่เราใช้ชีวิตในเมืองนี้ไปถึง 3 วัน เพื่อนตุรกีเราถึงกับออกปากว่าเค้าชอบเมืองนี้มากกกก
รูปภาพทั้งหมดใช้กล้อง Sony A7iii เลนส์ 24–70 f2.8 ทุกรูปแต่งด้วย Lightroom อีกทีค่ะ
วิธีการเดินทาง :
นั่งรถจาก Agra — Jhansi — Orccha โดยไปขึ้นรถที่ Idgah Bus Stand เค้าบอกว่ารถมีแค่วันละรอบเท่านั้น เราขึ้นรอบเที่ยงวัน** เมื่อนั่งไปถึง Jhansi จะมีรถต่อไปยัง Orchha ค่ะ
.
ค่ารถ Agra-Jhansi คนละ 232 รูปี — ระยะเดินทางตาม Google Maps คือ 4 ชม. 30 นาที เราขึ้นรอบ 12.30 ดังนั้นต้องถึงเวลา 17.00 น. แต่เราไปถึง Jhansi คือเวลา 19.00 น. ค่ะ ใช่ค่ะ รถบัสอินเดียมีมาตรฐานเดียวกับรถไฟ ต๊ะต่อนยอนมาก ดิฉันนั่งรถอั้นห้องน้ำเป็นเวลาทั้งหมด 7 ชั่วโมง ด้วยเหตุผลที่คุณรู้ว่าทำไม แต่ #ปุ๋ยต้องรอด จ้ะ
.
หลังจากที่ถึง Jhansi ตอนทุ่มนึงแล้ว รถที่จะไป Orchha ยังไม่ออก ต้องรอจนกว่ารถจะเต็ม เรานั่งรอกันเกือบ 2 ชั่วโมง สุดท้ายกลัวดึกเลยยอมนั่งตุ๊กๆ มาถึงโรงแรม Hotel Sunset และจ่ายไป 270 รูปี
.
**อนึ่ง เรื่องของรอบรถ เวลาไปถามช่องขายตั๋ว บางทีจะบอกว่ามีรอบเดียวหรือมีเวลาที่ต้องรอไปอีก 2–3 ชั่วโมง แนะนำให้ถามคนขับรถและทุกคนที่อยู่แถวนั้นอย่างน้อย 5 คน เพราะบางทีก็มีรอบรถที่ไปได้เลย จะได้ไม่ต้องรอนะคะ
โรงแรม Hotel Sunset เป็นโฮสเตลที่เปิดบ้านให้นักท่องเที่ยวมาอยู่ เป็นกิจการครอบครัวที่น่ารักมากค่ะ อาจจะไม่ได้สวยหรู เพราะเป็นแค่ตึกแถวเท่านั้น แต่เราชอบน้องผู้ชายที่เป็นลูกเจ้าของที่พักมาก น้องอยากผลักดันให้กิจการที่บ้านดียิ่งๆขึ้นไป ความมุ่งมั่นน้องมาเต็มเปี่ยม อาหารโฮมเมดคือโฮมเมดจริงๆค่ะคุณ เป็นอาหารท้องถิ่นที่อร่อย การได้มาพักในบ้านคนท้องถิ่นจริงๆทำให้เราได้ใกล้ชิดและเรียนรู้ชีวิตคนที่นี่ได้มากขึ้น
(เหมือนถ่ายภาพในบ้านมาด้วยนะ แต่ไม่รู้อยู่ไหน ไว้หาเจอจะเอามาใส่เพิ่มนะคะ)
Baobub Tree — ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์แห่ง Orchha
ระหว่างที่เดินสำรวจรอบๆ เราเห็นคณะหญิงอินเดียกำลังเดินมุ่งไปซักที่ใดที่หนึ่ง เราเลยเดินตามเค้าไปจนเห็นต้นไม้ยักษ์ตั้งตระหง่าน ต้นเบาบับต้นนี้มีอายุมากถึง 500 ปี ในทางชีววิทยาแล้ว ต้นเบาบับเป็นต้นไม้ที่มีอายุยืนที่สุดในโลก บางต้นสามารถอยู่นานได้ถึง 1,000–3,000 ปีเลยทีเดียว มาลองคิดๆดูแล้ว ต้นเบาบับต้นนี้อาจจะเพิ่งเดินทางมายังวัยรุ่น และยังจะคงอยู่ต่อไปอีกหลายร้อยปี ถ้าไม่ถูกโค่นไปซะก่อน ธรรมชาติน่าทึ่งมากเลยเนอะ
สิ่งนึงที่เราสังเกตุตลอดการเดินทางคือ ผู้ชายที่นี่จะสนิทกันมากๆ อาจจะเพราะไม่ได้ทุกคนที่มีมือถือ ยิ่งเป็นเทคโนโลยีแพงๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย เมื่อไม่ต้องเล่นมือถือ สิ่งที่ทำให้หายเหงาก็คือปฏิสัมพันธ์กับคนด้วยกัน ทำให้พวกเค้ามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมากๆ เดินตามถนนเห็นวัยรุ่นชายที่เป็นเพื่อนกัน เดินจับมือกันยังมีถมไป
Lakshmi Narayan Temple
ในขณะที่เท้ากำลังจะเหยียบย่างเข้าไปในประตูวิหาร เราก็รู้ตัวว่าพลาดแล้ว เพราะยาม(ที่นอนแผ่อยู่หน้าประตูและดูไม่เหมือนยามซักเท่าไหร่) ได้ตะโกนบอกกล่าวกับพวกเราว่า ถ้าอยากจะเข้าไปชมด้านในวิหาร จะต้องซื้อตั๋วจากอีกที่นึงในตัวเมืองก่อน
.
ป้าดติโถ อิฉันขอความรักความเมตตา จากวิหารนี้เดินกลับไปซื้อในตัวเมืองนี่มันไกลมากเลยนะยู เพื่อนตุรกีนักเจรจาเลยทำการต่อรองทันที สุดท้ายจำไม่ได้ว่าเราได้จ่ายค่าผ่านทางให้คุณยามหรือไม่ แต่คิดว่าน่าจะจ่ายไปเล็กน้อย และคุณยามก็นอนต่อ ให้เราเข้าไปชมข้างในได้
วิหารด้านในมักจะมีชาวบ้านมาสักการะเป็นระยะ เพราะวิหารแห่งนี้เป็นที่สถิตย์ของเทพธิดาแห่งความมั่งคั่งร่ำรวย
Simply is beauty.
ระหว่างที่กำลังเดินทางกลับ สายตาเราหันไปเห็นเด็กผู้หญิงคนนึง เธอถือดอกกุหลาบกระโดดกลับบ้านอย่างร่าเริง กางเกงสีแดงของเธอเข้าคู่กับสีแดงของกุหลาบ รอยยิ้มของเธอสว่างสดใสเข้ากับเสื้อสีเหลือง จนเราอดไม่ได้ที่จะเข้าไปขอถ่ายรูป
.
น้องดูเขินๆ แต่ก็ยินยอมให้เราถ่ายแต่โดยดี เราว่าน้องเค้าสวยนะ แบบมองแล้วอยากมองอีก จนถึงวันนี้ รูปนี่ยังเป็น 1 ในรูปที่เราชอบจาก Orchha
อย่างที่รู้กันว่าข้าวของในอินเดียถูกมากๆ จนคนอินเดียมักโก่งราคา อารมณ์เดียวกับแท๊กซี่บ้านเรา เพราะคิดว่ายังไง นทท. ก็มีเงินจ่ายแถมยังมาแล้วก็ไป
.
ร้านนี้ก็เช่นกัน เราอยากลองกินดู เลยถามว่าราคาเท่าไหร่ จำไม่ได้ว่าเค้าบอกว่า 20 รูปีหรือ 50 รูปีนี่แหละ เราก็คิดๆ อ่ะ ไม่แพง เอามาชิ้นนึงนะลุง ลุงก็ทำๆ แต่เอ๊ะ ตอนกำลังจะจ่ายเงิน มีคนอินเดียอีกคนมาซื้อ 1 ชิ้นเหมือนกัน แล้วจ่ายถูกกว่าเราครึ่งนึง เพื่อนตุรกีเราสังเกตุเห็น เลยบอกว่ามันราคาแค่นี้เองนี่นา และยื่นเงินเท่ากับที่ลูกค้าอินเดียยื่นไปก่อนหน้าให้ไป ลุงยิ้มๆ ….. จ้ะ :)
.
สำหรับใครที่สงสัยรสชาติอันนี้นะคะ มันเป็นเหมือนถั่วผัดราดซอสเผ็ดๆหวานๆอ่ะ อร่อยนะ พิกัดหน้า Ram Raja temple ค่ะ
Chaturbhuj Temple
ในกาลก่อน พระนาง Ganeshi bai ได้ตามติดพระสวามีเพื่อทำการจาริกแสวงบุญที่เมืองอโยธยา พระสวามีเป็นสาวกของพระกฤษณะ และพระนางเป็นสาวิกาของพระราม เมื่อไปถึงเมืองอโยธยา พระนางได้ตัดสินใจที่จะบำเพ็ญเพียรริมแม่น้ำ การบำเพ็ญของพระนางมีทั้งการสวดภาวนาและอดอาหาร แต่ไม่ว่าจะผ่านไปซักกี่วัน พระราม เทพเจ้าที่พระนางเคารพนับถือก็หาได้ปรากฎกายไม่ ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ พระนางจึงคิดจะกระโดดลงน้ำให้รู้แล้วรู้รอด เมื่อนั้นเด็กน้อยที่เป็นร่างแปลงของพระรามจึงปรากฎตัวขึ้น
พระนางได้ขอร้องให้พระรามกลับไป Orchha กับพระองค์ด้วย พระรามตกลงพร้อมข้อเรียกร้อง 2 ประการ (เวลาอ่านตำนานพวกนี้นะ รู้สึกว่าเหล่าเทพๆนี่มีข้อเรียกร้องทุกครั้งเลย เริ่มไม่แปลกใจทำไมคนอินเดียต่อรองเก่งละ) อ่ะ กลับมาต่อ ข้อแรกคือ เมื่อพระรามไปถึง Orchha แล้ว ถ้าพระองค์นั่งลงครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใดก็ตาม ที่แห่งนั้นจะเป็นบ้านของพระองค์ และข้อ 2 พระรามจักต้องเป็นราชาเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าด้วยความยินดีหาใดเปรียบ ไม่ว่าจะอะไร พระนาง Ganeshi bai ก็ยอมตกลง
ระหว่างที่เดินทางกลับ พระนางได้สั่งให้คนรีบสร้างปราสาทใหญ่ยักษ์สำหรับพระรามโดยเฉพาะ แต่เนื่องจากสิ่งก่อสร้างใดๆล้วนใช้เวลา ไม่ใช่ว่าจะชี้นิ้วปลุกเสกขึ้นมาได้ เหมือนกรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว พระนางเลยบอกกับพระรามว่างั้นมาประทับที่วังของพระนางก่อนแล้วกัน
เมื่อพระราชวังที่สร้างสูงถึง 350 ฟุตได้ก่อสร้างเสร็จเป็นที่เรียบร้อย พระนางก็ได้อัญเชิญพระรามไปประทับที่วังใหม่ แต่พระรามบอกว่า อ๊ะๆๆ จำได้มั้ยว่าที่ไหนที่ฉันนั่งครั้งแรก ที่นั้นคือบ้านของฉัน พระนางถึงได้ตระหนักได้ว่าพลาดไปและต้องระเห็จตัวเองออกจากวังของตัวเองด้วยความเร่งรีบ และตามมาด้วยเงื่อนไขข้อที่ 2 ที่ว่าพระรามจักเป็นกษัตริย์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ทำให้พระสวามีของพระนาง Ganeshi bai ซึ่งเป็นกษัตริย์เดิมต้องย้ายตัวเองออกจากเมือง Orchha แล้วไปสร้างเมืองใหม่ของตัวเอง
.
ส่วนวัดที่พระนาง Ganeshi bai ได้สร้างขึ้นแต่พระรามไม่เคยเข้าไปอยู่ ก็กลายเป็นวัดของพระวิษณุ ที่ชื่อว่า Chaturbhuj Temple ค่ะ
.
ตำนานของวัด ปุ๋ยแปลบทความจากลิงค์นี้นะคะ https://rediscoveryproject.com/2017/04/09/orchha-guide/
Orchha Sanctuary — วิหารออคช่า
ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ Betwa
รอบๆวิหารมีนกเหยี่ยวรึป่าว ไม่แน่ใจ เยอะอยู่เหมือนกันค่ะ ตัวใหญ่มากๆๆๆๆๆๆๆ
แนะนำให้เดินข้ามสะพานมาฝั่งตรงข้าม จะได้เห็นภาพวิวของแม่น้ำไหลผ่านวิหาร
Betwa river แม่น้ำแห่งจิตวิญญาณใจกลางเมือง
ชาวบ้านจะมาพักผ่อนและชำระร่างกายที่นี่ เหมือนที่ชาวเมืองพาราณสีไปชำระร่างกายที่แม่น้ำคงคา
ร่วมงานแต่งคนอินเดีย — Check list done!
ก่อนมาอินเดีย แอบมีความตั้งใจไว้ว่าอยากไปดูงานแต่งคนอินเดียจังเลย เพราะได้ข่าวว่าอลังการดาวล้านดวงสุดๆ เราเลยเก็บเป็น Bucket list ในใจตลอด
ระหว่างทางที่เดินกลับไปที่พัก เราได้ยินเสียงขบวนแตรมาแต่ไกล หันไปเห็นแล้วแทบกรี๊ด เค้ากำลังแห่เจ้าสาวมาค่ะ นี่คือตื่นเต้นมาก อยากไปถ่ายรูปมาก แต่เกรงใจมากๆเหมือนกัน หันไปหาเพื่อนตุรกีอีกที คุณเค้าแหวกฝ่ามวลชนเข้าไปถ่ายรูปในขบวนแล้วค่ะ เฮ้ย ยูๆๆๆ เดี๋ยวๆๆๆ กลับมาก๊อนนนนนน ยูจะเนียนประหนึ่งเป็นแขกถ่ายภาพเค้าแบบโนสนโนแคร์ไม่ด๊ายยยยย
ระหว่างที่ยืนห่างๆยิ้มเขินจังวุ้ย (จริงๆคืออาย) แต่เห็นว่าไม่โดนไล่อะไร เลยค่อยๆเดินไปถ่ายรูปใกล้ๆบ้าง โบราณท่านว่าด้านได้อายอด
หลังจากนั้นก็เดินไปเจออีกงานค่ะ วันนั้นน่าจะเป็นฤกษ์ดี คู่รักอินเดียหลายคู่เลยพากันจัดงานวันนี้
.
เหล่าแขกในงานหันมาเห็นหมวยหน้าตาไม่เหมือนชาวบ้านสนใจงานเค้าก็ยินดีค่ะ มีผู้หญิงอินเดียคนนึงมาจับแขนเรา ทักทาย และลากเข้าไปในห้องให้ถ่ายเจ้าสาวเลย ตอนนั้นคิดในใจโคตรโชคดี เค้าให้เราถ่ายทุกคนเต็มที่ เจ้าสาวสวยมากกกกก แม้จะเป็นงานแต่งแบบท้องถิ่น แต่เค้าเต็มที่กับงานมงคลนี้มาก
.
เจ้าภาพใจดีเลี้ยงข้าวเราอีก จับให้มานั่งโต๊ะและตักกับข้าวให้ ของฟรีก็กินค่ะ ประหยัดไปได้อีกมื้อ ปกติกระเพาะทนทายาด มีครั้งนี้แหละที่วันถัดมาจุ๊ดๆนิดหน่อย สงสัยรสชาติจัดจ้าน
ตอนนี้มีอีกความฝันคืออยากไปดูงานแต่งของคนอินเดียที่รวยๆๆๆซักครั้ง — มีคนบอกว่าบางงานร่ำรวยมากถึงขนาดแห่ช้างและจัดงาน 7 วันติดกันเลยทีเดียวค่ะ มองไปทุกคนใส่ชุดระยิบระยับเป็นทะเลเพชรเลยนาจา
.
และอีกฝันคือ อยากลองใส่ชุดแต่งงานของอินเดียซักครั้ง ฝันยิ่งใหญ่คือใส่ชุดของดีไซน์เนอร์คนนี้ Sabyasachi Mulherjee
Ram Raja temple — พระราชวังของพระราม
และนี่คือพระราชวังเดิมของพระนาง Ganeshi bai แต่เพราะเงื่อนไข เลยต้องยกพระราชวังนี้ให้พระรามไป ใครงๆ ย้อนกลับไปอ่านประวัติก่อนหน้าที่ Chaturbhuj Temple น้า
.
นอกจากนี้ ที่นี่คือวัดฮินดูแห่งเดียวในอินเดียที่พระรามได้รับความเคารพแบบพระราชา (ที่นี่ต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าด้านใน และห้ามถ่ายรูปนะคะ)
บรรยากาศรอบๆเมือง
จริงๆแล้ว แอบเสียดายเพราะอยากไป Khajuraho ต่อ แต่เนื่องจากคำนวนวันเดินทางกลับแล้วน่าจะไม่พอ เราเลยมุ่งหน้าไปพาราณสีแทนค่ะ เจอกันกับภาคต่อไป — Varanasi เมืองที่คุณห้ามพลาดเมื่อเท้าแตะอินเดีย