These are the most climate-damaging foods.

อาหาร 9 อย่างที่สร้างความเสียหายต่อสภาพอากาศมากที่สุด

จากหัวข้อข้างต้น หลายๆคนคงจะสงสัยว่าอาหารต่างๆที่เรากินเข้าไป มันจะส่งผลทำให้สภาพอากาศเสียหายได้อย่างไร ไม่น่าจะมีความเกี่ยวข้องกันเสียเท่าไร วันนี้เราจะพาทุกคนมาศึกษาอาหารเหล่านี้กัน

  1. Beef (เนื้อ)
Jupiterimages

เนื้อวัวถูกได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นอาหารที่สร้างความเสียหายต่อสภาพอากาศมากที่สุด

การศึกษาในปี 2017 โดยสภาป้องกันทรัพยากรธรรมชาติด้านการบริโภคอาหารในสหรัฐอเมริกาหรือ NRDC คำนวณว่าเนื้อวัวแต่ละกิโลกรัมปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 26.5 กิโลกรัม ซึ่งสูงที่สุดในบรรดาอาหารทั้งหมดที่พบในการศึกษา และมากกว่าเนื้อไก่หรือไก่งวงถึงห้าเท่า

ในภาคอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์มีส่วนรับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 14.5% ของโลก ตามข้อมูลขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (UN’s Food and Agriculture Organization) ทำให้เป็นส่วนสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จากการปล่อยมลพิษเหล่านั้น 65% มาจากเนื้อวัวและโคนม

การลดการบริโภคเนื้อวัวเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมการปล่อยมลพิษทั่วโลก จากข้อมูลของ NRDC ระบุว่า ปัจจุบันชาวอเมริกันบริโภคเนื้อวัวน้อยกว่าที่พวกเขากินในปี 2548 ถึง 19% ซึ่งเทียบเท่ากับการลดการปล่อยมลพิษ 185 ล้านเมตริกตัน หรือมลพิษในท่อไอเสียต่อปีจำนวน 39 ล้านคัน

แต่ทำไมเนื้อถึงไม่ดีล่ะ?

“อาหารสัตว์ส่วนใหญ่ผลิตขึ้นโดยใช้สารกำจัดศัตรูพืชและปุ๋ยจำนวนมาก ซึ่งต้องใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล” สุชาธา เบอร์เกน หนึ่งในผู้เขียนการศึกษาอธิบาย

“นอกจากนี้ ระบบย่อยอาหารของวัวยังผลิตก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีศักยภาพมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 25 เท่า และมูลสัตว์จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มเติม”

2. Lamb (เนื้อแกะ)

PETER PARKS/AFP/AFP/Getty Images

เนื้อแกะซึ่งได้รับการยืนยันเป็นอันดับสองว่าในส่วนของเนื้อแดงนั้นถูกใช้เป็นแหล่งอาหารมากเป็นพิเศษ และด้วยเหตุนี้จึงสร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม การศึกษาของ NRDC คาดการณ์ว่าสำหรับเนื้อแกะที่บริโภคแต่ละกิโลกรัมจะมีการปล่อยมลพิษ 22.9 กิโลกรัม

การผลิตเนื้อสัตว์ยังต้องการอาหารสัตว์จำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นข้าวโพดที่ใช้ทรัพยากรมาก และถั่วเหลือง ปุ๋ยสังเคราะห์และปุ๋ยคอกที่ใช้ในการปลูก ยังปล่อยไนตรัสออกไซด์ ซึ่งเป็นสารก่อมลพิษที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 298 เท่า

3. Butter (เนย)

Riou/Digital Vision/Getty Images

เนย อาหารที่สร้างความเสียหายมากที่สุดเป็นอันดับสาม เนย 1 กิโลกรัมเท่ากับคาร์บอนไดออกไซด์เกือบ 12 กิโลกรัม หรือประมาณครึ่งหนึ่งของเนื้อวัว มันอยู่ในห่วงโซ่อุปทานเดียวกัน ทำให้โคนมและโคเนื้อเป็นฝันร้ายของนักสิ่งแวดล้อม

แม้ว่าชาวอเมริกันจะลดการบริโภคเนื้อแดงลงอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา NRDC รายงานว่าเนยและผลิตภัณฑ์จากนมอื่นๆ เช่น ชีสและโยเกิร์ต ได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงเวลาที่สังเกตพบ ระหว่างปี 2005 ถึง 2014

เนยเป็นตัวทำลายสภาพอากาศมากที่สุดของผลิตภัณฑ์นมทั้งหมด เนื่องจากมีขั้นตอนหลายอย่างในการผลิตที่ใช้พลังงานมาก

“ตัวอย่างเช่น การผลิตเนยต้องแยกน้ำนมดิบออกเป็นนมไขมันต่ำและครีม พาสเจอร์ไรส์ครีม ทำให้เย็นลง ครีมสุกและปั่นป่วน” สุชาธา เบอร์เกนกล่าว

4. Shellfish (สัตว์น้ำประเภทที่มีเปลือก เช่น กุ้ง หอย ปู)

Brendon Thorne/Getty Images AsiaPac/Getty Images

สัตว์ประเภทกุ้ง หอย และปูทำให้สิ่งแวดล้อมต้องเสียคาร์บอนไดออกไซด์ 11.7 กิโลกรัมต่ออาหารที่ผลิตได้ทุกๆ กิโลกรัม ซึ่งน้อยกว่าเนยเพียงเล็กน้อย นอกจากนม เนื้อหมู และน้ำเชื่อมข้าวโพดฟรุกโตสสูง ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายเป็นสารให้ความหวานในน้ำอัดลม สัตว์กลุ่มนี้เป็นอาหารหลักที่คนอเมริกันรับประทานน้อยลง โดยรวมแล้ว การเปลี่ยนแปลงในอาหารอเมริกันตั้งแต่ปี 2005ส่งผลให้มลภาวะทางสภาพอากาศต่อหัวที่เกี่ยวข้องกับอาหารลดลง 10% ตามข้อมูลของ NRDC

5. Cheese (เนยแข็งหรือชีส)

Joe Raedle/Getty Images North America/Getty Images

ผลิตภัณฑ์นมอีกประเภทหนึ่ง ได้แก่ ชีส ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 5 มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 9.8 กิโลกรัมต่อกิโลกรัมที่ผลิตได้

“ในรายการของเราคือค่าเฉลี่ยของชีสทั่วไปหลายชนิด” สุชาธา เบอร์เกนอธิบาย

“อย่างไรก็ตาม ชีสที่ต้องขนส่งในตู้เย็นหรือบินมาจากต่างประเทศ มีแนวโน้มที่จะมีผลกระทบต่อสภาพอากาศที่สูงขึ้น”

6. Pork (เนื้อหมู)

Joe Raedle/Getty Images North America/Getty Images

เนื้อหมู 1 กิโลกรัมปล่อยคาร์บอนได้ 7.9 กิโลกรัม NRDC ประมาณการว่าการเปลี่ยนแปลงในอาหารอเมริกันสามารถหลีกเลี่ยงมลพิษจากภาวะโลกร้อนได้ประมาณ 271 ล้านตันระหว่างปี 2005 ถึง 2014 ซึ่งเทียบเท่ากับมลพิษในท่อไอเสียรถยนต์ 57 ล้านคันในหนึ่งปีโดยประมาณ ในรายการอาหารที่มีส่วนทำให้การลดลงนี้มากที่สุด หมูเป็นอันดับสามรองจากเนื้อวัวและน้ำส้ม

7. Veal (เนื้อลูกวัว)

PHILIPPE HUGUEN/AFP/AFP/Getty Images

อีกรายการหนึ่งที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานเนื้อวัวและโคนม เนื้อลูกวัวมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่ำกว่าเนื้อวัว เนื่องจากลูกโคจะถูกฆ่าเมื่ออายุยังน้อย โดยทั่วไปแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 20 สัปดาห์เทียบกับ 18 เดือน แต่ละกิโลกรัมสร้างการปล่อยคาร์บอน 7.8 กิโลกรัม ตามข้อมูลของ NRDC

8. Chicken (เนื้อไก่)

Courtesy Neil Conway/Creative Commons/Flickr

การกินเนื้อไก่ให้น้อยลงเป็นหนึ่งในปัจจัยที่นำไปสู่การลดการปล่อยมลพิษต่อหัวที่เชื่อมโยงกับอาหารในสหรัฐอเมริกา แต่สัตว์ปีกยังคงติดอยู่ใน 9 อันดับแรก โดยมีแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า 5 กิโลกรัมต่อผลิตภัณฑ์หนึ่งกิโลกรัม

9. Turkey (ไก่งวง)

ไก่งวงมีคาร์บอนฟุตพริ้นท์เท่ากับเนื้อไก่ โดยปล่อยมลพิษประมาณ 5 กิโลกรัมต่อเนื้อสัตว์หนึ่งกิโลกรัม

NRDC ได้ยกเว้นอาหารบางประเภทที่คนส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคยหรือหลีกเลี่ยงได้ยากจากรายการนี้ เนื่องจากมักใช้ในส่วนผสมในผลิตภัณฑ์อื่นๆ ซึ่งต่างจากการซื้อโดยตรงของผู้บริโภคในปริมาณมาก

สิ่งเหล่านี้รวมถึงน้ำมันหมูและไขเนื้อ (คาร์บอนไดออกไซด์ 11.92 กิโลกรัมต่ออาหารหนึ่งกิโลกรัม) ผลิตภัณฑ์นมแห้ง (10.4 กิโลกรัมของคาร์บอนไดออกไซด์ต่ออาหารหนึ่งกิโลกรัม) และไขมันและน้ำมันอื่น ๆ เช่นน้ำมันปาล์ม (6.30 กิโลกรัมของคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหนึ่งกิโลกรัมของอาหาร)

--

--