ถ้าคุณต้องการเก็บน้ำผึ้ง อย่าเตะรังผึ้ง — สรุปข้อคิดจากหนังสือ How to Win Friends and Influence People

Jariwan Chotinawanon
SCB TechX
Published in
2 min readNov 10, 2023
Credit: Looney Tunes on Giphy: https://giphy.com/gifs/looneytunes-loop-debate-eunDUhLbOz1vEZfFXl

“You can’t win an argument.” — How to Win Friends and Influence People

“มีเพียงวิธีเดียวในโลกนี้เท่านั้นเพื่อชนะการถกเถียงได้ดีที่สุด — และนั่นคือการหลีกเลี่ยงมัน หลีกเลี่ยงมันเช่นเดียวกับที่คุณจะหลีกเลี่ยงงูเห่าและแผ่นดินไหว” อ้างอิงจากหนังสือ How to Win Friends and Influence People เขียนโดย Dale Carnegie (หรือชื่อภาษาไทย “วิธีชนะมิตรและจูงใจคน” แปลโดย อาษา ขอจิตต์เมตต์”)

ขอบคุณ SCB TechX Book Club 📖 ที่ให้ยืมหนังสือ 🙂

ในแต่ละวันเราเผชิญกับเหตุการณ์ที่เราจะต้องเอาชนะใจเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า ลูกค้า พ่อแม่ เพื่อนสนิทอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเสนอ solutions ต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าถูกใจและเลือกบริการของเรา หรือจะเป็นหาคะยั้นคะยอให้พ่อแม่ของเราเปลี่ยนใจทำตามคำขอของเรา แต่วิธีที่เราเข้าหาคนเหล่านั้นช่างเป็นวิธีที่บางทีก็ไม่น่าฟัง หรือฟังแล้วมันขัดหู จนทำตามหรือคล้อยตามหรือได้ buy-in ได้ยาก

หนังสือ “วิธีชนะมิตรและจูงใจคน” เล่มนี้ บอกเล่าวิธีการเอาชนะใจทุกคนที่สามารถทำตามได้แบบง่ายๆ ไม่ซับซ้อน และในบางเทคนิคก็ง่ายมากๆ จนเราอาจจะคิดไม่ถึง

หนังสือเล่มนี้เหมาะกับใคร

  • คนที่อยากชนะใจคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน หัวหน้า สมาชิกในครอบครัว
  • คนที่อยากพูดอะไรใครๆ ก็เชื่อ
  • คนที่อยากพูดในที่สาธารณะเก่งขึ้น

ภาพรวม

หนังสือจัดอยู่ในหมวดหมู่ของ Self-help โดยเขียนขึ้นจากประสบการณ์ของ Dale Carnegie แอบผิดหวังนิดนึงที่เทคนิคส่วนใหญ่ไม่มีหลักการทางจิตวิทยามาสนับสนุนมากเท่าที่คาดไว้

แต่จากเนื้อหาที่ได้อ่านและความโด่งดังของหนังสือแล้ว ก็ทำให้เราอ่าน เชื่อและคิดริเริ่มที่จะทำตามได้ไม่ยากเลย

เดิมทีแล้ว Dale ไม่ได้คิดว่าความรู้และประสบการณ์ที่เขามีเกี่ยวกับมนุษยสัมพันธ์และการพูดในที่สาธารณะจะมี impact อย่างมากและเป็นทักษะที่ใครๆ ก็ต้องการตั้งแต่สมัยนั้นจนสมัยนี้

แต่เมื่อเขาเริ่มจัดคอร์สเรียนในหัวข้อดังกล่าวปลายศตวรรษที่ 19 (หรือค.ศ.1912, ผ่านมาแล้ว 111 ปี!!!) ผู้คนจำนวนมากในสมัยนั้น ไม่ว่าจะเป็นทีมฝ่ายขายของบริษัทต่างๆ ไปจนถึงผู้บริหารต่างพากันมาสมัครเพื่อที่จะเป็นผู้ที่โดดเด่นด้านการพูด

หนังสือของเขาเองก็ติด Best Seller ตั้งแต่ค.ศ. 1936 จนกระทั่งปัจจุบัน รวมทั้งหนังสือเล่มอื่นๆ เช่นกัน เช่น วิธีชนะทุกข์และสร้างสุข (How to Stop Worrying and Start Living) วิธีการพูดในที่ชุมนุม (How to Develop Self-Confidence & Influence People by Public Speaking)

Key takeaways ที่ได้จากหนังสือเล่มนี้

เนื่องจากหนังสือบอกเล่าเทคนิคสำหรับการผูกมิตรที่หลากหลาย จะขอสรุปบางเนื้อหาที่น่าสนใจ

3 เทคนิคพื้นฐานของการจัดการความสัมพันธ์กับผู้คน

ไม่วิพากษ์วิจารณ์ ไม่บ่น ไม่ว่าฝั่งตรงข้ามจะทำผิดพลาดมากแค่ไหน

การวิพากษ์วิจารณ์ไม่เคยก่อให้เกิดประโยชน์อันใดเลย (ลองนับครั้งที่เราวิจารณ์แล้วเกิดประโยชน์สำหรับเราและผู้ที่ถูกวิจารณ์ดูสิ) จดจำไว้ว่า การสนทนาใดๆ สิ่งที่เราต้องการคือน้ำผึ้ง โดยที่ผึ้งจะไม่ต่อยเรา เพราะฉะนั้นใช้คำพูดที่มีประโยชน์อื่นๆ มากกว่าคำบ่นหรือคำวิจารณ์จะดีกว่าและไม่เปลืองแรง

ให้ความจริงใจ

สิ่งที่มนุษย์ต้องการในชีวิตมีไม่กี่อย่างและสิ่งที่ต้องการและมักจะถูกมองข้ามเสมอคือความรู้สึกว่าเราเป็นคนสำคัญ ผู้คนกระหายอยากที่จะเป็นคนสำคัญในแต่ละสถานการณ์ ถ้าเราให้คนเหล่านั้นเป็นคนสำคัญ เขาจะตอบแทนที่เราให้เค้าเป็นคนสำคัญ และมีอยู่ไม่กี่สิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสำคัญคงหนีไม่พ้นการพูดคุยด้วยความจริงใจจะทำให้ผู้คนรู้สึกสำคัญ

ปลุกเร้าความปรารถนาอันแรงกล้าในตัวบุคคลอื่น

โดยปกติแล้วเวลาที่เราต้องการให้คนอื่นทำอะไร เรามักจะพูดถึงสิ่งที่เราอยากให้คนอื่นทำ หรือสิ่งที่เราต้องการ แน่นอนว่าตัวเราเองยังไงๆ ก็สนใจแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น เราไม่เคยสนใจเรื่องของคนอื่นเท่ากับเรื่องของตัวเองแน่นอน และทุกคนก็เป็นเช่นนั้น

การพูดในสิ่งที่ตัวเองต้องการนั้น พูดไปก็สูญเปล่า เพราะผู้ฟังไม่มีใครสนใจมาก ผู้ฟังจะสนใจว่าตัวเองจะได้อะไรจากการทำสิ่งที่ถูกขอให้ทำต่างหาก

วิธีที่ทำให้คนชอบคุณ

จำไว้ว่าชื่อของบุคคลรอบข้างเราคือชื่อที่หอมหวานและสำคัญที่สุดสำหรับบุคคลนั้น

Credit: VH1 from GIPHY: https://giphy.com/gifs/vh1-lhhny-love-and-hip-hop-new-york-sidney-starr-MV1mwCJ5Ysg8l8c5K9

คนโดยเฉลี่ยสนใจชื่อของตัวเองมากกว่าชื่อทั้งหมดบนโลก ควรจำชื่อของบุคคลรอบข้างเราและเรียกชื่อคนเหล่านั้นในการสนทนา แต่หากลืมหรือสะกดชื่อผิด ก็อาจจะไม่ได้แต้มบุญจากคนเหล่านั้นหรืออาจจะได้รับความร่วมมือที่ยากหน่อย

อยากรู้มั้ยว่าคนเราหมกมุ่นในชื่อของตัวเองแค่ไหน ก็ลองสังเกตอาคารบ้านเรือนที่ถูกตั้งเป็นชื่อของผู้ที่อุทิศตนให้หรือบริจาคให้ดูสิ

เป็นเพราะว่าชื่อคนนั้นทำให้เราแตกต่างจากกัน เป็นสิ่งที่ unique ผู้คนจึงหลงใหลในชื่อตัวเองและรู้สึกดีทุกครั้งที่ถูกเรียกชื่อที่ถูกต้อง

(เนื่องจากชื่อเราค่อนข้างแปลกและอ่านยาก ในชีวิตมีคนเรียก/พิมพ์ถูกน้อยมาก จึงขอยืนยันว่าเป็นจริงและใช้เทคนิคข้อนี้ได้ผลแน่นอน 🙂)

เป็นผู้ฟังที่ดี สนับสนุนให้ผู้อื่นพูดคุยเกี่ยวกับตัวเอง

การรับฟังแบบนั้นเป็นหนึ่งในคำชมเชยที่ดีที่สุดที่เราสามารถมอบให้ใครก็ได้ แต่เป็นสิ่งที่ทำได้อยากที่สุดเมื่อพูดคุยกับบุคคลในครอบครัว 😥 จงถามคำถามที่เรารู้ว่าเขาอยากจะเล่าอยากจะพูดให้ฟัง สนับสนุนให้คนอื่นพูดคุยเรื่องของตัวเองและเรื่องที่เขาทำแล้วประสบความสำเร็จ

เพราะว่าทุกคนที่เราพูดด้วยนั้นสนใจในตัวเองมากกว่าที่เราจะสนใจเขาเป็นร้อยๆ เท่าและเขาแทบจะไม่สนใจปัญหาใดๆ ของเราเลย

มีคำที่กล่าวว่า การปวดฟันของคนคนหนึ่งมีความหมายกับตัวของบุคคลนั้นมากกว่าปัญหาอาหารขาดแคลนในประเทศจีนที่คร่าชีวิตมากกว่า 1 ล้านชีวิตซะอีก หรือตุ่มหนองที่คอของตัวเองน่าสนใจมากกว่าแผ่นดินไหว 40 ครั้งในแอฟริกา

วิธีที่ทำให้คุณชนะใจคนอื่น

หลีกเลี่ยงการถกเถียง

โดยปกติแล้ว จาก 9 ใน 10 ครั้งของการถกเถียงจะจบด้วยการที่ต่างฝ่ายต่างเชื่อมั่นในความคิดเห็นของตัวเองอย่างแรงกล้ามากขึ้น! เราไม่มีทางเอาชนะการถกเถียงได้ แม้ว่าคุณจะชนะ คุณก็แพ้อยู่ดี เพราะถึงแม้คุณชนะในการถกเถียงอย่างขาดลอย แต่สิ่งที่คุณได้จากอีกฝ่ายคืออะไรนอกจากความขุ่นเคือง

เมื่อคุณชนะการถกเถียงใดๆ อีกฝ่ายที่แพ้มักจะรู้สึกด้อยกว่าเสมอ ฝั่งที่แพ้จะรู้สึกเสียใจและขายหน้า และเขาจะไม่ยินดีกับชัยชนะของคุณเลย

การเข้าใจผิดไม่เคยจบลงด้วยการโต้เถียง แต่ด้วยความไหวพริบ การทูต การปรองดอง และความปรารถนาอย่างเห็นอกเห็นใจจากมุมมองของอีกฝ่าย เมื่อเกิดการโต้เถียงกันและมีฝ่ายที่เห็นด้วยอยู่ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยและรู้สึกแพ้จะรู้สึกว่าเขาก็จำเป็นในบทสนทนาหรือเหตุการณ์นี้อีกต่อไป ถ้ามีบางประเด็นที่คุณยังไม่ได้คิดถึง จงขอบคุณหากมีคนนำมาเตือนคุณ ความไม่เห็นด้วยนี้อาจเป็นโอกาสของคุณที่จะได้รับการแก้ไขก่อนที่คุณจะทำผิดพลาดอย่างร้ายแรง

อีกอย่างอย่าไว้ใจสัญชาตญาณแรกของเราเอง เพราะปฏิกิริยาตอบสนองตามธรรมชาติแรกของเราในสถานการณ์ที่ไม่เห็นด้วยคือการป้องกันตัว จงระวัง ใจเย็น และระวังปฏิกิริยาแรกของคุณ มันอาจจะเป็นคุณในช่วงที่เลวร้ายที่สุด ไม่ใช่ช่วงที่ดีที่สุดของคุณก็ได้

ทำให้ฝั่งตรงข้ามเซย์เยสถึงสองครั้งในทันที

Credit: This Is Us from GIPHY: https://giphy.com/gifs/nbcthisisus-nbc-this-is-us-the-final-chapter-bSm7ui6ExVru4qamhf

ในการพูดคุยครั้งใดๆ เราควรพูดเน้นถึงเรื่องที่เราและฝ่ายตรงข้ามเห็นตรงกันก่อนเสมอ เสนอว่าเราและเขากำลังต่อสู้เพื่อปลายทางเดียวกัน หรือ frame คำถามให้ฝั่งตรงข้ามเซย์เยสเสมอ

ตัวอย่าง พนักงานธนาคารท่านหนึ่งมักจะประสบปัญหาที่ลูกค้าไม่สามารถระบุชื่อทายาทเพื่อรับผิดชอบหรือรับเงินมรดกต่อได้ (อาจจะขี้เกียจหรือยังนึกไม่ออกว่าจะระบุใคร) วิธีการที่พนักงานใช้ก็คือ ถาม 2 คำถามที่จะทำให้ลูกค้าเซย์เยส และยอมทำตามสิ่งที่พนักงานต้องการ คือ

  • คุณลูกค้าต้องการให้ธนาคารโอนเงินในบัญชีไปให้ทายาทหลังจากคุณลูกค้าเสียชีวิตใช่ไหม (ใช่)
  • คุณลูกค้าคิดว่าดีมั้ยหากคุณลูกค้าจะระบุชื่อทายาทให้ในใบแจ้งธนาคารนี้เพื่อที่ว่าธนาคารจะปฏิบัติตามความต้องการของคุณลูกค้าได้อย่างไม่ล่าช้าและไม่ตกหล่นหลังจากที่คุณลูกค้าเสียชีวิตแล้ว (ดี=ใช่)

เพราะถ้าเราพูดถึงสิ่งที่เราทั้งคู่เห็นตรงกัน การพูดในลำดับถัดไปจะง่าย แต่…ถ้าเริ่มต้นพูด ฝั่งตรงข้ามก็เซย์โนแล้ว คงจะประสบความสำเร็จในการเจรจาได้ยาก เพราะว่าเวลาที่เราเซย์โน (ไม่) สมองของเราจะตั้งท่าปฏิเสธทุกอย่างในสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามจะพูดมา

วิธีที่ทำให้คุณเปลี่ยนคนอื่นได้

ชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดของผู้คนอย่างอ้อมๆ

แน่นอนว่าหลายครั้งการพูดข้อผิดพลาดอย่างตรงไปตรงมาก็คงจะดีกว่าพูดอ้อมๆ แต่การพูดอ้อมๆ ก็ทำให้น่าฟังและไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจใดๆ

ในการพูดคุย จงหลีกเลี่ยงการใช้คำว่า “แต่…” โดยเฉพาะในการตำหนิหรือให้คำแนะนำ เพราะคำนี้เปรียบเสมือนยาพิษ เป็นคำที่ฟังดูแล้วยังไงก็ขัดหู ไม่ว่าความตั้งใจของเราจะดีอย่างไร แต่ผู้ฟังก็รู้เสมอว่าประโยคหลังคำว่า “แต่” นั้นเป็นประโยคที่วิจารณ์แน่นอน เช่น

  • เรามักพูดว่า “อาหารนี้อร่อยดีนะ แต่ถ้าใส่เกลือน้อยกว่านี้จะกลมกล่อมมากเลยล่ะ”
  • ให้พูดว่า “อาหารนี้อร่อยดีนะและถ้าใส่เกลือน้อยกว่านี้จะกลมกล่อมมากเลยล่ะ”

แค่อ่านดูก็รู้สึกว่าตัวเราเองอยากจะได้ยินประโยคแบบไหนมากกว่า คนรอบข้างเราก็อยากได้ยินแบบเดียวกับเราเช่นกัน

ถามคำถามแทนที่จะออกคำสั่ง

ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่กับลูก หรือหัวหน้ากับลูกน้อง หรือพี่กับน้อง ก็ไม่มีใครยินดีกับการถูกสั่งให้ทำนั่นโน่นนี่

การที่คนคนหนึ่งสามารถออกคำสั่งกับอีกคนหนึ่งได้ ผู้ที่รับคำสั่งจะรู้สึกเป็นเบี้ยล่างหรือด้อยกว่าฝั่งตรงข้ามเสมอ

วิธีที่จะรักษาหน้าและความภาคภูมิ รวมไปถึงให้ความสำคัญกับฝ่ายตรงข้าม ทำให้เขารู้สึกอยากให้ความร่วมมือ แทนที่จะต่อต้านและดื้อรั้นกลับมา คือ ถามคำถามที่ทำให้คำสั่งที่อยากจะสั่งนั้นดูเป็นสิ่งที่หอมหวน น่าทำ น่าลอง เพราะคำถามจะไปกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ของบุคคลที่คุณขอให้ทำ คนเรามักจะยอมรับคำสั่งได้มากขึ้นหากพวกเขามีบทบาทในการตัดสินใจในคำสั่ง และจะไม่ค่อยหงุดหงิดที่ถูกบอกให้ทำอะไรบางอย่าง

ชื่นชมพัฒนาการของคนอื่นๆ แม้ว่าจะเล็กน้อยก็ตาม

Credit: ParkerPup from GIPHY: https://giphy.com/gifs/pup-parker-parkerpup-L3urg9t8mPE4IG7VF4

วิธีการนี้เป็นวิธีการเดียวกันกับที่เราใช้ฝึกน้องหมา 🐶 หากสังเกตเวลาที่เราสอนหมาให้นั่ง ยืน หมุน เรามักจะชมหรือให้ฟีดแบ็กเป็นอาหารแม้ว่าน้องหมานั้นจะทำตามได้เล็กน้อยก็ตาม

แต่หลายครั้งในการที่คนสอนคน มักจะใช้คำตำหนิ คำพูดที่ไม่น่าฟังมากกว่าที่เราเลี้ยงน้องหมาซะอีก ทั้งๆ ที่จริงแล้วเราทุกคนก็เรียนรู้และฝึกฝนเหมือนน้องหมาที่เลย เราต้องการคำชมแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม

เพราะคำชมเปรียบเหมือนแสงสว่างให้กับเรา ดอกไม้ไม่อาจเติบโตได้โดยปราศจากแสงสว่างได้ฉันใด มนุษย์ก็ไม่อาจเติบโตโดยปราศจากคำชมโดยเฉพาะกับผู้ที่สอนเราได้ฉันนั้น

อีกอย่างอย่าไว้ใจสัญชาตญาณแรกของเราเอง เพราะปฏิกิริยาตอบสนองตามธรรมชาติของมนุษย์เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เห็นด้วยคือการป้องกันตัว จงระวัง ใจเย็น และระวังปฏิกิริยาแรกของคุณ มันอาจจะเป็นช่วงที่เลวร้ายที่สุด ไม่ใช่ช่วงที่ดีที่สุดของคุณก็ได้

ยังมีเทคนิคอีกมากมายสอดแทรกในหนังสือเล่มนี้ แต่ละเรื่องรวบรวมตัวอย่างจากเรื่องจริงที่น่าสนใจโดยส่วนมากจะเป็นผู้ที่ทำอาชีพระดับสูง เช่น นายกรัฐมนตรีอเมริกาหลายสมัย

จากตัวอย่างเหล่านั้นทำให้เราเห็นข้อบกพร่องในการสื่อสารและผลกระทบของการสื่อสารต่างๆ จนทำให้เราตระหนักถึงการสื่อสารและการจัดการกับผู้คนอย่างมาก

ครั้งหน้าที่เราได้สื่อสารกับใคร อย่าลืมตระหนักถึงวิธีเหล่านี้ คุณอาจจะเป็นเปลี่ยน mood and tone ของการสนทนาได้

--

--