ORCHHA — เงียบสงบในวันที่โลกเร่งร้อน

Puii is always on the sunny side
puiionsunnyside
Published in
7 min readOct 21, 2020

“เธอเคยไปเมือง Orchha ยัง สวยมากเลยนะ ฉันกำลังไปพรุ่งนี้” – ประโยคที่เพื่อนร่วมเกสต์เฮ้าส์ชาวจีนวัยกลางคนเอ่ยขึ้นมาในวงสนทนาอาหารเย็นที่เต็มไปด้วยแกงถั่วเผ็ดๆ โรตี และลาซซี่แบบโฮมเมด
.
“ออคค่าหรอ? คือที่ไหนน่ะ ไม่เคยได้ยินมาก่อน” เราถามกลับไป เพราะเมืองนี้ไม่เคยอยู่ในสารบบแผนที่ท่องเที่ยวของเราเลย เพราะเคยได้ยินแค่ Jaipur Jodhpur Agra และ Delhi ตามที่ได้ยินมาจากรีวิวท่องเที่ยวที่นิยมเท่านั้น
.
“Orchha ต่างหากล่ะ อยู่ไม่ไกลจาก Agra นะ สวยมากเลยนะ” เราถามวิธีการสะกดชื่อเมืองอีกที แล้วกดเสิร์ชกูเกิ้ล รูปที่ปรากฎออกมา ทำให้เราเลือกที่นี่เป็นจุดหมายถัดไปต่อจาก Agra เมืองแห่งทัชมาฮาลอย่างไม่ลังเล

Orchha เมืองเล็กๆในอินเดีย กลายเป็นจุดหมายระหว่างทางที่ไม่คาดคิด มีบ่อยครั้งแค่รูปเพียงไม่กี่รูปก็เพียงพอแล้วที่จะลากคนบางคนจากสถานที่หนึ่งมาอีกสถานที่หนึ่ง พอมาถึงก็รู้สึกว่าสวยจริงด้วย ถ้าให้เปรียบเทียบง่ายๆก็เหมือนกับ”ปาย” ล่ะมั้ง — “ปาย” ช่วงก่อนที่จะมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวกันขวักไขว่ ความสวยตามธรรมชาติ ชาวบ้านเป็นมิตร และยังไม่ถูกปรุงแต่งมากเหมือน Jaipur หรือเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ถ้ามีโอกาสได้ไปอินเดียล่ะก็ เราก็อยากแนะนำว่าควรมาเที่ยวเมืองนี้ก่อนที่จะกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวในเร็ววัน

ตารางเที่ยวที่ปุ๋ยไปอินเดียทั้งหมด30 วัน (ไปวันที่ 9 พ.ย. — 9 ธ.ค. 62) ถึงแม้จะเป็นจุดแวะระหว่างทาง แต่เราใช้ชีวิตในเมืองนี้ไปถึง 3 วัน เพื่อนตุรกีเราถึงกับออกปากว่าเค้าชอบเมืองนี้มากกกก

รูปภาพทั้งหมดใช้กล้อง Sony A7iii เลนส์ 24–70 f2.8 ทุกรูปแต่งด้วย Lightroom อีกทีค่ะ

เด็กๆหลังเลิกเรียน

วิธีการเดินทาง :

นั่งรถจาก Agra — Jhansi — Orccha โดยไปขึ้นรถที่ Idgah Bus Stand เค้าบอกว่ารถมีแค่วันละรอบเท่านั้น เราขึ้นรอบเที่ยงวัน** เมื่อนั่งไปถึง Jhansi จะมีรถต่อไปยัง Orchha ค่ะ
.
ค่ารถ Agra-Jhansi คนละ 232 รูปี — ระยะเดินทางตาม Google Maps คือ 4 ชม. 30 นาที เราขึ้นรอบ 12.30 ดังนั้นต้องถึงเวลา 17.00 น. แต่เราไปถึง Jhansi คือเวลา 19.00 น. ค่ะ ใช่ค่ะ รถบัสอินเดียมีมาตรฐานเดียวกับรถไฟ ต๊ะต่อนยอนมาก ดิฉันนั่งรถอั้นห้องน้ำเป็นเวลาทั้งหมด 7 ชั่วโมง ด้วยเหตุผลที่คุณรู้ว่าทำไม แต่ #ปุ๋ยต้องรอด จ้ะ
.
หลังจากที่ถึง Jhansi ตอนทุ่มนึงแล้ว รถที่จะไป Orchha ยังไม่ออก ต้องรอจนกว่ารถจะเต็ม เรานั่งรอกันเกือบ 2 ชั่วโมง สุดท้ายกลัวดึกเลยยอมนั่งตุ๊กๆ มาถึงโรงแรม Hotel Sunset และจ่ายไป 270 รูปี
.
**อนึ่ง เรื่องของรอบรถ เวลาไปถามช่องขายตั๋ว บางทีจะบอกว่ามีรอบเดียวหรือมีเวลาที่ต้องรอไปอีก 2–3 ชั่วโมง แนะนำให้ถามคนขับรถและทุกคนที่อยู่แถวนั้นอย่างน้อย 5 คน เพราะบางทีก็มีรอบรถที่ไปได้เลย จะได้ไม่ต้องรอนะคะ

วิวจากที่พักมองเห็น Chaturbhuj Temple และ Ram Raja temple

โรงแรม Hotel Sunset เป็นโฮสเตลที่เปิดบ้านให้นักท่องเที่ยวมาอยู่ เป็นกิจการครอบครัวที่น่ารักมากค่ะ อาจจะไม่ได้สวยหรู เพราะเป็นแค่ตึกแถวเท่านั้น แต่เราชอบน้องผู้ชายที่เป็นลูกเจ้าของที่พักมาก น้องอยากผลักดันให้กิจการที่บ้านดียิ่งๆขึ้นไป ความมุ่งมั่นน้องมาเต็มเปี่ยม อาหารโฮมเมดคือโฮมเมดจริงๆค่ะคุณ เป็นอาหารท้องถิ่นที่อร่อย การได้มาพักในบ้านคนท้องถิ่นจริงๆทำให้เราได้ใกล้ชิดและเรียนรู้ชีวิตคนที่นี่ได้มากขึ้น

(เหมือนถ่ายภาพในบ้านมาด้วยนะ แต่ไม่รู้อยู่ไหน ไว้หาเจอจะเอามาใส่เพิ่มนะคะ)

Baobub Tree — ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์แห่ง Orchha

ระหว่างที่เดินสำรวจรอบๆ เราเห็นคณะหญิงอินเดียกำลังเดินมุ่งไปซักที่ใดที่หนึ่ง เราเลยเดินตามเค้าไปจนเห็นต้นไม้ยักษ์ตั้งตระหง่าน ต้นเบาบับต้นนี้มีอายุมากถึง 500 ปี ในทางชีววิทยาแล้ว ต้นเบาบับเป็นต้นไม้ที่มีอายุยืนที่สุดในโลก บางต้นสามารถอยู่นานได้ถึง 1,000–3,000 ปีเลยทีเดียว มาลองคิดๆดูแล้ว ต้นเบาบับต้นนี้อาจจะเพิ่งเดินทางมายังวัยรุ่น และยังจะคงอยู่ต่อไปอีกหลายร้อยปี ถ้าไม่ถูกโค่นไปซะก่อน ธรรมชาติน่าทึ่งมากเลยเนอะ

Orchha Sanctuary
มิตรภาพของเด็กหนุ่ม

สิ่งนึงที่เราสังเกตุตลอดการเดินทางคือ ผู้ชายที่นี่จะสนิทกันมากๆ อาจจะเพราะไม่ได้ทุกคนที่มีมือถือ ยิ่งเป็นเทคโนโลยีแพงๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย เมื่อไม่ต้องเล่นมือถือ สิ่งที่ทำให้หายเหงาก็คือปฏิสัมพันธ์กับคนด้วยกัน ทำให้พวกเค้ามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมากๆ เดินตามถนนเห็นวัยรุ่นชายที่เป็นเพื่อนกัน เดินจับมือกันยังมีถมไป

ปั๊มน้ำบาดาลและน้องผู้ชายแย่งซีนด้วยการนุ่งฟ้าห่มฟ้า

Lakshmi Narayan Temple

ในขณะที่เท้ากำลังจะเหยียบย่างเข้าไปในประตูวิหาร เราก็รู้ตัวว่าพลาดแล้ว เพราะยาม(ที่นอนแผ่อยู่หน้าประตูและดูไม่เหมือนยามซักเท่าไหร่) ได้ตะโกนบอกกล่าวกับพวกเราว่า ถ้าอยากจะเข้าไปชมด้านในวิหาร จะต้องซื้อตั๋วจากอีกที่นึงในตัวเมืองก่อน
.
ป้าดติโถ อิฉันขอความรักความเมตตา จากวิหารนี้เดินกลับไปซื้อในตัวเมืองนี่มันไกลมากเลยนะยู เพื่อนตุรกีนักเจรจาเลยทำการต่อรองทันที สุดท้ายจำไม่ได้ว่าเราได้จ่ายค่าผ่านทางให้คุณยามหรือไม่ แต่คิดว่าน่าจะจ่ายไปเล็กน้อย และคุณยามก็นอนต่อ ให้เราเข้าไปชมข้างในได้

วิหารด้านในมักจะมีชาวบ้านมาสักการะเป็นระยะ เพราะวิหารแห่งนี้เป็นที่สถิตย์ของเทพธิดาแห่งความมั่งคั่งร่ำรวย

Simply is beauty.

ระหว่างที่กำลังเดินทางกลับ สายตาเราหันไปเห็นเด็กผู้หญิงคนนึง เธอถือดอกกุหลาบกระโดดกลับบ้านอย่างร่าเริง กางเกงสีแดงของเธอเข้าคู่กับสีแดงของกุหลาบ รอยยิ้มของเธอสว่างสดใสเข้ากับเสื้อสีเหลือง จนเราอดไม่ได้ที่จะเข้าไปขอถ่ายรูป
.
น้องดูเขินๆ แต่ก็ยินยอมให้เราถ่ายแต่โดยดี เราว่าน้องเค้าสวยนะ แบบมองแล้วอยากมองอีก จนถึงวันนี้ รูปนี่ยังเป็น 1 ในรูปที่เราชอบจาก Orchha

อย่างที่รู้กันว่าข้าวของในอินเดียถูกมากๆ จนคนอินเดียมักโก่งราคา อารมณ์เดียวกับแท๊กซี่บ้านเรา เพราะคิดว่ายังไง นทท. ก็มีเงินจ่ายแถมยังมาแล้วก็ไป
.
ร้านนี้ก็เช่นกัน เราอยากลองกินดู เลยถามว่าราคาเท่าไหร่ จำไม่ได้ว่าเค้าบอกว่า 20 รูปีหรือ 50 รูปีนี่แหละ เราก็คิดๆ อ่ะ ไม่แพง เอามาชิ้นนึงนะลุง ลุงก็ทำๆ แต่เอ๊ะ ตอนกำลังจะจ่ายเงิน มีคนอินเดียอีกคนมาซื้อ 1 ชิ้นเหมือนกัน แล้วจ่ายถูกกว่าเราครึ่งนึง เพื่อนตุรกีเราสังเกตุเห็น เลยบอกว่ามันราคาแค่นี้เองนี่นา และยื่นเงินเท่ากับที่ลูกค้าอินเดียยื่นไปก่อนหน้าให้ไป ลุงยิ้มๆ ….. จ้ะ :)
.
สำหรับใครที่สงสัยรสชาติอันนี้นะคะ มันเป็นเหมือนถั่วผัดราดซอสเผ็ดๆหวานๆอ่ะ อร่อยนะ พิกัดหน้า Ram Raja temple ค่ะ

Chaturbhuj Temple

ในกาลก่อน พระนาง Ganeshi bai ได้ตามติดพระสวามีเพื่อทำการจาริกแสวงบุญที่เมืองอโยธยา พระสวามีเป็นสาวกของพระกฤษณะ และพระนางเป็นสาวิกาของพระราม เมื่อไปถึงเมืองอโยธยา พระนางได้ตัดสินใจที่จะบำเพ็ญเพียรริมแม่น้ำ การบำเพ็ญของพระนางมีทั้งการสวดภาวนาและอดอาหาร แต่ไม่ว่าจะผ่านไปซักกี่วัน พระราม เทพเจ้าที่พระนางเคารพนับถือก็หาได้ปรากฎกายไม่ ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ พระนางจึงคิดจะกระโดดลงน้ำให้รู้แล้วรู้รอด เมื่อนั้นเด็กน้อยที่เป็นร่างแปลงของพระรามจึงปรากฎตัวขึ้น

พระนางได้ขอร้องให้พระรามกลับไป Orchha กับพระองค์ด้วย พระรามตกลงพร้อมข้อเรียกร้อง 2 ประการ (เวลาอ่านตำนานพวกนี้นะ รู้สึกว่าเหล่าเทพๆนี่มีข้อเรียกร้องทุกครั้งเลย เริ่มไม่แปลกใจทำไมคนอินเดียต่อรองเก่งละ) อ่ะ กลับมาต่อ ข้อแรกคือ เมื่อพระรามไปถึง Orchha แล้ว ถ้าพระองค์นั่งลงครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใดก็ตาม ที่แห่งนั้นจะเป็นบ้านของพระองค์ และข้อ 2 พระรามจักต้องเป็นราชาเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าด้วยความยินดีหาใดเปรียบ ไม่ว่าจะอะไร พระนาง Ganeshi bai ก็ยอมตกลง

ระหว่างที่เดินทางกลับ พระนางได้สั่งให้คนรีบสร้างปราสาทใหญ่ยักษ์สำหรับพระรามโดยเฉพาะ แต่เนื่องจากสิ่งก่อสร้างใดๆล้วนใช้เวลา ไม่ใช่ว่าจะชี้นิ้วปลุกเสกขึ้นมาได้ เหมือนกรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว พระนางเลยบอกกับพระรามว่างั้นมาประทับที่วังของพระนางก่อนแล้วกัน

เมื่อพระราชวังที่สร้างสูงถึง 350 ฟุตได้ก่อสร้างเสร็จเป็นที่เรียบร้อย พระนางก็ได้อัญเชิญพระรามไปประทับที่วังใหม่ แต่พระรามบอกว่า อ๊ะๆๆ จำได้มั้ยว่าที่ไหนที่ฉันนั่งครั้งแรก ที่นั้นคือบ้านของฉัน พระนางถึงได้ตระหนักได้ว่าพลาดไปและต้องระเห็จตัวเองออกจากวังของตัวเองด้วยความเร่งรีบ และตามมาด้วยเงื่อนไขข้อที่ 2 ที่ว่าพระรามจักเป็นกษัตริย์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ทำให้พระสวามีของพระนาง Ganeshi bai ซึ่งเป็นกษัตริย์เดิมต้องย้ายตัวเองออกจากเมือง Orchha แล้วไปสร้างเมืองใหม่ของตัวเอง
.
ส่วนวัดที่พระนาง Ganeshi bai ได้สร้างขึ้นแต่พระรามไม่เคยเข้าไปอยู่ ก็กลายเป็นวัดของพระวิษณุ ที่ชื่อว่า Chaturbhuj Temple ค่ะ
.
ตำนานของวัด ปุ๋ยแปลบทความจากลิงค์นี้นะคะ https://rediscoveryproject.com/2017/04/09/orchha-guide/

Orchha Sanctuary — วิหารออคช่า

ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ Betwa
รอบๆวิหารมีนกเหยี่ยวรึป่าว ไม่แน่ใจ เยอะอยู่เหมือนกันค่ะ ตัวใหญ่มากๆๆๆๆๆๆๆ

แนะนำให้เดินข้ามสะพานมาฝั่งตรงข้าม จะได้เห็นภาพวิวของแม่น้ำไหลผ่านวิหาร

Betwa river แม่น้ำแห่งจิตวิญญาณใจกลางเมือง

ชาวบ้านจะมาพักผ่อนและชำระร่างกายที่นี่ เหมือนที่ชาวเมืองพาราณสีไปชำระร่างกายที่แม่น้ำคงคา

นักท่องเที่ยวนั่งเรือ speed boat ตามแม่น้ำเพื่อชมเมือง แลดูเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจเหมือนกัน

ร่วมงานแต่งคนอินเดีย — Check list done!

ก่อนมาอินเดีย แอบมีความตั้งใจไว้ว่าอยากไปดูงานแต่งคนอินเดียจังเลย เพราะได้ข่าวว่าอลังการดาวล้านดวงสุดๆ เราเลยเก็บเป็น Bucket list ในใจตลอด

ระหว่างทางที่เดินกลับไปที่พัก เราได้ยินเสียงขบวนแตรมาแต่ไกล หันไปเห็นแล้วแทบกรี๊ด เค้ากำลังแห่เจ้าสาวมาค่ะ นี่คือตื่นเต้นมาก อยากไปถ่ายรูปมาก แต่เกรงใจมากๆเหมือนกัน หันไปหาเพื่อนตุรกีอีกที คุณเค้าแหวกฝ่ามวลชนเข้าไปถ่ายรูปในขบวนแล้วค่ะ เฮ้ย ยูๆๆๆ เดี๋ยวๆๆๆ กลับมาก๊อนนนนนน ยูจะเนียนประหนึ่งเป็นแขกถ่ายภาพเค้าแบบโนสนโนแคร์ไม่ด๊ายยยยย

เจ้าสาวยิ้มให้เราด้วย ❤

ระหว่างที่ยืนห่างๆยิ้มเขินจังวุ้ย (จริงๆคืออาย) แต่เห็นว่าไม่โดนไล่อะไร เลยค่อยๆเดินไปถ่ายรูปใกล้ๆบ้าง โบราณท่านว่าด้านได้อายอด

หลังจากนั้นก็เดินไปเจออีกงานค่ะ วันนั้นน่าจะเป็นฤกษ์ดี คู่รักอินเดียหลายคู่เลยพากันจัดงานวันนี้
.
เหล่าแขกในงานหันมาเห็นหมวยหน้าตาไม่เหมือนชาวบ้านสนใจงานเค้าก็ยินดีค่ะ มีผู้หญิงอินเดียคนนึงมาจับแขนเรา ทักทาย และลากเข้าไปในห้องให้ถ่ายเจ้าสาวเลย ตอนนั้นคิดในใจโคตรโชคดี เค้าให้เราถ่ายทุกคนเต็มที่ เจ้าสาวสวยมากกกกก แม้จะเป็นงานแต่งแบบท้องถิ่น แต่เค้าเต็มที่กับงานมงคลนี้มาก
.
เจ้าภาพใจดีเลี้ยงข้าวเราอีก จับให้มานั่งโต๊ะและตักกับข้าวให้ ของฟรีก็กินค่ะ ประหยัดไปได้อีกมื้อ ปกติกระเพาะทนทายาด มีครั้งนี้แหละที่วันถัดมาจุ๊ดๆนิดหน่อย สงสัยรสชาติจัดจ้าน

ตอนนี้มีอีกความฝันคืออยากไปดูงานแต่งของคนอินเดียที่รวยๆๆๆซักครั้ง — มีคนบอกว่าบางงานร่ำรวยมากถึงขนาดแห่ช้างและจัดงาน 7 วันติดกันเลยทีเดียวค่ะ มองไปทุกคนใส่ชุดระยิบระยับเป็นทะเลเพชรเลยนาจา
.
และอีกฝันคือ อยากลองใส่ชุดแต่งงานของอินเดียซักครั้ง ฝันยิ่งใหญ่คือใส่ชุดของดีไซน์เนอร์คนนี้ Sabyasachi Mulherjee

Ram Raja temple — พระราชวังของพระราม

และนี่คือพระราชวังเดิมของพระนาง Ganeshi bai แต่เพราะเงื่อนไข เลยต้องยกพระราชวังนี้ให้พระรามไป ใครงๆ ย้อนกลับไปอ่านประวัติก่อนหน้าที่ Chaturbhuj Temple น้า
.
นอกจากนี้ ที่นี่คือวัดฮินดูแห่งเดียวในอินเดียที่พระรามได้รับความเคารพแบบพระราชา (ที่นี่ต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าด้านใน และห้ามถ่ายรูปนะคะ)

บรรยากาศรอบๆเมือง

จริงๆแล้ว แอบเสียดายเพราะอยากไป Khajuraho ต่อ แต่เนื่องจากคำนวนวันเดินทางกลับแล้วน่าจะไม่พอ เราเลยมุ่งหน้าไปพาราณสีแทนค่ะ เจอกันกับภาคต่อไป — Varanasi เมืองที่คุณห้ามพลาดเมื่อเท้าแตะอินเดีย

--

--

Puii is always on the sunny side
puiionsunnyside

No matter what life brings to, I discover this world. I fall in love. 🌝💛 l Instagram @PUIIONSUNNYSIDE