ประสบการณ์การได้ไป WWDC2023

Navee Sratthatad
SET-IT-TEAM
Published in
7 min readJun 28, 2023

บทความนี้จะเล่าถึงประสบการณ์การได้เข้าร่วมงาน WWDC2023 ในปีนี้ ที่อาจจะหาอ่านทั่วไปได้ยาก ก่อนที่จะได้ไปร่วมงาน ผมได้พยายามหาข้อมูลของปี 2022 ว่าผมจะได้เจออะไรบ้าง แต่ไม่ค่อยมีข้อมูลเลย

โดยจะขอเน้นไปที่ Activities ต่างๆในงาน ส่วนที่เป็นสาระน่าสนใจจะขอแยกไปไว้บทความถัดๆไป

WWDC คืองานที่เหล่า iOS Developer ทั่วโลกมารวมตัวกันทุกปี โดยจะปกติจะเปิดตัว Hardware ใหม่ๆ และนำเสนอ Feature ต่างๆ เช่น iOS version ใหม่, MacOS version ใหม่, iPad OS , อื่นๆ

ซึ่งปีก่อนๆจะอยู่ในช่วง Covid ทำให้งานถูกเปลี่ยน Format เป็น Online มาหลายปี

โดยในปีนี้กับปีที่แล้วเค้าได้เริ่มมีปรับ Format เป็นแบบ Hybrid ก็คือมีทั้ง Part Online และ Offline

ซึ่งปีนี้เป็นปีที่โชคดีที่มีโอกาสได้รับตั๋ว กับ ทางตลาดหลักทรัพย์ช่วยสนับสนุนส่งไป ทำให้ได้ไปเข้าร่วมงาน WWDC2023 นี้ที่ Apple Park ในเมือง Cupertino ที่ รัฐ California ประเทศ America

ในฐานะที่ผมเป็น iOS Developer บอกเลยว่าถือว่าเป็นความฝันอย่างหนึ่งเลยที่จะได้ไปเข้าร่วมสักครั้ง ถ้าใครพอจะรู้จักงาน จะรู้ได้เลยว่าการจะได้ตั๋วมานั้นยากมากๆ ต้องเสี่ยง Lottery เพื่อจะได้โอกาสซื้อตั๋วเข้างาน โดยปกติจะอยู่ที่ $1,599 แต่ว่าเนื่องจากปีนี้เป็น Hybrid หลายๆอย่างก็เลยถูกตัดลง จนเราไม่ต้องเสียค่าตั๋ว

โดยงานในปีนี้จะจัดตั้งแต่ 5–9 June โดยจะเป็น Offline บางส่วน และ Session ที่เหลือจะไปอยู่ Online ถึงจะน่าเสียดายที่ยังไม่ได้จัดเป็น Offline ตลอดทั้งสัปดาห์เหมือนปีก่อนๆ แต่ว่าแค่ได้เข้าร่วมก็ถือได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าสัมผัสสักครั้งแล้ว

WWDC Activities

สำหรับใครที่ไม่เคยรับชม WWDC มาก่อนจะขอ Activities คร่าวๆ ของงานให้ฟัง โดยปกติแล้วจะแบ่งออกเป็น

ณ วันแรกของงาน

  1. Keynote : Video นำเสนอ Feature ต่างๆ เช่น iOS version ใหม่, MacOS version ใหม่, iPad OS , อื่นๆ โดยคนทั่วๆไป ส่วนใหญ่จะดูถึงแค่นี้ Session โดยจะเริ่ม 00.00 ณ เวลาบ้านเรา ยาวไปถึง 02.00 ( Session นี้ลง Youtube ให้คนทั่วไปรับชบกับบนเว็บ Apple / App ของ Apple )
  2. Platform State of Union : Video ที่เกริ่นถึง API, Document, การ Develop ต่างๆ ซึ่งเป็น Part ที่เริ่มลงลึกถึงระดับ Code แล้ว โดยจะเป็นภาพรวมต่างๆ ก่อนที่จะไปลงลึกใน Session ย่อยๆในวันถัดๆไป โดยจะเริ่มหลังจากจบ Keynote ซึ่งมันจะดึกมากแล้วถ้าเป็นเวลาไทย ปกติผมเลยต้องมาดูย้อนหลังเอา ( Session นี่เนื่องจากไม่ได้ Target คนทั่วไป แต่เป็น Developer จึงรับชมได้ผ่านบนเว็บ Apple / App ของ Apple เท่านั้น https://developer.apple.com/videos/play/wwdc2023/102/ )

และ ณ วันถัดๆไปจะเป็น

Session ย่อยๆ แยกไปตามแต่ละ Feature เช่น UIKit, WatchOS, SwiftUI, Swift language โดยจะเป็นแนวๆ เราจะ Implement Feature ใหม่นี้อย่างไรนะ หรือแบบ Best Practice ของการทำอันนู้น อันนี้ โดยจะทยอยให้ดูไปเรื่อยๆ จนครบ

โดยจริงๆ ถ้าเป็นจัดในช่วงที่เป็น Offline ล้วนนั้น Session นี้จะเป็นโอกาสอันดีที่ได้พูดคุยกับ Engineer เลย แต่ในปีนี้เค้าก็เตรียม Solution มาให้ ซึ่งเดียวจะกล่าวถึงในภายหลัง ( อันนี้ก็เหมือนข้อที่แล้วจึงดูได้ผ่านเว็บ Apple / App ของ Apple เท่านั้น)

ประสบการณ์การไป WWDC23

แน่นอนว่าอุตส่าห์ได้ไปเข้าร่วมถึงงานแล้วจะขอมาแบ่งปันประสบการณ์ที่ได้รับ ว่าแตกต่างจากปกติที่เรานั่งดูอยู่ที่บ้านอย่างไร พบเจออะไรบ้าง มีอะไรที่ประทับใจบ้าง

โดยงานจัดวันที่ 5–9 June

จะแบ่งงานที่ไปเข้าร่วมก็คือ 3 วัน แล้วที่เหลือจะเป็น Part Online ทั้งหมด เพิ่มเติมก็คือมีให้ Register Slack เข้าไปร่วมพูดคุยแต่ละ Session โดยเค้าจะเปิดให้ถามตอบเป็นช่วงๆ ซึ่งเดียวจะมาเล่าให้ฟังอีกที โดยก่อนถึงวันงานจะมีเปิดลงทะเบียนให้จอง Activities สองอันก็คือ Tour ณ วันงาน (กินเวลาราวๆ 30 นาที)กับ Session ของวันที่ 6 ซึ่ง ณ ตอนนั้นยังคงเป็นความลับว่าคืออะไร

โดย Tour ที่เปิดให้จองจะมีสองอันก็คือ

  1. Inside the Ring (เดินรอบๆ บยวงแหวนยานแม่)
  2. Inner Meadow (อันนี้จะเป็นเดินชมสวนข้างในยานแม่)

ซึ่งเราสามารถเลือกได้อันเดียว โดยเนื่องจากผมได้ไปกับพี่อีกคน ก็เลยแบ่งกันไปคนละอัน โดยผมเลือกเป็น Inner Meadow

กับอีก Session ที่เป็นความลับ เปิดให้จอง 3 ช่วงเวลา เช้า, บ่าย, เย็น ซึ่งไม่แน่ใจว่าแต่ละ Session จะต่างกันมั้ยเนื่องจากไม่ระบุเลยว่าไปทำอะไร

4 June

อาจจะงงๆ เป็นวันที่อยู่นอกช่วงงาน ไปทำอะไร แน่นอน ก่อนเราจะเข้าร่วมงานได้ก็ต้องมี Badge เข้างาน ช่วงบ่ายของวันนี้ Apple จะเปิดให้เราไป Eary Checkin เพื่อรับ Badge สำหรับเข้างานได้ และรับของที่ระลึกจาก Apple ซึ่งถ้าใครถ้าไม่ว่างก็สามารถมา Checkin วันงานช่วงเช้าได้ แต่ว่าเพื่อให้ไม่ลำบาก เราก็รีบไป Checkin กันดีกว่า โดยเราจะไป Checkin ที่ Apple Infinite Loop

Apple Infinite Loop
รับ Badge เรียบร้อย

โดยของที่ระลึกที่ได้รับจาก Apple ก็คือของดังนี้

  1. กระเป๋าผ้า
  2. เข็มกลัด
  3. หมวก
  4. กระติกน้ำ

สำหรับความประทับใจแรกเลยที่มาถึงงานก็คือ Energy ของพนักงาน ที่คุณจะสัมผัสไม่ได้ในการเข้าร่วม Event ที่ไทยเลย โดยพนักงานทุกคนจะมาตะโกนกล่าว Welcome แบบฮึกเหิม ยินดีที่เราได้เข้าร่วมจริงๆ

ถ้าเคยลงงานวิ่งแล้วตอนจะเข้าเส้นชัย ที่มีคนมายืนเยอะๆ แสดงความยินดี Feeling แบบนั้นเลย (จริงๆ เคยได้ไปเข้าร่วม Google I/O ก็ยังไม่ได้ขนาดนี้)

จุด Checkin รับของที่ระทึก เอ้ย ระลึก

โดยเข้าไปหลัง Checkin จะเป็นซุ้ม พร้อมอาหารมากมาย ให้เดินหยิบ แล้วมีที่นั่งให้นั่งเพื่อทำ Connection กัน ก็ได้มีโอกาสได้คุยกับคนในงาน ก็มีเจอเป็นผู้ชนะ Swift Challange Student ในปีนี้ และอื่นๆ ( ทุกๆปี Apple จะเปิดโอกาสให้นักศึกษาเขียนแอพส่งผลงานมา ถ้าผ่านก็จะได้รับโอกาสมางาน )

นอกจากจะมีโต๊ะแล้วก็ยังมีอุปกรณ์ให้เล่นคลายเครียดด้วย

ก็จบลงไปวันนี้เตรียมตัวเข้าสู้งานจริงๆ พรุ่งนี้

5 June

มาถึงวันงาน โดยเราจะได้รับโอกาสเข้าสู่ Apple Park

แน่นอนว่าถือว่าพิเศษมากๆ เพราะการเข้า Apple Park ปกติไม่ได้เปิดให้คนภายนอกเข้าอยู่แล้ว จะได้เห็นยานแม่ที่ล่ำลือกันว่าจะสวยงามขนาดไหน

09.00 มาถึงงานโดยจะต่อแถวทยอยเข้าไป โดยหน้างานก็จะมีตรวจสอบความปลอดภัยทั่วๆไป ซึ่งระหว่างต่อแถว ก็มีขนมกับกาแฟให้ทานได้

แน่นอนเมื่อมาถึง Energy ที่ได้เจอมาเมื่อวันก่อนก็ยังไม่หมดลง พนักงานทุกคนยังคง Excite ที่จะได้จัดงานให้ผู้เข้าร่วม โดยจะมีกิจกรรมกระตุ้นผู้เข้าร่วมเป็นระยะๆ เช่น ให้ทุกคนในแถวตะโกนตาม

“DUB DUB DC”

ฟิลด์เหมือนมา Concert อะไรอย่างงั้นเลย

หลายๆคน อาจจะงง แปลว่าอะไร แบบผมสมัยแรกๆ จริงๆก็คือ การออกเสียง WWDC นี่แหละ

ต่อแถวเพื่อเข้าไปสู่ Apple Park

หลังจากผ่านประตูเข้าไปแล้ว ก็จะมาเจอยานแม่อันยิ่งใหญ่ของเรา

บริเวณรอบนอกวงแหวน

แล้วได้เดินไปเจอกับบุคคลสำคัญที่ช่วยให้เกิดทริปนี้ ก็คือคุณ Angeline ที่เป็น Apple Partnership ที่สิงค์โปร์

ถ่ายรูปกับคุณ Angeline

จากนั้นเดินไปเรื่อยๆจะถึงจุดที่รับชม Keynote กัน แน่นอนว่าเต็มไวมากที่นั่งใกล้ๆ ก็เลยได้มานั่งถัดไปหน่อย

5 June — Keynote

10.00 ก็เริ่มเปิด Keynote เป็นการเปิดตัว iOS 17, iPad OS 17, Watch OS10, MacOS Sonoma ไปเรื่อยๆ

แน่นอนปีนี้ Highlight ที่เราต้องไม่พลาดมาชม Meme ของ Craig Federighi โดยปีที่แล้วผมชอบมากกับการวิ่ง (https://www.youtube.com/watch?v=j-Eu-3PyzXQ)

Craig Meme ตอนปี 2022

โดยปีนี้ก็มีสอง Meme ที่ผมสะดุดตาก็คือ

เรียก iPad แบบเรียกค้อนของ Thor
กีตาร์ 3 แฉกในตำนาน

สำหรับผมแล้ว ทั่วๆไปในงาน WWDC จะมี Feature ใหม่ที่ว้าวๆ ต้องมานั่งคิด ว่าจะเอา Feature นั้นไปทำอะไรดี เอาไปประยุกต์ใช้กับแอพเราได้บ้าง อย่างปีก่อนก็มี Live Activities แต่ปีนี้หลังจากที่ฟัง ส่วนใหญ่จะเป็นการ Enhancement จากของเก่าๆสะมากกว่า เช่น Widget Interactive ที่เพิ่มขึ้นมาจากเดิม Widget ทำหน้าที่โชว์ข้อมูลเฉยๆ หรือ Live Activities ที่ขยายไปลง iPad จากเดิมที่มีแค่บน iPhone

ณ ตอนนั้นรู้สึกว่าดูจะยังไม่ค่อยมีอะไรเลยจนกระทั่ง . . .

Tim Cook พูดประโยคนั้นพูดขึ้นมา

“We do have one more thing”

ความรู้สึกขนลุกก็ขึ้นมาเลย ใช่แล้ว ก็คือการเปิดตัว Vision Pro

Vision Pro จริงๆก็คือได้ยินข่าวลือมาเยอะเลย รวมกับประโยคเชิญเข้างาน ก็ลือกันว่าจะออกมาเป็นไม่ AR ก็ VR แต่ผลิตภัณฑ์ที่ออกมาเรียกว่าได้ฉีกแนวจากตลาดทั่วไปทั้งหมด (รวมทั้งราคาด้วย $3599 ด้วยนะ)

แต่ถ้าพูดถึงความเป็นไปได้ในการเปิดตลาดใหม่ๆแล้ว เรียกว่ามีอะไรที่น่าติดตามมาก

โดย Vision Pro นั้นเปิดตัวมาคู่กับ VisionOS ซึ่งมีรากฐานมาจากทั้ง iOS,iPadOS,MacOS

ซึ่งเราสามารถ Port แอพปัจจุบันมาลงได้เลย โดยจะเปิดเป็น Window

การเปิดแอพแบบ Window ขึ้นมา

แน่นอนว่า Vision Pro มันไม่ได้ออกแบบมาแค่นั้น ถ้าเราอยากจะใช้ประโยชน์ให้เต็มที่ เราก็จะต้องพัฒนาให้ Application ของเราดึงความสามารถมาได้สูงสุด เช่น ถ้าอย่างแอพหนัง แทนที่เราจะโชว์ Screen หนัง เราสามารถดำดิ่งไปสู่อีกโลกได้ เรียกว่าเป็นการรับประสบการณ์แบบ Spatial

แน่นอนว่าเราจะดึงอรรถรสมาได้นั้น เราต้องเปลี่ยนมุมมองการออกแบบทั้งหมด ซึ่งเป็นอีกความท้าทายเลยทีเดียว นอกจากนั้นยังมีเรื่อง Gesture, การมอง และอื่นๆ

เนื่องจาก Vision Pro รับ Input ได้หลักๆ 3 ช่องทาง การจะทำให้แอพพลิเคชั่นเราออกมาสมูธนั้น ต้องมาศึกษาเพิ่มอีกเยอะกับตัว VisionOS

ในช่วงแรกเราสามารถลองได้ผ่าน Simulator บน MacOS เท่านั้น ซึ่งในอนาคตเค้าจะมี Lab ในบางประเทศให้เราสามารถ Register เพื่อเอาแอพไปทดสอบกับเครื่องจริงได้ (ยังไม่มีประเทศไทยใน List )

หลังจากจบ Keynote ไปก็ขนลุกเลยทีเดียว

จากนั้นก็จะมีพักเบรคสักครู่

5 June — Break

แน่นอนว่ามีอาหารให้เลือกมากมาย และที่สำคัญ ฟรีและอร่อยด้วย

พิซซ่า Vegan

โดยเมื่อรับข้าวแล้วเราสามารถออกไปนั่งทานบริเวณข้างใน พร้อมชมสายรุ้งอันงดงาม

ถ่ายคู่กับสายรุ้ง

สิ่งสะดุดตาอีกอย่างของผมในช่วง Break นั้นก็คือห้องน้ำ จะมี Zone ห้องน้ำแบบไม่มีเพศ ใช่แล้วทั้งผู้หญิง ผู้ชายเข้าห้องเดียวกันได้หมด ข้างในจะเป็นห้องน้ำแบบกั้นปิดสนิท ตอนแรกก็งงๆ ทำไมมีทั้งผู้หญิงและผู้ชายต่อแถวเดียวกัน

หลักจากพักเสร็จแล้วก็เตรียมลุย Session ต่อไป

5 June — Platform state of union

Session นี้เป็น Session สำหรับ Developer เป็นหลัก สื่อไม่คิดว่าจะมาดู Session นี้ ทำให้จำนวนคนที่ดูน่าจะเริ่มหายไป บวกกับสื่อน่าจะถูกเชิญไปสัมผัสตัว Vision Pro กัน ทำให้ผมมีโอกาสขยับขึ้นไปหน้าข้างหน้า

โดยหลักใน Session นี้จะเป็นลงลึกระดับ Code แต่จะเป็นแค่น้ำจิ้มๆ ของแต่ละ Feature เท่านั้น ถ้าสนใจ สามารถไปเข้าร่วม Session Online ในวันถัดๆไปได้

โดยที่มีน่าสนใจสำหรับผมไม่นับตัว Vision Pro ก็คือตัว

Swift Macro โดยจะเป็นการสร้าง Syntax คล้ายๆ annotation ที่จะช่วยลดโค้ดให้ Clean ขึ้น

5 June — Tour & Talk with Engineer

ถ้าจำที่เราลงทะเบียนไว้ได้ ก็ถึงเวลาแล้วที่เราจะได้ไป Tour บริเวณ Apple Park กัน

โดยในช่วงนี้ หากเราไม่มีกิจกรรมอะไร เราสามารถไป Talk With Engineer ตามแต่ละเรื่องต่างๆที่น่าสนใจ โดยเค้าจะยืนแต่ละจุดตามเรื่อง ให้เราเข้าไปคุยได้

ก็เริ่มที่ Inner Meadow

โดยจะต่อแถวเพื่อตรวจสอบรายชื่อ หลังจากเรียบร้อย เค้าก็จะแบ่งกลุ่มให้ราว 20 คนไปกับ Guide ที่น่าจะเป็นพนักงานแอปเปิ้ล ที่จะคอยเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสถานที่ที่เราไป

ถ้าดูรูป Apple Park ข้างล่างจะเห็นได้ว่าหลักๆก็คือมีวงแหวน กับสวนตรงกลาง โดยที่ๆเราจะไปก็คือสวนตรงกลางนั่นเอง

Apple Park

Inner Meadow

เนื่องจากคนเยอะ เสียงเลยตีกัน อาจจะมีฟังผิดๆถูกๆบ้าง

สถาปัตยกรรมแห่งนี้จะสูง 4 ชั้น เน้นรับลมเข้าออกจากธรรมชาติ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเปิดแอร์ตลอดเวลา ข้างในสวนจะเน้น Sustainabllity โดยมีพืชพรรณ ธรรมชาติมากมายเท่าที่จะมีได้ โดยทุกฤดูแทบไม่ต้องกลัวเลยจะไม่มีผลผลิต เพราะหมุนเวียน เลือกปลูกครอบคลุม Balance กัน ซึ่งผลผลิตที่ได้จะเอาไปขายใน Cafe

แน่นอนว่าผลไม้เยอะขนาดนี้ Guide เค้าก็ถามว่ารู้มั้ย Apple พันธุ์ไหนไม่โตในนี้

-> Apple Macintosh . . . แห่

โดยระบบน้ำเค้าเลือกใช้เป็น Groudwater โดยรับจากน้ำฝน ซึ่งเลือกที่จะไม่ใช้ Springer เพราะว่าเปลืองน้ำเวลาพ่น

โดยจากนั้นก็ได้เดินไปเจอบ่อน้ำ เรียกว่าเป็นจุดที่ผมชอบมากๆ โดยเฉพาะ Concept เค้าบอกว่าสร้างบ่อน้ำนี้ให้เป็นที่แหล่งพักผ่อน ไม่ให้ต้องคิดถึงงาน ถ้าสังเกตุดีๆ จะเห็นว่าเราจะไม่เห็นตึกสักนิด ต้นไม้จะบังทั้งหมด เพราะเป็นความจงใจไม่ให้เห็นตึก เพื่อจะได้ลืมทุกอย่าง ไม่นึกถึงงาน

นอกจากนี้บ่อเค้ายังมีความเก็บรายละเอียด มีทำเป็นจุดให้เป็ดเดินเข้าออกได้

จากนั้นวนมาที่ตรงกลางที่เป็นสายรุ้ง โดยสายรุ้งนั้นจริงๆ ไม่ได้กะจะทิ้งไว้ถาวรแต่เกิดจากงานเปิดตัวที่ Lady Gaga มาแสดง โดยเค้าออกแบบสายรุ้งมาให้สวยทุกมุม ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน พอมันสวยมากๆ เค้าก็เลยเลือกที่จะเก็บไว้ก็เลยอยู่มาทุกวันนี้

Talk With Engineer

จากนั้นได้แว๊บไปแอบดูโดยเค้าจะแบ่งโซนต่างๆดังนี้

หลังจากดูได้แป๊ปเดียว ก็เหมือนเค้าเปิดโอกาสให้ชมอีก Tour นึงได้ก็คือ ซึ่งนึกว่าจะได้ไปแค่ Tour เดียว ก็เลยไปอีกอันด้วยเลย

Inside the Ring

แน่นอนโอกาสที่เราจะได้ขึ้นบนวงแหวนมีไม่มาก ก็เลยต้องคว้าไว้

โดยได้มีโอกาสขึ้นไปชั้นบน มองลองมา แล้วเค้าก็เล่าสถาปัตยกรรมโดยสังเขป คร่าวๆ ก็คือ แบบที่เคยกล่าวใน Tour ก่อนก็คือ พยายามรับลมภายนอกมาเพื่อให้ประหยัดพลังงานที่สุด

นอกจากนี้ยังได้พาไปข้างล่างโดยจะได้พบกับนิทรรศการ แล้วก็ยังพบกับความไฮโซก็คือ เค้าเอา Bank มาเปิดในนั้นเลยสาขานึง ให้พนักงานได้ทำธุรกรรมได้สะดวก

Bank หนึ่งเดียวใน Apple Park ที่ยกมาตั้งสาขาในนี้

หลังจากจบ Inside the Ring ไป ยังไม่ทันได้กลับไป Talk with Engineer ก็เริ่ม Session ถัดไปแล้ว ก็เลยถือว่าพลาดโอกาสไป แต่ว่าจริงๆ ยังสามารถเก็บคำถามไปถามได้ใน Slack อีก ซึ่งเดียวจะกล่าวถึงภายหลัง

5 June — Apple Design Award

เป็น Session ที่จะประกาศรางวัลผู้ชนะในด้านต่างๆเกี่ยวกับ Design ของปีนี้

โดย Highlight ที่สำคัญที่น่ายินดี ก็คือมีแอพไทยที่ได้รางวัลก็คือ

แอพลิเคชั่น Stitch ที่เป็นเกมจาก Lykke Studios (ประเทศไทย)

หลังจากจบ Session ก็ได้ประกาศว่าจะมี Session ลับตอนเย็น ก็คือ จะได้ไปสัมผัส Vision Pro นั่นเอง

5 June — Vision Pro at Steve Job Theater

หลังจากต่อแถวสักพักก็จะได้เดินทางไปสู่ Steve Job Theater ที่จะมีจัดวาง Hardware ใหม่ๆที่เปิดตัวในปีนี้ได้แก่ Macbook, Mac Studio รวมไปถึง Highlight ก็คือ Vision Pro

Steve Job Thether

โดยตัว Vision Pro จะอยู่ข้างล่าง เราต้องลงบันไดเพื่อไปดู

Vision Pro

ที่น่าเสียดายก็คือเนื่องจากผู้เข้าร่วมเยอะ และเวลามีน้อย เลยทำให้มีโอกาสได้ถ่ายรูปไม่เยอะมาก ก็ต้องเดินไป กับแอบหวังเล็กน้อยว่าอาจจะมีโอกาสได้ลองเล่นใน Session นี้

5 June — Ending

ก็ถือว่าจบงานไปแล้ว ช่วงเย็นก็จะมีอาหารให้รับประทานก่อนเดินทางกลับที่พัก

6 June — Session ณ Apple Developer Center

เป็น Session ลับที่ไม่มีรายละเอียดไว้ล่วงหน้า ที่ได้จองไว้ ตอนแรกก็มีแอบหวังว่าจะได้เล่น Vision Pro

Session นี้จะเป็นการเล่าถึงสถานที่นี้ ว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง Studio เค้าสามารถทำได้ทุกอย่าง ออกแบบมาเพื่อให้ใช้สอนอะไรก็ได้

จากนั้นก็จะเป็น Session Sneak Peak ตัว Vision Pro SDK โดยใน Session นี้จะมีการ Demo ความสามารถของ Vision Pro ให้ กับตัว API เป็นแบบคร่าวๆ

ซึ่งเค้าห้ามไม่ให้ถ่ายวีดีโอ แต่ถ่ายรูปได้อย่างเดียวเท่านั้น เนื่องจากห้ามหลายอย่าง ไม่แน่ใจว่าจะสามารถเล่าได้มั้ย ก็เลยจะไม่ขอลงรายละเอียดมากนัก

หลังจากจบงาน ก็จะมี Session ให้เราได้คุยกับ Engineer ที่ทำ Vision Pro โดยตรง เท่าที่ได้มีคุยดู เค้าจะ Prefer ตัว Swift UI เป็นหลักมากกว่า เนื่องจากออกแบบ Feature หลายๆอย่างมาให้เหมาะแก่การเอาไปต่อยอด

6 June — 9 June — Online Session & Slack Event

ถัดจากนี้จะเริ่มเป็น Session Online ที่เป็นคลิป โดยจะค่อยๆปล่อยมาแต่ละช่วงเวลา เช่น 7.00 เรื่องนี้ 8.00 เรื่องนี้ ให้เราทยอยไปดูเรื่องที่น่าสนใจ

โดย Topic หลักๆจะมี Category ดังนี้

นอกจากนี้ยังมี Slack ที่เราสามารถไปร่วม Join ได้

โดยแต่ละช่วงเวลาเค้าจะเปิดให้เราไปทิ้งคำถาม เช่น 13.00–15.00 แล้วจะมี Engineer Apple มาตอบ บวกกับ อาจจะมีผู้เข้าร่วมคนอื่นที่ถ้าเค้ารู้ ก็จะช่วยตอบให้ได้ โดยอาจจะเป็นคำถามเกี่ยวกับ App เรา หรือ คำถามเกี่ยวกับ Feature ก็ได้

แน่นอนพอเป็น Slack แบบนี้ สิ่งที่ผมชอบก็คือ เราสามารถอ่านคำถาม คำตอบคนอื่นได้ทั้งหมด ซึ่งจะทำให้เราได้เห็นมุมมองใหม่ๆ ว่า Developer ยุคนี้ว่าเค้าสนใจอะไร ติดปัญหาอะไรกัน แค่มานั่งไล่อ่านก็ได้ความรู้มากๆแล้ว ซึ่งบางคำถามก็มีคำถามที่ผมสนใจ เช่น อนาคตของ UIKit กับ SwiftUI ก็อาจจะไม่ต้องไปถามซ้ำกับเค้า

ซึ่งนอกจากจะมีถามตอบคำถามแล้ว ยังมี Session เช่นแบบ Watch Party ไปด้วยกัน พร้อมกับหลังดูจบก็จะมีตอบคำถาม เป็นต้น

อีกทั้งเรายังสามารถ Submit เพื่อ 1 on 1 กับ Engineer ได้โดยตรงในบางวัน เกี่ยวกับปัญหาที่อยากรู้ ถ้าเค้า Approve ก็จะเริ่มการนัด ซึ่งคำถามที่หลักๆ ได้ถามไปใน Slack แล้วก็เลยไม่ได้เข้าร่วมอันนี้

ก็จะเป็นแบบนี้จนถึงวันสุดท้ายแล้วก็จบลง เนื่องจากค่อนข้างยาวแล้ว บทความหน้าเจอกันใหม่ จะพยายามหา Session ที่น่าสนใจในงานมาเล่าอีกที

สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณทางตลาดหลักทรัพย์ที่ได้สนับสนุนส่งไป กับทาง Apple Partnership Singapore ที่ได้ช่วยอะไรหลายๆอย่างจนสามารถไปได้ รวมถึงพี่ที่ไปร่วมงานกับผม ถือเป็นประสบการณ์หนึ่งในชีวิตที่ได้ไป เรียกว่า Complete ไปหนึ่งอย่างในฐานะ iOS Developer

--

--