เอนหลังหนังสือ : The Subtle Art of Not Giving a F*ck หรือ ชีวิตติดปีกด้วยศิลปะแห่งการช่างแ-่ง

Nitipat Lowichakornthikun
Sloth Campus
Published in
2 min readAug 13, 2018

หนังสือเล่มนี้เรียกได้ว่าถ้าอ่านแค่ชื่อหนังสือจะพบว่า เออ ช่างแม่งดิ ง่ายดี ไม่ต้องทำอะไรแล้ว อยู่นิ่ง ๆ บ้าง แต่ไม่ใช่น่ะครับ มันมีศิลปะในการช่างแม่งของผู้เขียนซึ่งก็คือคุณ Mark Manson

เอาจริง ๆ ผมอ่านหนังสือตามกระแสน่ะ เพราะ ชอบไปยืนเกาะดูตามโซน Best seller ว่าช่วงนี้อะไรมาแรง ก็สะดุดตากับเล่มนี้ ผมค่อนข้างคุ้นมากกับปกของเล่มนี้ คิดอยู่นานก็นึกออกว่านี่มันหนังสือที่เพิ่งออกไม่นานนี่หว่า และ เป็น Best seller ของหนังสือต่างประเทศด้วย ผมจึงไม่รอช้าที่จะหยิบเอาเล่มแปลภาษาไทยมาลองอ่านดู

เมื่ออ่านบทแรกๆ ผมรู้สึกชอบขึ้นมาทันที เนื่องจากตัวหนังสือนี้เรียกได้ว่าฉีกการเล่าเรื่องแบบฉบับของหนังสือแนว Self-improvment ทุกเล่มที่เคยอ่านมา (ผมอาจจะอ่านน้อยไป ถ้าใครมีเล่มไหนอยากแชร์ลอง comment มาได้นะครับ)

ความแปลกของมันหรอครับ?

หนังสือว่าด้วยเรื่องชีวิตอันรันทดของผู้เขียน ที่ดูชีวิตแทบไม่น่ารอด จนวันดีคืนดีแกได้เปิดเว็บไซต์ของแกขึ้นมาและเขียนบทความต่าง ๆ แนวที่แกสนใจ คือแนวการพัฒนาตัวเองนั่นแหละครับ มันดั๊นได้รับความนิยมอย่างสูงมาก จนได้มีโอกาสทำหนังสือเล่มนี้ออกมา และ ได้บินไปพูดตามที่ต่างๆ ซึ่งชีวิตดูแล้วน่าอิจฉามาก

คุณต้องเลือกที่จะช่างแม่งน่ะ โดยคุณต้องมีการจัดลำดับความสำคัญของเรื่องราวเสียก่อน ไม่ว่าคุณเลือกทางไหนมันก็มีแต่จะเกิดปัญหา อย่าไปปวดหัวกับมันมากนัก ดังนั้นเลือกอันที่คุณสบายใจที่สุดและนำเอาประสบการณ์เก่ามาวิเคราะห์ว่าจะเกิดปัญหาน้อยที่สุดถ้าเลือกแบบไหน ไม่ต้องไปนั่งหาหรอกว่าที่ดีที่สุดคืออะไร มันไม่มีอยู่จริงหรอก

หนังสือเล่มนี้จะชี้หน้าบอกคุณเลยว่าคุณนั้น มันก็ไม่ได้เป็นคนที่พิเศษกว่าคนอื่นหรอกทุกคนมันก็ล้วนแสนธรรมดา แต่จุดนึงที่เราควรมองหาคือหาความพอดีที่อยู่ภายในตัวของเราเอง คุณต้องรู้จักยอมรับความจริงที่คุณเป็น คุณสามารถคิดแง่บวกได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกอย่างมันอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์เสมอ แต่คุณต้องมองทุกอย่างตามความเป็นจริง อย่างตรงไปตรงมา

ในหนังสือจะได้เห็นการยกตัวอย่างเรื่องราวประกอบการอธิบายสิ่งที่จับต้องได้ยากเช่น “ความสุข” ต่อไปนี้คือเรื่องราวที่ผู้เขียนพยายามอธิบายและเปรียบเทียบ อาจจะมีตกหล่นหรือเข้าใจผิดก็แจ้งมาได้ครับ

การอธิบาย “ความสุข” เริ่มด้วยเรื่องราวของนักดนตรี 2 เรื่องที่มีความคล้ายคลึงกันอย่างมากแต่ตอนจบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยเรื่องแรกนั้น เรื่องราวของมือกีต้าที่โดนไล่ออกจากวงก่อนจะขึ้นแสดง ด้วยสาเหตุอะไรนั้นก็ยากเกินที่เค้าจะรู้ ทีนี้สิ่งที่เค้าเริ่มทำนั่นคือการสรรหาวงใหม่ของตนเอง พยายามบากบั่นถึงขีดสุดเนื่องจากนักดนตรีท่านนั้นเลือกที่จะเอาแรงของความโกรธ ที่อยากจะดังให้มากกว่ามาขับเคลื่อนจนกระทั่งสร้างชื่อเสียงได้มาประมาณนึง แต่มันก็ไม่ได้ดังเท่ากับวงที่ตัวเองถูกไล่ออกมาพอสุดท้ายแล้ว ถามว่าท่านนี้มีความสุขไหม? ก็ไม่เลย เค้าไม่รู้สึกดีเลยที่พาวงมาถึงจุดนี้ได้ แต่กลับกันมันทำให้เค้าทุกข์ใจที่ทำให้วงไม่สามารถไปถึงจุดที่เทียบเท่า หรือ เหนือกว่าได้ มาดูอีกเรื่องราวนึงของนักดนตรีอีกคนที่โดนเตะออกจากวงเหมือนกัน จุดนั้นทำให้เค้าเสียใจอย่างมากและทำให้เค้าได้กลับมามีชีวิตในครอบครัวที่แสนเรียบง่าย ถ้าถามตอนนี้ใครมีความสุขมากกว่ากัน? นักดนตรีที่เลิกเล่นดนตรีก็ไม่ได้มีวงที่มีคนรู้จักอย่างอีกท่านนึง แต่กลับกันเค้าดันพบสิ่งที่ตัวเองเป็นในอีกทางนึง ดังนั้นการดำรงชีวิตของเราก็ต้องมองหาก่อนให้ได้ว่าค่านิยมคืออะไร และ ตัวชี้วัดของค่านิยมคืออะไรที่ต้องถูกต้องด้วย ที่จะนำพาเราดำเนินชีวิตในแบบของเราได้แบบเป็นตัวของตัวเอง

ถ้าเปรียบเทียบในเรื่องค่านิยมนั้นก็คือ ค่านิยมของนักดนตรีในเรื่องแรกที่รู้สึกผิดหวังอาจจะคือการที่มีวงดัง ๆ ให้ได้ในชีวิต และ การชี้วัดค่านิยมที่มันโคตรนามธรรมจับต้องไม่ได้เลย โดยที่เค้าเลือกก็คือวงของเค้าต้องดังให้มากกว่าวงที่โดนไล่ออกมาให้ได้ จุดนี้แหละครับที่ทำให้แต่ละคนต่างกัน แม้ว่าวงเค้าจะดังแต่เค้าดันเลือกการชี้วัดค่านิยมที่ไม่ถูกต้องเพราะเค้าเลือกใช้ปัจจัยภายนอกของตนเองมาเป็นตัวชี้วัด ก็ทำให้ชีวิตของเค้าไม่พบกับความสุขได้ ซึ่งคุณก็ไม่ต้องไปฝันหรอกว่าตัวเองต้องอยากได้ หรือ อยากมีอยากเป็นในแบบของใครเค้าเพราะแม้ค่านิยมเดียวกันแต่การชี้วัดค่านิยมของแต่ละคนมันยังล้วนต่างกันเลย นี่ยังไม่นับค่านิยมที่แตกต่างกันของแต่ละคนอีก ดังนั้นเราควรต้องรู้จักปล่อยและเลือกที่จะโฟกัสในสิ่งที่เรามีความสุขจากภายในของเราเอง เพื่อที่เราต้องหา…

ค่านิยมที่ดีและการวัดผลของค่านิยมที่ดี มาให้ได้ซึ่งความสุขของเรา
สุขหรือทุกข์… มันเกิดจากมุมมองของเราเองล้วนๆ (ตราบใดที่ค่านิยมและตัวชี้วัดของคุณมันถูกต้องในสังคมส่วนรวมน่ะ)

ความรู้สึกหลังอ่าน

ผมรู้สึกได้เลยว่าการอ่านหนังสือเล่มนี้ทำให้เราได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์การใช้ชีวิตของผู้เขียนเอง และ ยิ่งคุณชอบแนวหนังสือ Self-improvment แล้วล่ะก็ เล่มนี้จะเปรียบเสมือนหนังสือสรุปเรื่องราวต่างๆ ที่คุณเคยอ่านมาในรูปแบบที่ตรงไปตรงมาและสามารถนำไปใช้งานได้จริงยิ่งขึ้น

หนังสือเล่มนี้เป็นอีกเล่มที่ผมแนะนำให้อ่าน และ กลับมาอ่านกันบ่อย ๆ คุณอ่านตอนนี้อาจจะได้แง่คิดหรือกระแทกใจในบางเรื่อง แต่เมื่ออนาคตมาถึงกลับมาอ่านอีกที ผมเชื่อว่าคุณน่าจะต้องได้มุมใหม่ๆ ของหนังสือที่ก่อนหน้าไม่ค่อยได้สนใจก็เป็นได้

ความคุ้มค่า

ผมแนะนำให้ซื้อครับ มันเหมาะกับทุกคนที่เป็นช่วงการเริ่มชีวิตการทำงาน ไปจนถึงผู้ที่ยังลังเลในการดำเนินชีวิตมากถึงมากที่สุด

ต้องขอบคุณคนแปลมากครับ สามารถแปลออกมาได้สนุกมากๆ มันเข้ากับบริบทคนไทยดี ไว้มีเวลาผมจะลองกลับไปอ่านเล่มภาษาอังกฤษดู

ป.ล. บทความที่ผมเริ่มเขียนในช่วงนี้มันก็มาจากการที่ผมอ่านหนังสือเล่มนี้แหละครับ เมื่อก่อนผมโคตรไม่ชอบเขียนอะไรยาวๆ เลยให้ตายซิ

ถ้ามีหนังสือเล่มไหนแนะนำผมได้ครับ หรือ ได้อะไรจากหนังสือในมุมอื่น ๆ ก็แชร์มาครับ ผมเชื่อว่าแต่ละคนได้อะไรจากเล่มนี้ต่างกันแน่นอน

--

--