แชร์ประสบการณ์ก้าวออกจาก Comfort Zone: การเดินทางของ QA Engineer สู่งานฝ่ายขายที่ดูแลลูกค้าทั้งในไทยและอาเซียน
เรามักได้ยินคำแนะนำที่ว่าถ้าอยากเก่งขึ้น อยากเติบโตก็ต้องกล้าออกจาก Comfort Zone แต่ถึงอย่างนั้น เราเชื่อว่าการก้าวเท้าออกจาก Comfort Zone ก็ยังเป็นเรื่องท้าทายของหลายๆ คน อยู่ดี โดยเฉพาะการต้องเปลี่ยนไปทำงานที่ไม่เคยมีพื้นฐานมาก่อนและมีเนื้องานแตกต่างจากงานเดิมอย่างมาก
วันนี้เราชวนคุณจอง พัลลภา Account Manager, Refinitiv มานั่งคุยกันเพื่อแชร์ประสบการณ์การเปลี่ยนสายงานจากสาย technology ไปสายงานขายซึ่งไม่ใช่สิ่งที่คุณจองเคยเรียนหรือมีประสบการณ์มาก่อนเลย อะไรเป็นตัวผลักดันการตัดสินใจครั้งนี้ ความยากง่ายที่เจอเป็นอย่างไร และสิ่งที่ได้รับจากการเดินทางครั้งใหม่นี้มีอะไรบ้างมาลองติดตามกันเลย
แนะนำตัวคร่าวๆ ให้ฟังหน่อย
ชื่อ พัลลภา ชื่อเล่น จองค่ะ ปัจจุบันทำงานอยู่ที่บริษัท Refinitiv แรกสุดเริ่มต้นทำงานที่นี่ในตำแหน่ง Quality Assurance Engineer ตั้งแต่ปี 2006 (ตอนนั้นยังใช้ชื่อว่าบริษัท Reuters อยู่เลย ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น Thomson Reuters และเป็น Refinitiv ในปัจจุบัน) จากนั้นได้มีการเปลี่ยนสายงานมาอยู่ในฝ่ายขาย โดยเริ่มจากตำแหน่ง Client Specialist เมื่อปี 2013 และล่าสุดตำแหน่งปัจจุบันคือ Account Manager รับผิดชอบฐานลูกค้าในเขตประเทศไทย ลาว และกัมพูชาค่ะ
เรียนและเริ่มงานในสาย Technology มาตลอด เล่าให้ฟังหน่อยว่าเปลี่ยนสายงานมาเป็นฝ่ายขายได้อย่างไร
ปกติบริษัทเราก็จะมี internal job opportunity เปิดให้พนักงานที่สนใจสามารถสมัครไปลองสัมภาษณ์กับ hiring manager ในแต่ละแผนกได้อยู่แล้ว แต่การย้ายจากสายงาน IT ไปเป็น Sales ไม่เคยอยู่ในความคิดเรามาก่อนเลย จนกระทั่งจุดเปลี่ยนคือราวๆ ปลายปี 2012 บริษัทจัดโครงการ “Bangkok InnovaDay” ที่เปิดให้พนักงานรวมทีมเสนอไอเดียที่จะเป็นประโยชน์ต่อองค์กรและลูกค้า ส่งเข้าประกวด และนำเสนอผลงานรอบ final ต่อหน้าคณะกรรมการระดับผู้บริหาร หนึ่งในนั้นมี Sales Director ชาวสิงคโปร์ ซึ่งตอนนั้นประจำอยู่ในประเทศไทยด้วย
วันนั้นมีเหตุขัดข้องหลายอย่างทำให้ทีมเราไม่สามารถจะโชว์ผลงานขึ้นบน screen ให้คณะกรรมการเห็นภาพในแบบที่เตรียมมาได้ แต่ละกลุ่มก็มีเวลาเพียงแค่ 5 นาที หลังจากที่พยายามแก้ปัญหากันอยู่สักพักแต่ไม่สำเร็จ เราเลยปรึกษากับเพื่อนร่วมทีมและตัดสินใจก้าวออกมาเป็นตัวแทนนำเสนอผลงานแบบปากเปล่า อธิบายเป็นขั้นตอนแบบสดๆ เพื่อให้คณะกรรมการยังคงพิจารณาผลงานของทีมเรา สุดท้ายทีมเราไม่ได้ชนะการประกวด แต่หลังจากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์ มีโทรศัพท์สายตรงจาก Sales Director โทรมาชวนให้เราลองไปสัมภาษณ์งานในทีม frontline ดู เพราะจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น เขาบอกว่าได้เล็งเห็นถึงศักยภาพ และคุณลักษณะเด่นในตัวเราที่เหมาะกับงานนี้ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนสายงานค่ะ
ตอนที่ Sales Director มาทาบทามรู้สึกยังไงบ้าง
รู้สึกแปลกใจ และยินดีมากค่ะ แต่ไม่ค่อยมั่นใจว่าตัวเองจะทำได้ เพราะตำแหน่งงานที่ถูกเสนอให้ในตอนนั้นคือ Client Specialist ซึ่งหน้าที่หลักคือ ต้องออกไปพบปะ ดูแล และให้คำปรึกษาลูกค้าในกลุ่มสถาบันการเงิน บริษัทเอกชน มหาวิทยาลัย ฯลฯ เพื่อรักษาฐานลูกค้าของบริษัทเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ฟังดูห่างไกลจากสิ่งที่ทำอยู่มาก เพราะ QA เป็นงานที่อยู่ในสายพัฒนาซอฟต์แวร์ ซึ่งยากที่จะมีโอกาสได้ติดต่อกับลูกค้าโดยตรง
อะไรเป็นตัวจุดประกายให้ตัดสินใจลองเปลี่ยนสายงานตัวเอง
คงเป็นแรงบันดาลใจจากคนรอบข้างหลายคน ที่ประสบความสำเร็จได้จากการเริ่มก้าวออกมาจาก comfort zone ของตัวเอง และมุ่งมั่นตั้งใจจนบรรลุจุดหมาย ในเมื่อมีโอกาสดีๆ แบบนี้เข้ามา ก็เลยตัดสินใจคว้าเอาไว้ เพราะอยากลองทดสอบตัวเองดูเหมือนกันว่าจะทำได้ไหม
งาน IT กับฝ่ายขายต่างกันค่อนข้างเยอะ ต้องปรับตัวอย่างไรบ้าง
ถึงความรู้ที่เคยได้จากตอนทำงานเป็น QA จะถูกนำมาปรับใช้ได้บ้างในบางสถานการณ์ แต่ก็ยอมรับว่าช่วงแรกต้องปรับตัวเยอะอยู่เหมือนกันกว่าจะลงตัว เพราะยังขาดความรู้อีกหลายด้าน ที่จะมาช่วยเสริมความมั่นใจในการเข้าหาลูกค้า โดยไม่ทำให้บริษัทเสียชื่อเสียงเพราะความอ่อนประสบการณ์ของเรา
ทั้งนี้ต้องขอบคุณทางบริษัทที่ให้โอกาส ส่งเราเดินทางไปเรียนรู้งาน ทั้งกับรุ่นพี่ และเข้าฝึกอบรมในหลักสูตรต่างๆ ที่จำเป็น เช่น ความรู้เกี่ยวกับตลาดการเงิน และ product หลักของบริษัทเรา ที่ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายโดย financial professional ทั่วโลก มีทั้งหลักสูตรที่จัดขึ้นเองภายใน และโดยสถาบันภายนอกที่มีชื่อเสียง แต่นอกจากการเรียนในห้องเรียนแล้ว เราก็ต้องขยันแบ่งเวลามาอ่านหนังสือ หาความรู้เองนอกรอบอย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งพัฒนาตัวเองในด้านที่เรายังขาด ให้ทันคนอื่น โดยเฉพาะด้าน financial ที่มีความซับซ้อนและใช้เวลาในการทำความเข้าใจ ต้องจำคำศัพท์และทฤษฎีต่างๆ เพื่อที่จะได้พูดจาภาษาเดียวกันกับลูกค้าได้อย่างไม่ติดขัด ทั้งหมดนี้อาศัยความรับผิดชอบ และ commitment ที่ให้ไว้กับลูกค้าเป็นแรงผลักดันสำคัญ
ได้อะไรบ้างจากการเปลี่ยนไปทำงานในสายงานใหม่
ได้เยอะเลยค่ะ ทั้งความรู้ใหม่ สังคมที่กว้างขึ้น ได้ฝึกทักษะใหม่ๆ หลายด้าน ที่ทำให้เรารู้สึกโตขึ้นกว่าเดิมมาก ทั้งทางด้านความคิด และวินัยในการทำงาน เพราะงานนี้ทำให้เราได้พบปะพูดคุยกับลูกค้าในกลุ่มต่างๆ หลากหลาย ตั้งแต่ระดับปฏิบัติการ ไปจนถึงผู้บริหาร เราจึงต้องฝึกการวางตัวให้เหมาะสม ถูกกาลเทศะ ฝึกการตั้งคำถามที่ดี ฝึกสังเกต ทำความเข้าใจปัญหา หรือสิ่งที่ลูกค้ากำลังต้องการอย่างแท้จริง การประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ ในองค์กร เพื่อให้ได้มาซึ่ง solution ที่ตอบโจทย์ลูกค้าที่สุด ระหว่างช่วงชีวิตการทำงานในสายงานใหม่นี้ เราก็ดีใจที่ความพยายามของเราได้ส่งผล ผ่าน recognition ต่างๆ ที่บริษัทมีให้ อย่างเช่น CEO Circle Award ที่ได้รับในปี 2015 (เป็นรางวัลประจำปีสำหรับ top performers ในฝ่ายขาย) ก็ช่วยเพิ่มกำลังใจในการทำงาน และทำให้เราไม่หยุดพัฒนาตัวเองยิ่งๆ ขึ้นไป คอยทำตัวเองให้พร้อมเสมอสำหรับโอกาสใหม่ๆ ที่อาจจะเข้ามาได้ทุกเมื่อ จนกระทั่งในปี 2017 เราก็ได้รับความไว้วางใจอีกครั้ง ให้เข้ามารับตำแหน่ง Account Manager ซึ่งเป็นอีกก้าวสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถของตัวเอง บนขอบเขตความรับผิดชอบที่สูงขึ้น และเนื้องานที่ยากขึ้น โดยเฉพาะในเชิง business strategy แต่ที่สุดแล้วสิ่งที่ได้จากการเปลี่ยนแปลงทุกครั้ง คงเป็นการได้พิสูจน์ตัวเองผ่านบททดสอบใหม่ๆ และความรู้สึกภูมิใจที่เราก็ทำได้
อยากให้ฝากถึงคนที่สนใจอยากลองเปลี่ยนสายงานดูบ้างแต่ยังสองจิตสองใจอยู่ ว่าควรจะพิจารณาอะไรบ้าง
คนเรามีเป้าหมายในชีวิตที่ต่างกัน ถ้ามีความคิดที่อยากจะลองเปลี่ยน คงต้องลองเปรียบเทียบดูว่า ทางเลือกนั้นจะช่วยเปิดโอกาสให้เราเรียนรู้ เพิ่มพูนประสบการณ์ และผลักดันให้เราเข้าใกล้เป้าหมายของตัวเองมากกว่างานที่กำลังทำอยู่หรือเปล่า ถ้าใช่ ถึงจะต้องแลกกับความยากลำบาก แรงกดดัน อุปสรรค ปัญหามากมาย แต่สุดท้ายผลที่ได้มามันก็คุ้มนะ