5 เดือนย้ายสายได้ จากวิศวกรสู่ Data Engineer

จุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหาคือการ ยอมรับปัญหา

ตั้งแต่จบใหม่มาหางานทำอันแสนลำบาก ผมก็คิดว่าชีวิตผมคงไปตามสายอาชีพที่เรียนนี้ไปเรื่อยๆและหวังว่าซักวันเราจะประสบความสำเร็จซักวัน(มั้ง)

แต่เมื่อเข้าสู่ยุค Disruption ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปไวซะเหลือเกิน

เดี๋ยวนี้อาชีพมันเกิดใหม่มาเรื่อยๆและมันก็ดำเนินแบบนี้ต่อไปด้วยความรวดเร็วมาก

แต่มันมีเหตุการ์ณบางอย่างที่มาสะกิดให้ผมคิดได้ว่า

เฮ้ย ขืนยังไม่ทำอะไรตอนนี้ อนาคตแย่แน่เลยว่ะ

และนั้นแหละคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่ผมจะเอามาแชร์ให้ฟังว่าต่อจากนี้ว่า ทำไมผมต้องเริ่มลงมือทำอะไรบางอย่างได้แล้ว

สวัสดีครับผมชื่ออาเหว่ย ผมทำงานในแวดวงวิศวกรรม ประมาณ 3 ปีในงานสิ่งแวดล้อม(จริงๆน้อยกว่านั้นแต่ช่างเถอะ) คุณอาจจะคิดว่าจริงๆสิ่งแวดล้อมนี้เป็นอะไรที่ทุกคนสนใจในระดับโลกจริงมั้ย?

แต่ผมบอกเลยนะมันไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอกก็หลายปัจจัยแต่ขี้เกียจเล่า

เอาเป็นว่าสั้นๆคือผมไม่เห็นโอกาสในการเติบโตของงานเดิม

ตลอดเวลาที่ผมทำงานน่ะนะนี้คือจุดแรกที่ผมรู้สึกไม่พอใจเท่าไหร่แต่ก็เราจะทำไงได้ ยุคโควิดไม่ตกงานก็ดีแล้ว

ที่นี้ประการต่อมาผมสังเกตุเศรษฐกิจไทยเริ่มส่อแววย่ำแย่ตั้งแต่ก่อนโควิด จนกระทั่งมาเจอโควิด ทุกอุตสาหกรรมในไทยก็เริ่มย่ำแย่ คนเริ่มตกงาน เงินเดือนไม่ขึ้น เด็กจบใหม่ก็หางานยาก โบนัสไม่มี

และแน่นอนสิ่งนี้มันกระทบทุกคนรวมถึงผมด้วย เพราะถึงแม้ผมจะมีงานทำอยู่แต่มันไม่ได้การันตีว่าในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ผมจะเติบโตขึ้นได้อย่างไร

ถ้าเศรษกิจในไทยโดยรวมยังไม่ฟื้นตัวเลย(ตอนนั้นปี64 ยังไม่ได้เจอสงครามรัสเซีย-ยูเครนนะ)

ผมเริ่มสังเกตุตลาดแรงงานและเห็นผลวิจัยว่าช่วงโควิด สายงานITมีความต้องการแรงงานชั้นยอดอย่างมาก รายได้ดี มีโอกาสในการเติบโตสูง สวนทางกับทุกอุตสาหกรรมในไทยแทบทั้งหมดในยุคโควิด ผมถึงได้บางอ้อว่า

“ระบบเศรษฐกิจหรือตลาดแรงงานหรือตลาดอะไรก็ช่าง มันก็เป็นไปตามกลไกการตลาด Demand/Supply ทั้งนั้น”

ในตอนจบใหม่ผมมองแค่ว่าอาชีพไหนก็เจริญ ไม่เลือกงานไม่ยากจน แต่พอตอนนี้ก็เลยตรัสรู้ว่า

ไม่เลือกงานไม่ยากจน ไม่มีจริง ไม่เลือกงานสิจะยากจนของจริง

ซึ่งมันก็เป็นไปตามกฏ Demand กับ supply นั้นแหละ ก็คือให้จินตนาการว่า

คนที่ทำงานสายเทคคือสินค้าและเป็นที่ต้องการของบริษัทต่างๆมากแต่คนที่ทำด้านนี้ได้มีน้อยกว่าความต้องการ สภาพแบบนี้ผมเรียกว่า “สินค้าขาดตลาด” ซึ่งเมื่อสินค้าขาดตลาดแต่คุณอยากได้ของ คุณก็ต้องจ่ายราคา premium ถึงจะได้มันมา

เฉกเช่นเดียวกันคนที่ทำงานสายเทคคือสินค้ามีมากในตลาดมากแต่ไม่เป็นที่ต้องการของบริษัทต่างๆ สภาพแบบนี้ผมเรียกว่า “สินค้าล้นตลาด” ถ้าคุณอยากได้งานคุณก็ต้องลดราคาต่ำลงมา

ด้วยกฏตัวนี้เองที่ผมพึ่งเข้าใจมันและเคยได้ยินตำนานที่กล่าวว่าวิศวกรเป็นที่ต้องการของตลาดนั้นเป็นความจริง….แต่นั้นมันเมื่อ40–50ปีก่อน มันไม่ใช่ตอนนี้ไง!!!

สมัยก่อนเราต้องการที่จะพัฒนาโครงสร้างของประเทศแต่คนที่จบวิศวกรมีน้อย ทำให้ช่วงนั้นวิศวกรค่าตัวแพง

ส่วนตอนนี้ผมประเมินแล้วว่าความต้องการน้อยลงแต่คนจบมาด้านนี้เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ(มีหลายสถาบันผลิตบัณฑิตด้านนี้เยอะ)ทำให้เริ่มกลายมาเป็นสภาพสินค้าล้นตลาด

ส่วนความต้องการที่กลับพุ่งขึ้นมาในยุคโควิดนี้เป็นยุคของคนITนี้เอง ที่มีคนต้องการมากแต่หาคนทำงานITไม่ได้ เหมือนเล่าหนังย้อนเทบฉายซ้ำเลยมั้ยครับ

จากมุมมองตรงนี้ผมเลยได้ไอเดียว่า ถ้าผมเป็นสินค้าที่กำลังล้นตลาดอยู่ถ้าเราสามารถ Reskillตัวเองให้กลายเป็นสินค้าในตลาดที่ขาดแคลนได้ ผมคิดว่านี้คือเกม game changer ที่อาจจะพลิกชีวิตที่ดีขึ้นได้นะ ฟังดูเว่อแต่ถ้าทำแล้วชีวิตดีขึ้นมันคุ้มเสี่ยงลงทุนนะเออ

แต่การ reskill ย้ายอาชีพมันก็อาจจะเป็นทางหนึ่งที่เราสามารถที่จะเลือกได้นะ แต่ถ้าผมเลือกเส้นทางเดิมต่อไป รอเศรษฐกิจไทยฟื้นแล้วผมก็จะฟื้น(ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอีกกี่ปี)มันจะเป็นยังไง เขียนมาถึงตรงนี้ผมก็นึกถึง Quote ชื่อดังของอ.เฉลิมชัย โฆษิตพิฒน์ ขึ้นมาทันที

จากคำพูดนี้ ผมนี้ยืนขึ้นเลย ใช่ครับจารย์ แต่อาจารย์ครับ คือทุกอาชีพมันก็สำเร็จได้หมดแหละครับแต่นั้นคือคนที่ Top ของสายอาชีพถึงจะสำเร็จได้ซัก10%มั้ง

แต่ก็มีหลายคนที่ไม่ประสบความสำเร็จก็เยอะแยะเพราะพื้นที่ในการประสบความสำเร็จมีจำกัด

ผมซึ่งเป็นคนกลางๆไม่ได้โดดเด่นเพียงพอที่จะสู้คนระดับTopได้

นั้นแหละครับ ผมเลยต้องยอมรับและคิดต่อไปว่า คนกลางๆธรรมดาอย่างเราจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร ซึ่งเป็นที่มาของคำพูดที่ว่า

ผมจะไม่รบในสนามรบที่ผมไม่มีวันชนะ

เมื่อคิดสนามรบในสายอาชีพเดิมที่ผมทำอยู่ คิดว่าไม่น่าใช่ทางของผมและขืนยังไม่ทำอะไรตอนนี้ อนาคตแย่แน่เลยว่ะ เราย้ายไปสมรภูมิที่ผมอาจจะเอาชนะได้ดีกว่า

นั้นคืองานสายIT ที่มีความต้องการแรงงานทักษะสูง โอกาสเติบโตได้อีกเยอะเป็น Blue Ocean ที่หาโอกาสได้ในระยะยาวและสายงานนี้จากที่ดูแล้วก็ไม่ได้ต้องการคนที่จบตรงสายขอแค่จบมาทำงานให้เขาได้

กระบวนการแก้ไขปัญหาไม่ใช่เริ่มจากการหาสาเหตุของปัญหา แต่คือ

การยอมรับว่ามีปัญหาเกิดขึ้น

เพราะถ้าเราไม่ยอมรับว่ามีปัญหาเกิดขึ้นมันจะไม่มีเหตุผลที่คุณต้องไปหาสาเหตุของปัญหา,หาวิธีแก้ไขปัญหา,ติดตามผลลัพธ์เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยน

และที่ผมเล่ามาทั้งหมดนั้นแหละคือปัญหาของผมและผมต้องยอมรับกับปัญหาทีเกิดขึ้นก่อนจึงต้องลงมือทำอะไรบางอย่าง แต่สำหรับใครที่คิดว่าชีวิตเรานี้ดีอยู่แล้วคุณอาจจะไม่ได้ต้องการการเปลี่ยนแปลงก็ได้(ต้องแน่ใจว่าไม่ได้หลอกตัวเองนะ)

โอกาสไม่ได้เลือกคน คนต่างหากที่เป็นผู้ไขว่คว้าโอกาสนั้น

วันหนึ่งผมก็ไปฟัง podcast ในยูทูปช่อง the standard ก็บังเอิญไปได้ยินกับคำว่า Data scientist เป็นอาชีพที่เซ็กซี่ที่สุดในศตวรรษที่ 21 ไรนี้แหละ คือผมก็เลยสนใจตัวนี้ขึ้นมาว่ามันคืออาชีพไรวะ

ลองไปหาข้อมูลในyoutubeเพิ่มเติมก็ยังไม่ชัดเจนว่ามันคืออะไรกันแน่ ก็เลยไหนๆไปแอบดูใน jobsDB ซิว่าในตลาดแรงงานไทยมีความต้องการงานตัวนี้มากขึ้นจริงมั้ย

ก็พบว่ามีจริงๆนะความต้องการเยอะพอควร สืบไปสืบมา อ่าวงานสายdata มันไม่ได้มีแค่ Data scientist นี้หว่ามันมี Data analyst , Data Engineer ด้วย แล้วพวกนี้มันต่างจาก Data scientist ตรงไหน?

ผมก็เลยไปหาข้อมูลจากทั้งยูทูบและ DataTh.com ก็เลยเริ่มแยกความแตกต่างของเจ้า3อาชีพนี้แล้ว

และสุดท้ายผมก็เห็นว่าสายงาน Data engineer ดูท่าน่าจะเหมาะสมกับผมมากกว่า ด้วยที่ผมเคยผ่านวิชา Computer Programing(C,C++) ที่วิศวกรทุกคนต้องเรียนวิชานี้เพราะเป็นวิชาบังคับสำหรับวิศวกรทุกคนที่จะไปสอบเอาใบประกอบวิชาชีพวิศวกรรม(ใบกว.) นี่คือหนึ่งในข้อได้เปรียบของวิศวกรในการย้ายสายไป IT

ผมก็ได้Aวิชานี้นะตอนปี2(ไม่อยากขิงว่าผมได้Aคนเดียวในสาขาผมเอง) แล้วDEก็เขียนเน้นเขียนCodingมาก ด้วยความมั่นอกมั่นใจยังไงฉันก็ทำได้แน่ ก็เลยจาดไป ….ว่าแต่เราจะ Reskill ยังไงน้อทีนี้?

ใครยิงแอดวะ

อันด้วยความโชคดีอะไรบางอย่างหรือการที่ Google Facebook มันแอบไปเก็บข้อมูลผมจากการ search หาข้อมูลเกี่ยวกับสายงาน Data จากบทที่แล้ว เจ้าตัว AI facebookมันก็โผล่โฆษณา Road to data engineer 2.0 มาพอดิบพอดีแหม่!! เออดี ไหนลองดูซิว่าคอร์สนี้เรียนอะไรบ้าง

ซึ่งผมก็คิดตัดสินใจอยู่นานพอควร เพราะคอร์สเรียนราคาก็…เอาเรื่องนิดๆน้าแต่

การศึกษาคือการลงทุน

เมื่อมองย้อนกลับไปว่าเราจะเดินหน้าเปลี่ยนสายอาชีพหรือจะกลับไปสู่เส้นทางcomfort zone เดิมเรามั้ย

ซึ่งจากที่เราวิเคราะห์ตลาดกันมาผมคิดว่าผมคงต้องเดินหน้าต่อดีกว่า อย่างน้อยถ้าพลาดกับมาจุดเดิมแต่ถ้ารุ่งอันนี้คุ้มและอาจจะได้ game changer เลยก็ได้ เอาวะรูดบัตรเครดิตไปเลย

(เอ่อ ก็ผมบ่ใช่หน้าม้าเด้อ ไม่ได้รับสปอนเซอร์ใดๆทั้งสิ้น เสียตังเรียนเหมือนกันจ้า ส่วนใครอยากรู้ว่าคอร์สนี้สอนอะไรมีคนหลายคนรีวิวไปแล้วนะ ตามลิ้ง)

อยากหุ่นดีก็ต้องเอาชนะใจตัวเอง

หลังจากเสียทรัพย์จากการรูดบัตรไปแล้วก็คงต่อเดินหน้าฆ่ามันอย่างเดียว ตอนที่ผมเรียนคอร์สนี้ผมยังทำงานประจำเป็นวิศวกรอยู่นะครับ

เริ่มงาน8.00–17.00 ทำงานจันทร์-เสาร์ หยุดวันอาทิตย์ แต่ละงานนี้บางวันคือไม่ได้อยู่กับที่เลย

แต่ด้วยที่โควิดมันเข้ามาตอนกลางปี 64 ช่วงนั้นเป็นช่วงที่โควิดระบาดหนักและหมอยงก็ยังคงรักซิโนแวคไม่ยอมนำเข้าวัคซีนMRNAซักที

ก็เลยยังไม่มีทำให้ช่วงนั้นไม่ค่อยมีงานที่ต้องเดินทางออกต่างจังหวัดครับ เป็นช่วงที่ผมยังสามารถกลับบ้านไปเปิดคอมเรียนออนไลน์ได้อยู่หลัง 17.00 กลับมาถึงบ้าน18.00ไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะแล้วฟังPodcastบ้างรวมกินข้าวเย็นก็จะมีเวลาว่างในแต่ละวันคือหลัง 20.30 หรือ21.00แล้วเอาเวลานั้นเรียนต่อจนถึง23.30 ครับ

ก็คือต้องแบ่งเวลาเรียนจากการทำงานแสนเหนื่อยแล้วก็ต้องมาเรียนอีกประมาณ2ชม.ครับ ทำแบบนี้แทบทุกวันเหมือนไม่ได้ใช้ชีวิต งดเล่นเกม ดูหนังnetflix อะไรก็ตามที่ไร้สาระงดหมดเลยครับ เหมือนในแต่ละวันไม่ได้ใช้ชีวิตเป็นของตัวเองนัก

อารมณ์เหมือนกับตอนที่คุณอยากลดน้ำหนักแล้วต้องงดหวาน งดมัน งดของทอด ทั้งๆที่เราก็กินมาแบบนี้ทั้งชีวิต อยู่ๆเราจะมาเปลี่ยนวิถีชีวิตให้มากินคลีน ออกกำลังกายทุกวัน แรกก็ดีอยู่แต่พอทำไปนานๆก็จะรู้สึกอึดอัดใจและท้อมาก

ดังนั้นช่วงแรกๆเราก็จะมีไฟที่ขลุกกรุ่นอยู่ในใจ มีพลังในการที่จะเรียนสิ่งใหม่แน่นอนครับ พอเริ่มเรียนไปบท2–4เท่านั้นแหละ ในสมองจะเริ่มเกิดอาการว่า

อิหยังวะ อิหยังวะ

เต็มไปหมดในหัว คือมันเป็นความรู้ใหม่เยอะมากๆครับและต้องใช้เวลาในการเรียนรู้มันนานพอสมควร จนเริ่มเรียนไปนานๆจากไฟอันร้อนแรงก็จะเริ่มมอดลงเพราะความไม่เข้าใจหลายอย่างๆครับ

คุณรู้มั้ยว่าผมใช้เทคนิคอะไรที่ทำให้ผมยอมรับสภาพzombieเพื่อที่จะเรียนมันต่อไป นั้นคือ การถามกับตัวเองว่า

“ในวันแรกที่ตัดสินใจเรียนเพราะอะไรล่ะ?”

นั้นแหละครับ เทคนิคนี้ผมเรียกมันว่า วิธีการสะกดจิตตัวเอง ผมไปเอามาจากพวกคนที่อยากลดน้ำหนัก

สมมติตอนแรกลูกค้าฟิตเนสที่ตัวอ้วนซึ่งก็อยากรูปร่างดีผอมเพรียวแหละครับ พอออกกำลังกายไปซักพักก็ท้อ เหนื่อย ตบะแตก นักเทรนเนอร์ที่อยู่ในฟิตเนสเขาจะใช้หลักจิตวิทยาตรงนี้ในการสร้างจูงใจให้กับลูกค้าด้วยคำถามว่า

วันแรกที่คุณอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองเหตุผลคืออะไร?

คุณอยากเปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่มั้ย?

ก็นั้นแหละคร้าบบ ผมไปก็อบเทคนิคเทรนเนอร์เขามาอีกที แต่ตอนนี้มันไม่มีคนสะกดจิตผมไง ผมก็ต้องถามตัวเอง ตอบเองใช่มั้ย? คำตอบคือใช่คร้าบ แล้วก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วก็มุ่งหน้าเรียนต่อไป

แต่ส่วนตัวผมยังเชื่อว่าสมองของคนเรามันจะช่องว่างจำกัด

ในวันที่ผมเหนื่อยจากการทำงาน แล้วมันเรียนไม่ไหวผมจะไม่ฝืนนะครับ เพราะสมองคนเราถ้ามันล้ามันจะคิดอะไรไม่ออก

วันนั้นผมก็จะไม่เรียนครับแต่ก็ไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง ผมจะยกยอดตรงนั้นไปอัดในวันต่อไปในวันที่สมองโล่งหรือไม่ก็อัดวันหยุดครึ่งวันไปเลยครับ

ไม่จำเป็นต้องเรียนทุกวันแต่ต้องรักษาระดับความต่อเนื่องไว้ให้ได้ครับ

อีกเทคนิคนึงที่จะเอามาแชร์สำหรับการเรียนคอร์สออนไลน์ก็คือ คุณรู้จักวิธีการ skimming มั้ย

มันก็เหมือนกับการที่คุณซื้อหนังสือเล่มหนาๆมาอ่าน โดยอ่านหนังสือแบบผ่านๆโดยไม่เจาะจงรายละเอียดในรอบแรก

ผมนำเทคนิคนี้มาประยุกต์ใช้กับคอร์สเรียนออนไลน์ครับ ก็เรียกว่าเรียนรอบแรกผมไม่กด pause ไม่ย้อน แถมเร่งความเร็ววิดีโอด้วยครับ

มันจะทำให้เรามองเห็นภาพรวมของบทแต่ละบทในคอร์สได้แบบภาพใหญ่ๆ แล้วเราจะจำแนกสิ่งที่เราเข้าใจดีแล้ว สิ่งที่ไม่เข้าใจบ้าง กับสิ่งที่ไม่เข้าใจเชี่ยไรเลยออกมา

แล้วรอบถัดๆไปเราถึงจะเริ่มไปเน้นในส่วนที่ไม่เข้าใจบ้างกับส่วนที่ไม่เข้าใจเชี่ยไรเลยเป็นพิเศษ พร้อมกับวิธีที่เป็นท่ามาตราฐานสำหรับนักโปรแกรมเมอร์ทุกคนแนะนำนั้นคือ Learning by Doing ครับ

เรียนไปทำไปด้วยคือวิธีที่ทำให้คุณประสบความสำเร็จที่ไวที่สุด จากนักยูทูปเบอร์หลายท่านและนักโปรแกรมเมอร์ชาวอินเดียนกายส์ทุกคนอยากให้ทำครับ

หลังจากจบรอบ2ก็ต้องย้ำหลายๆรอบด้วยครับจนกว่าเราจะเข้าใจ

เมื่อเรามองภาพใหญ่แล้วจากนั้นก็ไปลงรายละเอียดในส่วนที่เราขาดไปผมก็แนะนำเทคนิคอีกตัวคือ connect the dot คือการที่เราเอาความรู้ที่กระจัดกระจายในแต่ละบทเอามาผูกโยงกันให้ได้ครับ

เป็นเทคนิคที่อีลอนมัสเหมือนแกเคยพูดเอาไว้ ว่าทำไมป๋าอีลอนแกถึงเก่งมากๆ แกก็อ่านหนังสือเยอะนะแล้วแกสามารถเอาความรู้ต่างๆมาเชื่อมโยงกันได้

ซึ่งหลักการนี้จากที่ผมทำงานมา3ปี พบว่าเอ่อจริงว่ะ ใช้ได้เว้ย และมันทำให้เราเข้าใจมากขึ้นรวมถึงการนำไปต่อยอดได้ด้วย

สรุปเทคนิคนะครับ

  1. แบ่งเวลาให้ตัวเองเรียนอย่างน้อย2ชม.เป็นไปได้ก็ทุกวันแหละ
  2. เน้นskimming เพื่อให้มองภาพรวมออกมาให้ได้ก่อนในรอบแรกแล้วค่อยลงรายละเอียด เน้นลงมือทำ เน้นเรียนซ้ำย้ำคิดย้ำทำ
  3. connect the dot นำความรู้ในแต่ละบทที่ได้เรียนเอามาเชื่อมโยงกันให้ได้

การลงทุนที่ดีที่สุด คือการลงทุนกับตัวเอง

ตอนเด็กๆผมชอบเล่นเกมมาก พอเราโตขึ้นพฤติกรรมผมมันเปลี่ยนไป เมื่อเรามีภาระมากขึ้น เหนื่อยจากการทำงาน สิ่งที่เรารู้สึกเรียกว่าพักผ่อนจริงๆคือการนอนโง่ๆหายใจทิ้งไปวันๆบนโซฟาต่างหาก(ฮา)

แต่นอกจากนอนโง่ๆก็มีอีกอย่างหนึ่งคือการเรียนรู้สิ่งใหม่ตลอดเวลา ผมสนใจอะไรผมก็จะซื้อหนังสือในงานสัปดาห์หนังสือหรือคอร์สเรียนลดราคาผมก็ซื้อ จนมันดองเต็มไปหมดนั้นแหละครับ

ผมซื้อคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ,คอร์ส marketing แต่มีอันนึงที่ผมชอบและสนใจเป็นพิเศษคือโหราศาสตร์ครับ

ผมชอบการดูดวงครับ และไม่เชื่อว่าหมอดูนั้นเดาหรือเปล่า วิธีพิสูจน์ก็คือไปเรียนครับ

ก็พบว่าเออมันไม่ได้เดานิหว่า มันมีหลักการของมัน เพียงแต่การดูดวงคือการดูดวงดาวที่มันโคจรแล้วมีผลกระทบกับคนครับแล้วก็เก็บสถิติของคนหลายชั่วอายุคนแล้วเอามาปรับตามยุคตามสมัยครับหรือทำนายอนาคตจากการเหตุการ์ณที่เคยเกิดขึ้นในอดีต

มันคล้ายกับการเก็บDataของลูกค้าแล้วใช้AIมาทำนายพฤติกรรมหรือแนวโน้มของในอนาคตโดยใช้หลักสถิตินั้นแหละ

เพียงแต่มันต่างกันตรงที่dataคือสิ่งที่มนุษย์สร้างมันขึ้นมาเองแล้วเอามาทำนายพฤติกรรมแต่โหราศาตร์มันเอาดวงดาวซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับมนุษย์แต่อย่างใดแต่คนโบราณเชื่อว่าดวงมีอิทธิพลต่อมนุษย์มาทำนายแทน

เอาเป็นว่าแค่จะแชร์ว่าอยากเรียนอะไรก็เรียนไปเถอะการศึกษาคือการลงทุนระยะยาวและบางทีความรู้ที่เรามีอาจจะทำให้เกิดประโยชน์ในอนาคตก็ได้

ความโชคดีของการได้งานมี 2 อย่าง คือโอกาสและความพร้อม

ความพร้อมคือสิ่งที่เราสามารถสร้างมันขึ้นมาเองได้ไม่ว่าจะเป็นจากการลงมือทำ เรียนรู้ ฝึกฝน ผลงานต่างๆเหล่านี้เราสามารถควบคุมมันได้
โอกาสคือสิ่งที่คนอื่นหยิบยื่น ให้ค่า จ้างงานขึ้นตำแหน่ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราไม่สามารถควบคุมมันได้ มันเป็นสิ่งเรียกว่าแล้วแต่โชคชะตาจะพาไป

ทั้งสองอย่างนี้ทั้งความพร้อม+โอกาสจะทำให้เรามีโอกาสที่จะได้งาน แล้วเราจะทำยังกับโอกาสได้บ้าง?

ความพร้อมสร้างด้วยความพยายาม โอกาสสร้างไม่ได้แต่มูได้นะ

เนื่องจากผมก็ดูดวงเป็นแล้วก็ดูให้ตัวเองนี้แหละ ผมเกิดเดือนพฤศจิกายนแล้วผมรู้ตัวเองดีว่าช่วงก่อนวันเกิดในดวงชะตาผม งานใหม่เป็นกาลกิณี ก็คืองานใหม่ช่วงก่อนวันเกิดไม่ได้แน่นอน

แต่พอผ่านหลังวันเกิดไป งานใหม่จะเป็นมนตรี จะได้รับการสนับสนุนและราหูเป็นศรีได้คุณจากต่างชาติต่างภาษาได้ด้วยหรือแปลง่ายๆคือมีโอกาสได้งานหลังวันเกิดมากกว่าก่อนวันเกิดและงานต่างชาติต่างภาษาจะดี

สิ่งที่ผมทำคือก่อนเดือนผมเรียนและเตรียมความพร้อมอย่างเดียวเพราะรู้ว่าส่งไปก็ไม่มีใครรับและตอนนั้นยังไม่พร้อมด้วยครับ พอหลังวันเกิดเดือนพ.ย.นั้นแหละครับจังหวะที่ผมจะเริ่มทำ resumeแล้วเริ่มลองหว่านดู

ผมระหว่างนั้นเราก็เรียนไปด้วยขอพรด้วย เช่นไปขอพรพระพิฆเนศ “ขอให้ได้งานใหม่ ขอให้การเจรจาเอกสารสัญญาประสบความสำเร็จ”

ขอพรพระราหู“ขออะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้องกับต่างชาติ ต่างภาษา ต่างแดน”

ผมก็ขอแบบนี้แหละแต่ไม่ใช่ทุกคนจะก็อบไปใช้ได้นะครับ มันก็ขึ้นอยู่กับดวงแต่ละคนเนาะ แค่มาแชร์ประสบการ์ณให้ฟังเฉยๆจะได้มีกำลังใจในการ reskill ต่อไป

จริงๆแล้ว HR มองหาคนสายITแบบไหนกันแน่

เป็นหลักการที่ผมคิดมโนขึ้นมาเองนะครับจากมุมมองผม

แต่ถ้าอยากรู้ว่าHRคิดยังไงผมว่าไปถามเขาตรงๆน่าจะดีกว่า เอาเป็นว่าผมเอามาแชร์ไอเดียให้ฟังจากที่ผมไปฟังpodcastมาและคิดเองด้วยนะครับ

ถึงแม้ว่าเราจะวิเคราะห์แล้วว่าสายงานIT อยู่ในสภาวะสินค้าขาดตลาดมาก แต่ถ้าเจาะลึกๆลงไปอีกจะพบว่า สิ่งที่ HRกำลังควานหากันอยู่ คือ Tech talent ครับ

Tech talent ที่ผมนิยามเองคือคนที่มีความสามารถด้านTechที่เก่ง เก่งทั้งsoft skill และ hard skill จ้างมาแล้วพร้อมทำงานและแก้ไขปัญหาได้เลย

ส่วนใหญ่ก็คนมีประสบการ์ณระดับmidlevel,Senior นั้นแหละครับ ซึ่งกลุ่มจำนวนนี้มีน้อยมากในตลาดและHRก็พยายามหาทรัพยากรตรงนี้ด้วยการแข่งขันราคา(Price war)

ถ้าคุณอยากได้สินค้าคุณภาพดีที่มีน้อย คุณก็ต้องยอมจ่ายในราคา Premium

แต่คำถามคือสินค้าแบบเราๆสำหรับคนจบใหม่หรือย้ายสายงานที่อยู่ในระดับ junior ,Entry level มีความต้องการมากน้อยเพียงใด?

  • บริษัทที่พึ่งเริ่มตั้งทีมITหรือไม่ได้มีระบบเทรนนิ่งที่ดีแต่มีกำลังซื้อสูง ทฤษฎีผมคือส่วนใหญ่จะพยายามหาTech talent เข้ามามากกว่า
  • ส่วนบริษัทที่มีระดับ senior อยู่แล้วเริ่มจะขยายทีมหรือมีระบบเทรนนิ่งที่ดี ก็จะพยายามหาระดับ junior มากขึ้น

ซึ่งกลุ่มบริษัทที่เราจะไปขายตัวเราคือกลุ่มหลังนี้แหละครับ เราก็อยากได้งาน ส่วนบริษัทก็อยากได้คน อ่าวก็ win win situation พอดี deal เลย

แต่ถึงอย่างนั้น ความต้องการคนITมากก็จริงแต่ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น มันยังไม่เพียงพอที่จะทำให้คุณได้งานหรอกนะ

เพราะบริษัทถึงจะอยากได้ระดับ junior แต่เขาก็จะมีเกณฑ์มาตราฐานขั้นต่ำ ระบบการสัมภาษณ์ กระบวนการคัดคนที่ใช้เวลาพอควร บางที่ส่งการบ้านให้ทำด้วย

ถ้าความพร้อมทางด้านความรู้ Basic ของเรายังไม่ถึงเกณฑ์ก็มีสิทธ์สอบตกสัมภาษณ์ได้อยู่ดี

(มีบทความที่คล้ายกันที่อธิบายเรื่องนี้ได้ คลิกลิ้งได้เลย
“If software engineering is in demand, why is it so hard to get a software engineering job?” )

เทคนิคการหว่านเรซูเม่

ช่วงหลังวันเกิดช่วงเดือนพ.ย.นั้น ทั้งจังหวะดวงเปิดก็ดี ทั้งเรียนและทุ่มเทมาตลอดหลายเดือน พร้อมพกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม มันก็ถึงเวลาแล้วที่เราจะไปหว่านเรซูเม่

โดยหลักการหว่านของผมจะหว่านเป็นล็อต ล็อตละ 3–5 บริษัท แล้วค่อยๆทยอยหว่านเพิ่ม

ทำไมผมถึงไม่หว่านไปทีเดียวเลยล่ะ?

ผมกลัวว่าถ้าหว่านไปทีเดียวหลายๆบริษัทมันจะเกิดปัญหาคือมีบ.โทรมาให้สัมภาษณ์พร้อมกัน อาจจะทำให้งานปัจจุบันมีปัญหาได้ และสร้างความสับสนให้กับตัวเองว่า

เอ…บริษัทที่โทรมานี้คือบริษัทอะไรนะที่เราไปหว่าน มันก็ดูไม่ professional เท่าไหร่ถ้าเรามึนๆงงๆ HRเขาก็จะไม่แน่ใจว่าเราอยากมาร่วมงานจริงหรือไม่

แต่ถ้าใครอยากหว่านเยอะๆ ก็แนะนำทำตาราง excel ไว้จะดีกว่า เดี๋ยวลืมเอาได้(แต่สไตล์ผม ผมชอบหว่านทีละล็อตครับ)

คาดหวังสูงก็ผิดหวังมาก

ไอ้เราก็พกความมั่นใจมาเต็มที่ตั้งแต่ก่อนหว่านเรซูเม่เตรียมตัวสัมภาษน์พอประมาณ ถ้าสัมภาษณ์อังกฤษก็พร้อมใช้วิชาด้นสด และแล้วก็ได้โอกาสเริ่มสัมภาษณ์งานไป 1ที่ ……….2ที่…………. 3่ที่…………… พบว่า

ล้มเหลวจ้า

ความล้มเหลวที่เจอแล้วอยากเอามาแชร์ให้ฟังคือ

  • คุณสมบัติของเราไม่ตรงกับที่เขาต้องการ

อย่างเช่นบริษัทที่เขาอยากได้ data engineer แต่อยู่ในระดับ midlevel, senior แต่คุณสมบัติของเราอยู่ระดับ junior , entry level และยังไม่ตรงในสิ่งที่เขาต้องการ อันนี้ผมก็แนะนำว่า ให้ Move on ถือซะว่าฝึกการสัมภาษณ์งานในสถานการ์ณจริงไป

  • ความพร้อมของเรายังไม่ถึงขั้น

อันนี้แหละที่น่าเจ็บใจ ด้วยความที่เรามั่นอกมั่นใจว่าเราเข้าใจทฤษฎี พอเขียนcode ได้บ้าง แต่พอเจอการบ้านให้ลองทำ กลายเป็นว่าเจอกับคำว่า อิหยังวะ อีกแล้ว

อาจจะเป็นด่านสำหรับการหาคนระดับ senior แต่มาในรูปแบบการบ้านที่ค่อนข้างใช้ skill สูงพอสมควร ซึ่งทำให้ผมถึงบางอ้อว่า

นี้คือระดับที่ขั้นต่ำที่ใช้งานจริงและด่านนี้ผมก็ยอมแพ้ สิ่งที่เราทำได้คือ กลับบ้านแล้วไปซ้อมใหม่ ไปทำโปรเจ็คฝึกความเข้าใจมากกว่านี้ และได้รู้ว่าระดับของเรายังไม่ถึงนะ

ก็สมการเดิมที่ผมเคยกล่าวไป ความโชคดีที่ได้งานมีสองอย่าง คือโอกาสและความพร้อม

ถ้าโอกาสมาถึงแต่เรายังไม่พร้อม มันก็ยากที่เราจะคว้าไว้ได้ จริงมั้ยครับ

ท้อและ เลิกหว่านเรซูเม่แล้วไปฝึกวิชาต่อดีกว่า แต่เอ๊ะ..ใครโทรมาวะ

ช่วงนั้นคือช่วงต้นเดือนธันวา 64 หลังจากผิดหวังไปก่อนหน้านี้ ผมจึงคิดว่าไม่เป็นไรผมยังไม่ล้มเลิกเส้นทางที่อุตส่าวิเคราะห์มา แต่ก็เป็นบทเรียนที่ดีว่าสิ่งที่ผิดพลาดนั้นเราต้องไปแก้ตรงไหนในโอกาสต่อไป

แต่ผมจะไม่หว่านเรซูเม่แล้วในปีนี้ ไปรอฝึกวิชาจนกว่าจะพร้อมในปีหน้าแล้วค่อยว่ากันใหม่แล้วกัน

ผมก็ยังเข้าวิถีเดิมยังคงมุ่งมั่นทำงานเดิมรักษามาตราฐานต่อไป กลับบ้านมาก็เรียน 2 ชม.เหมือนอย่างเคย แล้วคิดว่าจะหาโปรเจคอะไรดีมาฝึกวิชา

ตึ่งต๊ะหลึงๆ ติ้งตึง..ตึง(เสียง ringtone iphone)

ตอนนั้นกำลังทำงานนอกสถานที่อยู่ ก็มีคนโทรเข้ามา HRอยากให้เข้าไปสัมภาษณ์ในตำแหน่งDE

ทำไมเลิกหว่านเรซูเม่แล้วมีคนโทรเข้ามาน่ะเหรอ คือผมหว่านเรซูเม่ไป 3 ล็อต นั้นแหละ

หลังจากผิดหวังไปและคิดว่าล็อตที่ 3 เป็นล็อตสุดท้ายแล้วและผมตั้งใจว่าจะไม่หว่านรอบที่ 4 แล้ว

ซึ่งในล็อตที่ 3 ที่ผมส่งไปก็บังเอิญว่ายังเหลือบริษัทนึงที่เขาพึ่งติดต่อมานั้นเองครับ

ผมถามว่า “สัมภาษณ์วันไหนครับ” เขาบอกว่า

พรุ่งนี้ครับ

ก็นั้นแหละครับ เอ้าๆ ไม่คาดหวังไม่ผิดหวัง ไม่ได้ก็ช่างแม่ง เตรียมสกิลด้นสดไปด้วยแล้วกัน

ไม่คาดหวังก็ไม่ผิดหวัง

ก็สัมภาษณ์โดยตอบคำถามเชิงเทคนิคเท่าที่รู้ตอนนั้น พร้อมทั้งปล่อยไก่บางคำตอบไปด้วย(จริงๆแนะนำว่าถ้าไม่รู้ ก็ตอบไม่รู้ไปครับ อย่าไปแถเลย) หลังจากสัมภาษณ์ก็

หลู่เรื๋อง หลู่เรื๋อง

ตอบได้บ้าง มั่วบ้าง ไม่รู้บ้าง เขียน SQL ลืมsyntax การjoin 2 ตาราง(ตอนซ้อมทำได้ ตอนสัมภาษณ์มันเขียนยังไงวะลืม) แล้วก็สัมภาษณ์จบก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นหรืออะไรเพราะเราก็ไม่ได้คาดหวังอะไรอยู่แล้วครับ

กลางเดือนธันวา64 มีโทรศัพท์เข้ามา เป็นHRผู้หญิงชาวฟิลิบปินส์ โทรมาบอกว่า คอนกราทจูเลชั่น คุณได้งานแล้วนะคะ ประมาณนี้

ตอนนั้นก็สับสนดีใจปนมึนงงเข้าไปอีกเพราะ ตอนสัมภาษณ์งานคุยกับคนไทยนิหว่า ตอนนี้มีHR ชาวต่างชาติโทรมา

เอ๊ะเขาอยู่บริษัทเดียวกันหรือฉันโดนแก๊งคอลเซ็นเตอร์วะเนี่ย เอาแล้วววววว

สรุปหลังคุยจบก็เลยโทรไปถาม HR ที่เป็นคนไทยก็บางอ้อว่า อ๋อ บริษัทเดียวกันนิแหละ

โล่งอก นึกว่าโดนแล้วกู(ฮา)

ครับ ก็บริษัทนั้นเป็นบริษัทแนวconsult ข้ามชาติครับ ก็ค่อยไปเริ่มงานเดือนมกราปี 65

ยิ่งกว่าอดทนก็คือศรัทธา

แต่ถ้าลองมาถอดบทเรียนจริงๆ บางบริษัทเขาก็ต้องการลูกจ้างที่specไม่เหมือนกัน

บางที่เน้นซื้อตัว Tech talent เท่านั้น

บางที่ไม่มีประสบการ์ณไม่เป็นไรเพราะมีระบบเทรนนิ่งที่แข็งแรงอยู่แล้ว

บางที่ต้องการคนที่มีmind set และทรรศนคติที่ดีเข้ากับทีมได้

บางที่ต้องการเด็กจบใหม่ที่มีประสบการ์ณ10ปีด้วยเงินเดือนหมื่นห้าก็มี

ฉะนั้นถ้าเราไม่ผ่านสัมภาษณ์ไม่เป็นไรครับมันอาจจะหมายถึงเราไม่ตรงspecที่เขาต้องการก็ได้ ตรงนี้ผมก็แนะนำว่า Move on แล้วทำต่อไป

คุณอาจจะคิดว่า ผมแค่โชคดีเหลือบ.สุดท้ายแล้วบังเอิญได้งานพอดี แต่สำหรับผมต่อให้บ.นี้ไม่รับผม

ผมก็ยังคงมีแผนการเดิมที่วางเอาไว้ต่อไปในปีหน้าอยู่ดีเพราะหลักการผมที่คิดไว้มันก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

ต่อให้แผนการไม่สำเร็จผมก็ยังกลับไปยังจุดเดิมที่ผมเคยมา ซึ่งคุ้มเสี่ยงที่จะลงแรงลงทุนอยู่แล้ว

แย่สุดก็แค่กลับจุดเดิม ถ้ารุ่งก็ได้เริ่มต้นใหม่

แนวคิดผมตรงนี้แทบทั้งหมดที่คุณอ่านมา ผมก็พึ่งรู้มาจากการไปฟัง podcast แล้วเข้าใจว่า

อ๋อ อันนี้เขาเรียกว่า Resilience skill คือทักษะแนวคิดที่ล้มแล้วลุกได้เร็ว ทักษะที่จะทำให้คุณ “แพ้ไม่เป็น”

  • กล้าที่จะยอมรับความผิดพลาดของตัวเองอิงกับสิ่งที่เลวร้ายที่สุด
  • ค้นหาความหมาย กล้าทบทวนตัวเอง
  • ต่อสู้โดยใช้ทุกสิ่งที่ตัวเองมี แล้ว improvise ไปกับมัน

Resilience ล้มแล้วลุกได้เร็ว ทักษะสำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 21 | The Secret Sauce EP.239

  • การนับถือตัวเอง/เหนคุณค่าในตัวเอง /มั่นใจ
  • ความทะเยอทะยาน/มีชั่วโมงบินเยอะ
  • การเลือกคบคน/ความสัมพันธ์
  • รู้จักการวางตัวให้เหมาะสม/อยู่เป็น
  • ฉลาดในการบริหารชีวิต/สร้างสมดุลให้กับชีวิต
  • ชื่นชมกับความสำเร็จของผู้อื่นอย่างจริงใจ/ไม่ชอบแย่งชิง

RESILENCE ล้ม แล้วลุกขึ้นใหม่ ทักษะที่จะทำให้คุณ “แพ้ไม่เป็น” | THE ARTICLE EP.55

นี้แหละครับที่ทักษะ Resilience จะทำให้เราประสบความสำเร็จในการ reskill ย้ายสายงาน จบใหม่อยากได้งาน

ทักษะนี้แหละที่พาผมมีแนวคิดที่โตขึ้นและกล้าเปลี่ยนแปลงและเอาตัวรอดได้ในยุคใหม่ครับ

เปลี่ยนแปลง

ชีวิตผมเปลี่ยนไปอย่างไรจากงานที่วิศวกรที่ผมต้องเดินไปทำงานต่างจังหวัด ค่ำไหนนอนนั้น ทำงาน6วัน/สัปดาห์ work ไร้ balance มองหาอนาคตตัวเอง5ปีไม่เห็นเลยจนเราต้องลุกขึ้นมาทำอะไรซักอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลง

จนตอนนี้ผมเห็นแล้วว่า 5 ปีต่อจากนี้ผมจะโตไปเป็นอะไร ผมจะทำอะไรให้คนอื่นได้รู้จัก work life balance อย่างน้อยก็มีเสาร์-อาทิตย์ให้ทำอะไรที่รักบ้างนะ

คุณจะเห็นว่าเส้นทางตั้งแต่แนวคิดที่จะเปลี่ยนแปลง หาโอกาสในตลาดแรงงาน ยอมแลกเวลาการใช้ชีวิตของเราเพื่อ reskill จนถึงสัมภาษณ์งาน ใช้เวลาประมาณ 4–5 เดือนซึ่งมันก็ไม่ได้ง่ายเลย

แต่ถ้ามันทำให้ชีวิตคุณดีขึ้นไปอีก5–10 ปีหลังจากนี้ ผมว่าการลงทุนการศึกษาครั้งนี้ คุ้มค่าและน่าเสี่ยงพอที่จะลุยไปกับมัน (เอาไว้งานมันล้นตลาดอีกรอบแล้วเราค่อยมาว่ากันใหม่)

ฝากเทคนิคและแชร์ประสบการ์ณนี้ไว้เผื่อจะเป็นแรงบันดาลใจ จุดไฟให้ลุกโชนมากขึ้น ถ้าสิ่งนี้ทำให้คุณมีชีวิตที่ดีขึ้นก็ทำเลยครับ

Witchaya Morakotsriwan(อาเหว่ย) :writing
My linkedin

ปล.นี้คือบทความที่ตั้งใจเขียนครั้งแรก เฮ้ยเราก็มี skill Copy writing ด้วยนิหว่า(ยอตัวเองแป๊ป555)

--

--