เอนหลังหนังสือ : Dry & Wet ทำงานกับคนหัวร้อนให้เป็น รับมือกับคนขั้วเย็นให้ได้

Nitipat Lowichakornthikun
Sloth Campus
Published in
2 min readSep 7, 2018

หลายครั้งที่เราเจอปัญหาในการทำงานร่วมกันกับคนอื่นแล้วมันช่างขัดใจ สร้างความหัวร้อนอย่างมาก อาทิ เราอยากลงมือทำเรื่องนี้เลย แต่คนในทีมกลับนิ่งเฉย ต้องการที่จะได้แผนการทำงานที่ละเอียดมากกว่านี้ ซึ่งผมก็เคยเจอกับตัวเองมาบ่อยครั้ง หนังสือเล่มนี้จะช่วยอธิบายให้เราเข้าใจได้อย่างง่ายดาย ผ่านการแบ่งลักษณะของคนไว้ 2 ประเภท คือ Dry และ Wet ตามชื่อหนังสือ

โดยหนังสือเล่มนี้ถูกแปลมาจากต้นฉบับที่เป็นภาษาญี่ปุ่นครับ แน่นอนว่าคนเขียนคือผู้ที่ศึกษาและลงมือทำในเรื่องนี้ที่ญี่ปุ่น ซึ่งนาน ๆ ทีผมจะได้อ่านหนังสือที่มาจากแนวคิดของคนฝั่งโลกตะวันออก ที่บ่อยครั้งมันก็มีหลายเรื่องที่น่าสนใจที่เรามักจะไม่ได้เห็นจากฝั่งตะวันตก และ หลายอย่างที่เราเป็นคนฝั่งเดียวกันแนวคิดก็ค่อนข้างประบใช้ได้แบบไม่ยากนัก เล่มนี้ก็เช่นกันครับ มันคือการแบ่งประเภทของลักษณะคนออกเป็น 2 แบบ จากเดิมที่มีการแบ่งไว้ถึง 30 กว่าแบบ โดยผู้เขียนก็ได้จัดกลุ่มใหม่โดยแบ่งให้ง่ายต่อการจดจำและรับมือให้เหลือเพียงเท่านี้ซึ่งนับว่าเห็นภาพค่อนข้างชัดเจนมาก

ถ้าคุณเคยเห็น DISC ซึ่งหลาย ๆ ที่ในไทยก็เริ่มนำเอามาปรับใช้กันแล้ว เพื่อที่ทีมจะได้สามารถทำงานได้ด้วยกันอย่างราบรื่น แต่ละคนจะได้เรียนรู้ถึงการปรับตัว และ การรับมือในลักษณะของแต่ละคน

สำหรับ Dry & Wet นี่ก็มีลักษณะลักษณะคล้าย ๆ กันเพียงแต่เป็นเวอร์ชั่นที่กระชับและเข้าใจได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นการแบ่งลักษณะนิสัยผ่านการสังเกตสิ่งที่ทำออกมา

คุณเป็น Dry หรือ Wet?

https://web.facebook.com/mbookstorecom/photos/a.378066895624459.78816.376652329099249/1679448675486268/?type=3&theater&_rdc=1&_rdr

ลักษณะของคนที่เป็น Dry คือเน้นอยู่กับปัจจุบันเชื่อว่าลงมือทำไปก่อนแล้วค่อยเรียนรู้ได้, ชอบการปรับเปลี่ยนแผนตามสถานการณ์, ลักษณะพูดตรง ๆ ไม่ค่อยสนใจความรู้สึกคนเลยเน้นการให้ Feedback คือลักษณะการบอกข้อเสียกับคน ๆ นั้น, ชอบเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ แต่ก็เบื่อเร็ว ไม่อยากลงรายละเอียด, เชื่อในการตัดสินใจของตนเอง และ ตัดสินใจด้วยเหตุผล อันนี้คือลักษณะคร่าว ๆ น่ะครับ จะเห็นว่าในมุมคนลักษณะ Dry จะเน้นการทำงานที่เร็ว เน้นการลงมือทำ มากกว่ามานั่งวางแผน ซึ่งถ้ามุมคนอื่นก็อาจจะมองว่านี่คือข้อเสีย เพราะ ทำอะไรดูไม่มีแผน ไม่ได้คิดหน้าคิดหลังให้ดีก่อน เป็นต้น

ลักษณะของคนที่เป็น Wet คือเน้นการมองภาพไปถึงอนาคต ก่อนลงมือจึงเน้นการวางแผนที่รัดกุมเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในอนาคตได้ เมื่อแผนที่ออกแบบมาดีแล้วจึงชอบทำตามแผนที่วางไว้ เพราะ เชื่อว่าถ้าผิดจากแผนอาจจะส่งผลเสียตามมาได้, เกรงใจคนรอบด้าน ดังนั้นจึงเลือกการให้ Feedback คนอื่น ด้วยคำชมแทน อีกทั้งยังชอบนำเอาข้อมูลจากคนอื่น ๆ มาวิเคราะห์ประกอบการตัดสินใจของตนเอง จึงต้องใช้เวลามากหน่อยในการลงมือตัดสินใจเรื่องใดเรื่องนึง และ สนใจเรื่องใดเรื่องนึงก็จะจดจ่อไม่ทิ้งไปง่าย ๆ เมื่อเราดูลักษณะของคนแบบ Wet จะเห็นว่าเน้นการลงรายละเอียด คิดแผนที่สามารถตอบได้รอบด้าน กว่าจะลงมือทำก็ใช้เวลานาน เช่นกันครับ มุมคนอื่นก็อาจจะมองว่าคนลักษณะนี้ดูลังเล ตัดสินใจช้าเกินไป ทำตามแผนที่วางไว้จนคนรอบด้านรู้สึกอึดอัด

ปัญหาเกิดจากอะไร?

ในหนังสือเล่มนี้สรุปไว้ได้น่าสนใจเกี่ยวกับคน 2 ลักษณะที่มักจะมีปัญหาในการทำงานร่วมกัน นั่นก็คือเอาจริงแล้ว “ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน” แต่ “การกระทำ” ที่แสดงออกมานั่นแตกต่างกัน แค่นั่นเลยครับ… ที่ทำให้เกิดปัญหาตามมา

ตัวอย่างเช่น คนลักษณะ Wet เวลาได้รับปัญหามาก็อยากทำในรูปแบบที่ตัวเองถนัด ส่วนคนแบบ Dry ก็อยากทำสิ่งที่ตัวเองถนัด ดังนั้นสิ่งที่เราควรทำคือการทำความเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังแสดงออกมาเป็นลักษณะไหนอยู่? (Dry และ Wet ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นลักษณะนิสัยที่ติดตัวตลอดไปน่ะครับ มันอาจจะเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น)

สิ่งที่จะทำให้การทำงานร่วมกันเกิดขึ้นได้คือการหันหน้าเข้าหากัน เช่น ถ้าคุณรู้ตัวเองว่าตอนนี้แสดงลักษณะของประเภท Dry ออกมา เพราะ อยากลงมือทำตามแผนใหม่ที่ออกแบบมาเมื่อสักครู่ แต่คนในทีมมีลักษณะ Wet ก็ต้องให้ข้อมูลและแผนที่ละเอียดก่อนจะลงมือทำ ช่วยกันสร้างแผนที่ชัดเจนขึ้นมาในระดับนึงที่ทั้งคุณและทีมสามารถทำงานร่วมกันได้ ผลลัพธ์ก็ออกมาได้ดี

สำหรับหนังสือยังมีรายละเอียดปลีกย่อยในการรับมือต่าง ๆ อีกมากมาย ที่น่าสนใจคือการยกตัวอย่างเรื่องราวในชีวิตประจำวันของคน 2 ลักษณะนี้ในรูปแบบเรื่องสั้น จากนั้นมีการวิเคราะห์และสรุปให้จากผู้เขียน ทำให้เนื้อหามัน Practical มากครับ เราสามารถจดจำและนำเอาไปใช้ได้เลย ไม่ฟุ้งๆ เหมือนหนังสืออื่น ๆ

ความคุ้มค่าของหนังสือคือแนะนำว่าลองไปอ่านดูก่อน ช่วงแรกของหนังสือผมค่อนข้าง งงในงง จับใจความไม่ค่อยได้ เพราะ มันเล่าแบบวกไปวนมา แต่พอช่วงกลางของเล่มเหมือนมีการสรุปหัวข้อที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ผู้เขียนนำเอาเรื่องจากบทแรก ๆ มาลงรายละเอียดขมวดปม ทำให้เห็นภาพมากยิ่งขึ้น สำหรับคนที่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้แล้วหงุดหงิด ก็จัดเลยครับเล่มนี้ ภาษาอ่านง่าย สามารถทำความเข้าใจได้ไม่ยากครับ

--

--