จากคุณแม่ Full Time สู่ Working Mom

Toei : ) Kullapa Makarabhirom
Refinitiv Thailand
Published in
2 min readAug 10, 2019

คุณแม่หลายคนเสียสละความก้าวหน้าในอาชีพของตัวเองด้วยการลาออกไปโฟกัสกับการดูแลลูก พอลูกๆ เริ่มโตขึ้น หลายคนเริ่มมองหาโอกาสกลับมาทำงานใหม่ แต่ด้วยความที่ว่างเว้นจากการทำงานมานาน ทำให้คุณแม่หลายๆ คนไม่มั่นใจที่จะกลับมาทำงานหรือไม่แน่ใจว่าควรจะเริ่มอย่างไร

วันนี้เราอยู่กับคุณเอื้อย ภารวี ภราดร์นุวัฒน์ Content Analyst, Refinitiv คุณแม่ซึ่งเพิ่งกลับเข้าสู่โหมด Working Mom อีกครั้งหลังจากพักจากงานประจำไปถึง 4 ปีเต็มๆ เพื่อดูแลลูกชายวัยกำลังซน ซึ่งวันนี้จะมาเล่าให้ฟังถึงช่วงเวลาที่มองหาโอกาสกลับมาทำงานอีกครั้ง การเอาชนะความไม่มั่นใจของตัวเอง และการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการสัมภาษณ์งาน

เราหวังว่าประสบการณ์ของคุณเอื้อยจะเป็นแรงบันดาลใจที่ดีให้คุณแม่ทุกคนค่ะ!

ทำไมถึงอยากกลับมาทำงานประจำ

เมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้วเราได้ตัดสินใจออกจากงานประจำมาดูแลลูก ด้วยความคิดที่ว่าถ้ามีโอกาสไม่ติดขัดอะไรก็อยากดูแลลูกเอง แม้เราจะไม่มีประสบการณ์แต่คิดว่าไม่น่าจะมีใครดูแลได้ดีไปกว่าเรา ถือเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ แต่ต่อมาความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นหลังลูกเข้าอนุบาล เราเริ่มมีเวลาว่าง เริ่มคิดถึงการทำงาน แต่คิดมาตลอดว่าการกลับไปทำงานประจำคงเป็นไปได้ยากเพราะเราพักงานไปนานมากคงไม่มีที่ไหนรับ ไหนจะมีลูกแล้วซึ่งเป็นปัจจัยที่บางครั้งควบคุมไม่ได้ (เช่นเวลาลูกป่วย ไม่มีคนดูแล) และมีโอกาสที่จะกระทบงาน เลยเริ่มหันมารับงานแปลอิสระเพื่อหารายได้เสริมและฝึกฝนทักษะภาษา แต่อีกใจนึงจริงๆ แล้วเราก็ยังอยากกลับไปทำงานประจำอยู่เพราะรายได้ที่มั่นคงกว่า ได้เจอคนเจอเพื่อนใหม่ๆ ที่สำคัญคือ เรายังอยากมีหน้าที่การงานของตัวเองที่ได้ภูมิใจ

จุดเปลี่ยนที่ทำให้กลับมาทำงาน

ตอนที่เริ่มคิดว่าจะกลับมาทำงานประจำก็มีเคว้งบ้างมีเหมือนกันเพราะไม่แน่ใจว่าควรเริ่มจากจุดไหน เราเริ่มจากเอาเรซูเม่มาปัดฝุ่นใหม่ เพิ่มประสบการณ์ตอนทำฟรีแลนซ์เข้าไป แล้วก็ปรับเนื้อหาในเรซูเม่ให้ดูชัดเจนและน่าสนใจขึ้น จากนั้นก็ลองเปิดเว็บสมัครงาน หางานที่เราน่าจะทำได้

มีวันหนึ่งเพื่อนที่ทำงานที่ “รีฟินิทีฟ (Refinitiv)” บอกเราว่ามีตำแหน่งเปิดรับอยากให้ลองส่ง Resume มา ด้วยความที่เราประทับใจบรรยากาศและวัฒนธรรมการทำงานของที่นี่อยู่แล้ว เพราะฟังจากเพื่อนๆ เล่าให้ฟังและจากที่ดูในเพจ Facebook ของบริษัทเลยตัดสินใจลองสมัครดู

จริงๆ พอสมัครไปก็คิดว่าอาจจะไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ปรากฎว่าได้เรียกไปสัมภาษณ์ ตอนนั้นตื่นเต้นมาก แอบนอยว่าเค้าจะรับแม่บ้านอย่างเราที่หยุดทำงานไปนานๆ เหรอ กลัวจะสู้คนอื่นที่มีประสบการณ์ทำงานที่ต่อเนื่องกว่าเราหรือเด็กรุ่นใหม่เก่งๆ ไม่ได้ เราเลยพยายามแสดงถึงความพร้อมและแผนการเตรียมตัวเพื่อที่จะกลับไปทำงานให้ผู้สัมภาษณ์ได้เห็น ตอนนั้นเราเตรียมตัวก่อนสัมภาษณ์เยอะมาก ทั้งไล่อ่านข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท ลองไปศึกษาความรู้ที่ต้องใช้ในตำแหน่งที่เราสมัคร แล้วก็ลองซ้อมแนะนำตัว ซ้อมตอบคำถามดู ซึ่งการเตรียมตัวไปก่อนช่วยได้มากๆ เพราะทำให้เรามั่นใจมากขึ้นตอนไปสัมภาษณ์

จริงๆ ตอนไปสัมภาษณ์ก็ยังแอบกังวลอยู่เหมือนกันว่าเราหยุดทำงานไปหลายปี แถมลูกเราก็ยังเล็ก อาจมีบางวันที่เราต้องลาหยุดไปดูแลลูก แล้วเค้าจะโอเคกับเราไหม ตอนสัมภาษณ์เลยตัดสินใจบอกเรื่องนี้กับคนสัมภาษณ์คือพี่หัวหน้ากับพี่ HR ไปตรงๆ เลย เพราะอยากให้แฟร์ๆ กัน ถ้าเค้าไม่โอเคเราก็จะได้ตัดใจ แต่กลายเป็นว่าเราได้คำตอบที่ประทับใจมาก คือพี่เค้าเล่าให้ฟังว่าพี่เค้าก็มีลูกเล็กเหมือนกัน ทางบริษัทก็มีการยืดหยุ่นเรื่องเวลาการทำงานให้ หรือถ้ามีวันที่จำเป็นต้องหยุดไปดูแลลูก ก็คุยกับหัวหน้าได้ แล้วก็ที่นี่ให้โอกาสทุกคนที่ตั้งใจทำงาน ถึงจะหยุดพักจากการทำงานประจำไปแต่ถ้ามีใจอยากทำแล้วมีความรู้ที่ตรงกับงานเค้าก็ให้โอกาสทุกคน พอฟังแล้วทำให้สบายใจขึ้นเยอะ

ถึงในใจจะเผื่อใจกับความผิดหวังเพราะคิดว่าน่าจะมีผู้สมัครอีกหลายคนที่อาจจะมีคุณสมบัติที่เหมาะสมมากกว่า แต่ผ่านไปสัปดาห์หนึ่งก็ได้รับข่าวดี เป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้งหลังลาออกจากงานมาดูแลลูก

บรรยากาศงาน Family Day ที่บริษัทให้พนักงานได้พาลูกๆ มาเห็นที่ทำงานของพ่อแม่ มีกิจกรรมสนุกๆ มีของขวัญและขนมแจก เด็กๆ ชอบกันมาก

หลังกลับมาทำงานต้องปรับตัวเยอะไหม

ตอนแรกก็มีกังวลบ้างเหมือนกันกลัวว่าเราทำเรียนรู้ช้ากว่าคนอื่นรึเปล่า หรือจะทำได้ไม่ดี แต่เราก็พยายามรักษาความมั่นใจในตัวเอง แล้วก็เรียนรู้ให้ไวที่สุด ด้วยความที่งานที่เรารับผิดชอบต้องใช้ความละเอียดมาก เราเลยพยายามจดงานที่คนในทีมสอนไว้เป็นคู่มือการทำงานของตัวเองจะได้ไม่ลืมและไม่ต้องรบกวนถามคนในทีมซ้ำๆ

โชคดีที่เรามีทีมที่เข้าอกเข้าใจคอยช่วยเหลือกัน คือพอเข้ามาแล้วเรารู้สึกว่าบรรยากาศการทำงานที่นี่อบอุ่นทั้งหัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน มีเวลาการทำงานที่ยืดหยุ่นได้ ที่ชอบอีกอย่างคือบริษัทดูแลครอบครัวเราด้วย คือสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลครอบคลุมไปถึงสามีกับลูกของเราในอัตราที่เท่ากับพนักงานเลย ช่วยทุ่นรายจ่ายให้คนมีครอบครัวได้เยอะ

ดีใจที่ได้รับโอกาสดีๆ ได้เข้ามาทำงานในบริษัทที่มีความเปิดกว้าง รับพนักงานหลากหลายไม่เกี่ยงสถานะ เพศ อายุ เชื้อชาติ มีครอบครัวก็สามารถเข้ามาทำงานได้ถ้าคุณสมบัติพร้อม เราคิดว่าที่นี่เหมาะกับเราที่สุดแล้ว

อยากแนะนำอะไรให้คุณแม่ที่หยุดงานไปดูแลลูกและอยากกลับมาทำงานประจำอีกครั้ง?

อยากบอกว่าไม่ต้องกลัวที่จะเริ่มต้นใหม่ อย่าปิดโอกาสตัวเอง โอกาสมีเสมอสำหรับคนที่พร้อมและมีความตั้งใจค่ะ ก่อนเริ่มหางานขอแนะนำให้คอยหาข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับบริษัทและตำแหน่งที่เราสนใจ หมั่นทบทวนทักษะต่างๆ ก็จะช่วยให้เรามีความมั่นใจในการสมัครและสัมภาษณ์งานค่ะ : )

--

--