ตั้งค่าพื้นฐาน Raspberry Pi โดยไม่ใช้จอ HDMI และคีย์บอร์ด

Sathittham (Phoo) Sangthong
SS Blog
Published in
8 min readDec 12, 2017

บทความนี้กลับมาเขียนพื้นฐานใหม่อีกครั้ง ให้กับมือใหม่มากๆ ที่อุปกรณ์มักจะไม่พร้อมเท่าไหร่ ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ได้จำเป็นต้องมีครบขนาดทุกอย่างครับ แค่มี Raspberry Pi กับคอมพิวเตอร์ และวงเน็ตเวิร์กเดียวกันได้ ก็ใช้งาน Raspberry Pi ได้แล้วครับ เพียงแค่ 10 ขั้นตอนง่ายๆ ดังต่อไปนี้ครับ

บทความนี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการตั้งค่า และเข้าใช้งาน Raspberry Pi โดยที่ไม่มี Keyboard และหน้าจอ HDMI นะครับ ส่วนใครมีครบก็ใช้วิธีปกติง่ายกว่าครับ

สิ่งที่ต้องใช้

  • Raspberry Pi 3 Model B
  • Micro SD card
  • USB Power Adapter
  • สาย Ethernet หรือ สาย LAN
  • คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (ที่เชื่อมต่อวง Network เดียวกันกับ Raspberry Pi ได้)
  • WiFi Router สำหรับเสียบสาย Ethernet ได้/ หรือจะต่อตรงกับ Computer แทนก็ได้

Step 1: ดาวโหลด OS

  • Raspberry Pi มีระบบปฎิบัติการแบบทางการคือ Raspbian นะครับ
  • สามารถดาวโหลดได้จาก https://www.raspberrypi.org/downloads/
Raspbian OS
  • หรือใครจะลองใช้ระบบปฎิบัติการอื่นๆ ก็มีให้เลือกเล่นได้เล่นกันครับ
3rd Party OS
  • โดยในตัวอย่างนี้เราจะโหลด OS Image ของ Voice Kit SD Image
  • ดาวโหลดมาแล้วจะเป็นที่บีบอัดไว้ ให้ทำการ Unzip ออกมาครับ ซึ่งในที่นี้ผมใช้โปรแกรม 7Zip

Step 2: ติดตั้ง Images OS ลง SD Card

  • ดาวโหลดโปรแกรม Etcher ที่ https://etcher.io/
  • เลือกดาวโหลดตัวติดตั้งที่เหมาะสมกับคอมพิวเตอร์ของเรา(มีทั้ง Windows/Mac/Linux) จากนั้นก็ทำการติดตั้ง
  • ใส่ SD Card เข้าไปที่คอมพิวเตอร์ของเรา
  • เปิดโปรแกรม Etcher
  • กด Browse เพื่อเลือก Image OS ที่เราต้องการจะเขียนลง SD Card
  • ตรวจสอบความถูกต้อง ! ของตำแหน่ง SD Card ว่าใช่ Drive ที่ถูกต้องหรือไม่
  • ถ้าถูกต้องแล้ว กด Flash! ได้เลยครับ
  • รอจนกว่าจะเสร็จครับ (ความนานขึ้นอยู่กับขนาดและความเร็วของ SD Card)
  • ถ้าเสร็จแล้วจะขึ้นว่า Flash Complete!

Step 3: เปิดใช้งาน SSH (Secure Shell)

ตั้งค่าให้ Raspberry Pi สามารถใช้งาน SSH ได้ตั้งแต่เริ่มเปิดเครื่องครั้งแรก

  • ที่ตำแหน่งไฟล์ของ SD Card (boot(E:))
  • ให้เลือก Options หรือเข้าไปที่ Folder Options ก็ได้ครับ
  • เลือกแถบ View
  • uncheck กล่อง Hide extensions for known file types
  • กด Apply และ OK เพื่อออกได้
  • กลับมาที่ตำแหน่งใน SD Card ให้คลิ๊กขวาที่พื้นที่ว่าง เพื่อสร้างไฟล์ใหม่
  • เลือก New > Text Document
  • ให้เราพิมพ์ชื่อไฟล์ว่า “SSH” โดยที่ไม่ต้องมีนามสกุล .txt
  • วินโดว์จะขึ้นเตือน ให้เรากด YES ได้เลยครับ
  • ถือว่าเสร็จพิธี

Step 4: วิธีเข้าใช้งาน SSH ครั้งแรก

กรณีต่อสาย LAN เข้ากับ WiFi Router

ข้อดีของการต่เข้าตรงกรับ WiFi Router คือ ทำให้ Raspberry Pi ของเราสามารถใช้งาน Internet ได้เลยผ่านช่อง Ethernet

  • นำ SD Card ที่ผ่านการตั้งค่า SSH แล้วมาเสียบเข้ากับ Raspberry Pi
  • เสียบสาย LAN เข้ากับ Raspberry Pi ให้เรียบร้อย จากนั้นก็จ่ายไฟ เปิด Raspberry Pi ได้ครับ
  • คอมพิวเตอร์ของเรา จำเป็นต้องอยู่ในวง Network เดียวกันกับ Raspberry Pi ด้วยนะครับ
  • ทำการสแกนหา IP ของ Raspberry Pi ด้วยโปรแกรม Advanced IP Scanner
  • เปิดโปรแกรม Advanced IP Scanner โดยให้เรากำหนดช่วงของ IP ที่เราจะสแกน ซึ่งก็คือ IP ของวง Network ที่เราเชื่อมต่อยู่นั้นเองครับ ในที่นี้คือ 192.168.0.1 — 254 (ใครไม่รู้ ให้ใช้ค่า Default ลองกด Scan ดูเลยครับ)
  • จากนั้นกด Scan แล้วรอสักครู่
  • เมื่อโปรแกรมสแกนเสร็จ จะเห็นอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออยู่กับวง Network นี้ทั้งหมด ซึ่งควรจะมีคอมพิวเตอร์ของเรา และ เจ้า Raspberry Pi ครับ
  • ที่ช่อง Manufacturer จะเห็นของ Raspberry Pi ว่า Raspberry Pi Foundation
  • จดหรือจำ IP ของ Raspberry Pi ของเราไว้ครับ ซึ่งในที่นี้คือ 192.168.0.103 โดย IP นี้จะเป็นช่องทางให้เราเข้าถึง Raspberry Pi ได้ต่อไปครับ
  • เมื่อได้ IP Address แล้ว ก็ถึงเวลาที่เราจะ SSH ได้สักทีครับ
  • ดาวโหลดโปรแกรม PuTTY จาก http://www.putty.org/
  • เปิดโปรแกรม PuTTY
  • ที่ช่อง Host Name ใส่ IP Address ของ Raspberry Pi ไปครับ 192.168.0.103
  • Port เป็น 22
  • Connection type เป็น SSH
  • เสร็จแล้วกด Open ได้เลยครับ
  • ถ้าเข้าใช้งานครั้งแรกจะมี Warning เตือน เราก็กด YES ไปเลยครับ
  • เราก็จะมาสู่หน้าจอ Terminal สีดำๆของ Raspberry Pi แล้ว
  • ล๊อคอินด้วย Default Username และ Password ครับ
  • Username: pi
  • Password: raspberry (เวลาพิมพ์พาสเวิร์ด หน้าจอจะไม่โชว์อะไรเลยนะครับ พิมพ์เสร็จกด Enter ได้เลย)
  • ถ้าเข้าได้ก็จะขึ้น pi@raspberrypi: ~$ ดังภาพครับ

กรณี Fix IP ของ Raspberry Pi เพื่อต่อตรงเข้ากับ Computer

หลายๆครั้ง เราไม่มี WiFi Router เพื่อให้เสียบสาย LAN เราก็สามารถเสียบตรงมาที่ computer ของเราได้เลยเช่นกันครับ

  • ที่ไฟล์ cmdline.txt ใน SD card เพิ่มโค๊ดนี้ลงไปที่บรรทัดสุดท้าย เพื่อเป็นการกำหนด ip address ให้ Raspberry Pi ซึ่งก็คือ 192.168.1.200
ip=192.168.1.200::192.168.1.1:255.255.255.0:rpi:eth0:off
  • ที่คอมพิวเตอร์ ให้ไปตั้งค่า IP address ของเรา
  • เข้าไปที่ Control Panel\All Control Panel Items\Network Connections
  • เลือก Ethernet แล้วคลิ๊กขวาเลือก Properties
  • เลือก Internet Protocol Version 4 (TCP/IPv4)
  • แล้วกด Propeties
  • ให้เราเลือก Use the following IP Address:
  • IP address : 192.168.1.101 (IP Address ที่เราจะกำหนดให้กับพอร์ต Ethernet ในคอมพิวเตอร์ของเรา)
  • Subnet Mask: 255.255.255.0
  • Default gateway: 192.168.1.1
  • เสียบสาย LAN เข้ากับ Raspberry Pi และคอมพิวเตอร์ พร้อมเปิดเครื่องอ
  • ทดสอบได้โดยการ เข้า windows cmd แล้วพิมพ์คำสั่ง
ping 192.168.1.200
  • ถ้าเราทำถูกต้อง ก็ได้สามารถ Ping หา Raspberry Pi ของเราได้ ดังภาพ
  • หรือเช็คที่ Raspberry Pi ของเราที่ คำสั่ง
ifconfig
  • ซึ่งถ้าเราตั้งค่าไ้ดถูกต้อง Raspberry Pi จะได้ค่า IP Address ดังที่เราตั้งไว้

Step 5: เปลี่ยน Password

Raspberry Pi จะมี default password มาให้เรา พื่อความปลอดภัยในการใช้งานในระบบแล้ว เราควรเปลี่ยน password เพื่อไม่ใช้ผู้ไม่ประสงค์ดีเข้าสู่ Raspberry Pi เราได้ง่ายๆ ครับ

  • ที่ Raspberry Pi พิมพ์คำสั่ง
sudo raspi-config
  • เลือก Change User Password แล้วกด Enter
  • กด OK เพื่อเข้าสู่การตั้งรหัสใหม่
  • ให้เราพิมพ์รหัสใหม่ไปครับ (โดยหน้าจอจะไม่แสดงผลลัพธ์ที่เราพิมพ์ไปนะครับ) เสร็จแล้วกด Enter
  • ระบบจะให้เราพิมพ์รหัสใหม่อีกครั้ง เพื่อเป็นการยืนยัน
  • เมื่อพิมพ์รหัสใหม่เสร็จแล้ว ก็กด OK ออกได้ครับ

Step 6: เปลี่ยน Hostname

ในกรณีที่ใช้งานผ่านระบบเครือข่าย จะต้องใช้ชื่อ Hostname ในการดูว่าเครื่องไหนชื่ออะไร ในกรณีที่เรามี Raspberry Pi หลายๆ ตัวในระบบ จะเห็นเป็นชื่อเดียวกันหมด (default จะเป็น raspberrypi) ทำให้เราสับสนได้ ซึ่งต้องมีการเปลี่ยนชื่อ Hostname ครับ

  • ที่ Raspberry Pi พิมพ์คำสั่ง
sudo raspi-config
  • เลือก Hostname แล้วกด Enter
  • กด OK
  • ให้พิมพ์ชื่อ Hostname ใหม่ลงไปครับ ในตัวอย่างนี้คือ myrpi แล้วกด OK
  • เสร็จจะเด้งกับมาที่หน้าหลักของการตั้งค่า ให้เลือก Finish ครับ
  • จากนั้นระบบจะให้ Reboot เราก็กด YES เพื่อ reboot ใหม่ครับ

เหมือนเดิม (เราไม่ได้เปลี่ยน username)

  • password ใหม่ที่เราเพิ่งเปลี่ยนไป
  • จะสังเกตุเห็นว่าที่ cursor บรรทัดสุดท้าย
pi@myrpi:~ $
  • pi คือ username
  • @myrpiคือ hostname ของเรา (ที่เราเพิ่งเปลี่ยนไป)

Step 7: เปิดใช้งาน VNC

เพื่อให้เราสามารถใช้งานหน้าจอแบบ GUI (Graphic User Interface) หรือหน้าจอ Desktop ได้ เราจำเป็นจะต้องเปิดการใช้งาน VNC หรือ Virtual Network Computing ซึ่งก็สามารถทำได้ง่ายๆ ถ้าเปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนเราทำการ team viewer ไปที่ raspberry pi นั้นเองครับ

โดย Raspbian รุ่นปัจจุบันจะมีการบรรจุ VNC Server มาให้แล้ว เพียงแค่เราต้องเปิดให้สามารถใช้งานได้เท่านั้นเองครับ

  • ที่ Raspberry Pi พิมพ์คำสั่ง
sudo raspi-config
  • เลือก Interfacing Options แล้วกด Enter
  • เลือก VNC
  • เลือก YES เพื่อทำการเปิดใช้งาน
  • เลือก OK
  • เมื่อออกมาหน้าหลักของการตั้งค่า ให้เลือก Finish
  • เสร็จแล้วครับ

Step 8: วิธีเข้าใช้งาน Raspberry pi ผ่าน VNC

  • ดาวโหลด Real VNC จาก https://www.realvnc.com/en/ โดยเลือกเหมาะสมกับระบบปฎิบัติการของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เราใช้งานอยู่ครับ
  • เมื่อดาวโหลดและติดตั้งเสร็จแล้ว ให้เปิดโปรแกรม VNC Viewer ขึ้นมาครับ
  • ไปที่ File > New Connection
  • VNC Server: ให้กรอก ip ของ raspberry pi ของเราลงไปครับ
  • Name: เป็นชื่อเรียกเฉยๆ ใส่อะไรก็ได้ครับ ให้เรารู้ว่าเป็นเครื่องไหน
  • จากนั้นกด OK
  • ที่หน้าหลักของโปรแกรม VNC Viewer จะขึ้น icon ของอันที่เราเพิ่งตั้งค่าไปครับ
  • ให้กดไปที่ icon นั้นเลยครับ
  • เมื่อเข้าใช้งานครั้งแรก จะมีหน้าต่างแจ้งเตือน ให้เรากด continue ไปได้เลยครับ
  • เมื่อเข้ามาแล้ว ระบบจะถาม Username/Password ก็ให้เรากรอกเหมือนที่เราใช้งานใน SSH เลยครับ
  • เสร็จแล้วกด OK
  • ก็สามารถใช้งานแบบ GUI ได้แล้วครับ

Step 9: ปรับ Resolution

เมื่อสักครู่เราเข้าไปที่หน้า GUI ได้แล้ว แต่จะสักเกตุเห็นว่า หน้าจอ icon จะใหญ่ ปิดปกติ ซึ่งนั้นเกิดมาจาก Resolution ที่ไม่ถูกต้องครับ โดย default จะเป็น 720 x 480 ถ้าอยากให้แสดงผลได้สวยงาม ก็ต้องมาปรับแต่ง Resolution ให้เหมาะกับเครื่องที่เราใช้ VNC เข้าไป (เครื่อง client)

  • ที่ Raspberry Pi พิมพ์คำสั่ง
sudo raspi-config
  • เลือก Advanced Option กด Enter
  • เลือก A5 Resolution กด Enter
  • เลือก ขนาดให้เหมาะสมกับ เครื่อง client ของเราครับ โดยของผมจะเลือกเป็น DMT Mode 82 1920 x 1080 60Hz 16:9 ครับ เสร็จแล้วกด OK
  • เสร็จจะเด้งกับมาที่หน้าหลักของการตั้งค่า ให้เลือก Finish ครับ
  • กด YES เพื่อ reboot
  • ทดลองเข้า VNC อีกครั้ง จะสังเกตุว่าหน้าจอ raspberry pi ของเราได้มีขนาดตามที่เราปรับแต่งไปแล้วครับ

Step 10: ตั้งเวลา

เนื่องจาก Raspberry pi ไม่มี Real Time Clock อยู่ภายใน จึงใช้การดึงเวลาจาก Internet เป็นหลัก ดังนั้นครั้งแรกที่ใช้งาน เวลาอาจจะไม่ถูกต้อง จึงต้องมีการตั้งค่าเบื้องต้น เพื่อให้ Raspberry pi ดึงเวลาที่ถูกต้องกับ Time zone ของเรากันก่อนครับ

  • ที่ Raspberry Pi พิมพ์คำสั่ง
sudo raspi-config
  • เลือก Localisation Options แล้วกด Enter
  • เลือก I2 Change Timezone
  • เลือก Aisa
  • เลือก Bangkok
  • เสร็จจะเด้งกับมาที่หน้าหลักของการตั้งค่า ให้เลือก Finish ครับ
  • จะสังเกตุว่าเวลาเราได้ถูกปรับมาถูกต้องแล้วครับ

--

--

Sathittham (Phoo) Sangthong
SS Blog

Hi! It's me Phoo! I’m a Software Developer 👨‍💻 , a Startup Entrepreneur 📱 and a Runner 🏃 . Currently, I’m a Co-Founder and CTO of a Startup name “Urbanice”.