สรุปเรียนรู้เรื่องนวัตกรรมความยั่งยืนของประเทศสวีเดนใน 1 สัปดาห์
จุดเริ่มต้นที่ทำให้เมืองหลวงของประเทศอย่างสตอกโฮล์ม หันมาสนใจเรื่องความยั่งยืนอย่างจริงจังคือ การเสนอตัวเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกในปี 2004 แต่ไม่ใช่แค่เมืองหลวงที่ลงมือทำเรื่องนี้ เพราะการปลูกฝังเรื่องความยั่งยืนเค้าเริ่มสอนกันตั้งแต่ชั้นอนุบาล
“ลูกสาวอายุ 2 ขวบกลับมาบอกฉันที่บ้านว่า แม่แยกขยะไม่ถูกต้องนะ มันต้องแยกแบบนี้” คุณแม่ชาวไทยที่แต่งงานกับสามีชาวสวีเดนเล่าให้พวกเราฟัง
นอกจากการปลูกฝังตั้งแต่วัยเด็ก แม้ผู้ใหญ่อย่างเราก็ยังสัมผัสได้ถึงความจริงจังนั้น ตัวอย่างเช่น ขวดพลาสติก ที่ขวดจะเขียนเลยว่า ถ้าเอาชวดมารีไซเคิล เอาเงินคืนไปเลย 1 KR (ประมาณ 3 บาทกว่าๆ) สามารถคืนได้ที่ ซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้าน เอาขวดพลาสติกใช้แล้วไปหย่อนใส่ตู้จะได้เงินสด หรือ คูปองเอาไปซื้อสินค้าในร้าน
🇸🇪 เรียนรู้ระบบการจัดการเมืองแบบยั่งยืนจาก Stockholmstad
เราได้ไปเยี่ยมชมหน่วยงานของรัฐที่ชื่อว่า Stockholmstad หรือ Stockholm City เทียบเท่ากับ Bangkok Metropolitan Authority
สวีเดนเป็นประเทศที่ขนาดพื้นที่ไม่เล็ก คือใกล้เคียงกับประเทศไทย แต่มีประชากรทั้งประเทศเพียง 10 ล้านคน พอๆกับกรุงเทพมหานคร และสตอกโฮล์มเป็นเมืองหลวงที่มีประชากรประมาณ 1 ล้านคน
ผมประทับใจการตั้งเป้าหมายรวมไปถึงการลงมือทำของเค้าที่ผ่านการคิดและวางแผนมาดีมาก เค้าตั้งเป้าจะเป็นเมือง Fossil-Free City ภายในปี 2040 ซึ่งดูแล้วมีความเป็นไปได้สูงมากที่เค้าจะทำได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ ภายในเมืองไม่มีการใช้ไฟฟ้าที่มาจากถ่านหินตั้งแต่ปี 2011 แล้ว ไฟฟ้าที่ใช้กันทั้งประเทศสวีเดนมาจากพลังงานน้ำเป็นส่วนใหญ่ บริเวณด้านเหนือของประเทศมีเขื่อนเยอะ รองลงมาเป็นพลังงานทางเลือก เช่นพลังงานนิวเคลียร์ พลังงานลม แต่จะต่างกับบ้านเราตรงที่ พลังงานแสงอาทิตย์จะน้อยหน่อย เค้ามีแสงแดดเยอะแค่ปีละ 6 เดือนเท่านั้น ทำแล้วไม่ค่อยคุ้มเมื่อเทียบกับวิธีการอื่นๆ อย่างช่วงพฤศจิกายนที่ผมเดินทางมานี้พระอาทิตย์ขึ้น 8 โมงเช้า บ่าย 3 โมงพระอาทิตย์ตกดินแล้ว
อีกเหตุผลนึงที่ทำให้เค้าวางแผนอะไรแล้วทำได้ด้วย น่าจะมาจากโครงสร้างของประเทศที่มีความเป็นรัฐสวัสดิการสูง คือ เก็บภาษีสูง เริ่มต้นที่ 38% แต่ถ้าเงินเดือนเกิน 50,000 KR หรือประมาณ 175,000 บาท (คิดที่อัตราแลกเปลี่ยน 3.5 บาทต่อ 1 KR) ภาษีจะเพิ่มเป็น 50% ตัวอย่างนึงที่เจ้าหน้าที่เค้าเล่าให้ฟัง น่าสนใจเลยขอมาเล่าต่อ “ที่ดินในเมืองสตอกโฮล์ม 70% จะเป็นของรัฐ ดังนั้นเวลาที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์จะสร้างบ้านเดี่ยวหรือคอนโด จะต้องมีการซื้อ หรือ เช่าที่ระยะยาวกับรัฐ ซึ่งรัฐก็จะสามารถตั้งเงื่อนไขด้านความยั่งยืนได้เช่น จะต้องประหยัดพลังงานเท่าไหร่ ปล่อยก๊าซเทียบเท่าคาร์บอนไดออกไซด์เท่าไหร่ หรือ แม้กระทั่งจะมีระบบแยกขยะอย่างไร และไม่ใช่แค่ตั้งเงื่อนไข แต่มีการติดตามด้วย คือหลังจาก 1 ปี และ 2 ปี จากส่งมอบที่พักอาศัยไปแล้ว บริษัทอสังหาริมทรัพย์จะต้องนำส่งข้อมูลเชิงสถิติว่าที่ได้วางแผนไปว่าจะใช้พลังงานเท่านั้น ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เท่านี้ ทำได้จริงหรือไม่ ไม่ได้เพราะอะไร เอาตัวเลขมาวิเคราะห์กัน เพื่อที่คราวถัดไปจะได้แม่นขึ้น มั่วไม่ได้ อื้อฮือ! ฟังแบบนี้แล้วรู้เลยว่าประชากรเค้านี่ต้องคุณภาพมากๆ มีการศึกษา และวิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์ คือตั้งสมมติฐานและทดสอบสมมุติฐานเหล่านั้น
อีกตัวอย่างที่ชอบมากๆคือ ระบบจัดการขยะมูลฝอย ของที่นี่ ที่ผมอยากพากรุงเทพมหานครและผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดมาดูกัน
เค้าเรียกระบบนี้ว่า Envac คือหลังจากที่เราแยกขยะเสร็จแล้ว ว่าอันนี้พลาสติก อันนี้ฝังกลบ เราก็นำขยะมาโยนใส่ท่อดังภาพ แต่ละท่อก็แยกกันไปสำหรับขยะแต่ละประเภท เมื่อขยะเต็มท่อนั้นๆ เค้าจะใช้แรงดูดจากส่วนกลาง ดูดขยะไปในท่อใต้ดิน ด้วยความเร็วประมาณ 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กลับไปที่สถานีเก็บขยะ ซึ่งจะลดค่าใช้จ่ายในระยะยาวในการใช้รถเก็บขยะแบบเดิมๆ และลดมลภาวะกลิ่นเหม็น ลดการจราจร นั่นเอง
🇸🇪 ไม่ใช่แค่เมืองใหญ่แต่เมืองเล็กเค้าก็ทำได้ดีมาก
หลังจากดูเมืองใหญ่ 1 ล้านคนไปแล้ว นั่งรถบัสไปประมาณ 3 ชั่วโมงจากสตอกโฮล์ม ก็จะถึงเมือง Mariestad ซึ่งมีประชากรเพียงหมื่นกว่าคน พื้นที่รวมเพียง 11 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น (กรุงเทพฯ ประมาณ 1,500 ตารางกิโลเมตร)
โครงการสำคัญของเมืองนี้คือ ElectriVillage ที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ผลิตไฟฟ้าในช่วงหน้าร้อน
เอาพลังงานจากแสงอาทิตย์ที่ได้ไปใช้ทำ electrolysis แยก hydrogen จากน้ำ เอา hydrogen ไปเก็บไว้ใน fuel cell เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ภายหลัง ซึ่งนอกจากจะได้ไฟฟ้าแล้วยังได้ความร้อนออกมาทำให้ตัวตึกอุ่นตลอดช่วงหน้าหนาวอีกด้วย
ที่พีคสุดคือคนที่พาเราเยี่ยมชมทุกจุดในเมืองคือ ผู้ว่าราชการเมือง Mariestad ชื่อคุณ Johan Abramhamsson น่ารักมากๆ ประทับใจสุดๆ เค้าตื่นเต้นที่จะได้ต้อนรับคณะของเรา โดยมีนักข่าวท้องถิ่นมาสัมภาษณ์ และวันรุ่งขึ้นพวกเราได้ลงหนังสือพิมพ์กันด้วย
🇸🇪 ความยั่งยืนกับนวัตกรรมเป็นเรื่องเดียวกัน
ทริปนี้จะไม่สมบูรณ์เลยถ้าเราไม่ได้มาเจอระบบนิเวศน์ที่อยู่เบื้องหลังการสนับสนุนความยั่งยืน อาทิเช่น The New Division (TND) บริษัทซึ่งเรียกตัวเองว่าเป็น Communication Strategist ที่ทำให้การสื่อสารเรื่องยากๆเป็นเรื่องง่าย อย่าง UN SDG — Sustainability Development Goals ทั้ง 17 ข้อ ที่ในช่วงแรก มีแต่ตัวอักษรยาวๆ แต่เค้าก็ทำให้มันสั้นกระชับ อย่างคำว่า Life Below Water ซึ่งเป็น Goal ข้อ 14 ก็เป็นผลงานของ TND ใส่มาให้ดูอีก นิดว่ากว่าที่จะมาเป็นรูปง่ายๆ 17 รูปแสดงถึง 17 Goals นั้น กว่าจะได้มาไม่ง่ายเลย (ดูรูปประกอบ)
และแน่นอนการจะผลักดันนวัตกรรมควบคู่ไปกับความยั่งยืนจะขนาด Venture Capital ไปไม่ได้ เราได้ไปเจอ ByFounders กองทุนสตาร์ทอัพชื่อดังของประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย มีสินทรัพย์ภายใต้การบริษัทรวมกว่า 8 พันล้านบาท (210 ล้านยูโร) ผมโชคดีได้เป็น Co-investor กับเค้าเมื่อหลายปีก่อนเลยติดต่อไป เค้าก็ตอบรับทันที เค้าเล่าให้ฟังว่า สวีเดนถือเป็นผู้นำด้านสตาร์ทอัพในแถบสแกนดิเนเวีย ทั้งในแง่เม็ดเงินและจำนวนของสตาร์ทอัพ
ที่น่าสนใจคือ กองทุนสตาร์ทอัพของเค้าจำเป็นจะต้องเปิดเผยรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัทที่เค้าไปลงทุนด้วย! ความเชื่องโยงของเงินทุนไม่ได้มีเฉพาะแต่ Green Loan จากฝากธนาคาร แต่ในฝั่งสตาร์ทอัพก็ไม่น้อยหน้า ทำให้ผมยิ่งเชื่อมั่นว่าความยั่งยืนกับนวัตกรรมเป็นเรื่องเดียวกันจริงๆ การจะสร้างนวัตกรรมให้สำเร็จในปัจจุบันจะมองข้ามเรื่องความยั่งยืนไปไม่ได้
🇸🇪 กระทบไหล่ตัวพ่อด้าน Carbon Accounting
วันสุดท้ายก่อนกลับ เราได้เจอกับ Kristian Rönn, CEO และ Co-Founder ของ Normative สตาร์ทอัพด้าน Climate Tech ชื่อดัง ผู้อยู่เบื้องหลัง Carbon Accounting SaaS — Software-as-a-Service ที่แม้แต่ตัวผมเองก็เคยลองใช้คำนวน Carbon Emission ของ RISE มาก่อน
Normative ยังขับเคลื่อนด้านนโยบายและอีกหลากหลายมาตรฐานระดับโลก GHG Protocol ทำงานร่วมกับหลายองค์กร ISSB, IFRS ที่เกี่ยวข้องกับ Carbon Accounting
ประทับใจสุดก็คือ เค้ามีระบบให้บริษัทที่พนักงานน้อยกว่า 50 คนมาใช้ฟรี ส่วนบริษัทขนาดใหญ่ ถ้าใช้แบบจ่ายเงิน ก็จะสามารถชวนคู่ค้า Scope 3 upstream และ downstream มาใช้บริการฟรีได้เช่นกัน
จริงๆยังมีอีกหลายบริษัทที่เราไปเยี่ยมแต่เล่าเยอะไม่ได้ เพราะมันจะยาวมาก เช่น Spotify, Volvo Venture Capital, Volvo’s CAMPX Venture Builder, Accelrlerator & Incubator, Impact Hub & Innovationsledanar, Cake- EV Bike ที่เพิ่งมาเปิดตัวในเมืองไทยถ้าอยากอ่านก็มาเม้นท์ไว้นะฮะ
🇸🇪 กระทรวงต่างประเทศโดยสถานฑูตไทย ตั้ง TNIU สนับสนุนการเชื่อมโยงข้ามประเทศ
ปิดจบทริปด้วยการเยือนสถานทูตไทยประจำกรุงสวีเดน ได้เห็นความตั้งใจของสถานทูตที่ต้องการจะผลักดันให้เกิดความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างบริษัทไทยและองค์กรต่างๆในสแกนดิเนเวีย ทางนี้จะเรียกว่า “นอร์ดิค” เลยตั้งหน่วยงานอิสระที่ได้รับการสนับสนุนจากสถานฑูตขึ้นมาชื่อ TNIU — Thai Nordic Innovation Unit เพิ่งครบรอบเปิดดำเนินการครบ 1 ปีเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่าน โดยมีกำลังสำคัญคือสองสาว คุณนุ่น และคุณแพร์ ผมขออนุญาตปรบมือดังๆให้กับท่านทูตคนก่อนและคนปัจจุบัน รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ และกระทรวงการต่างประเทศมากๆครับ ผมชอบที่ท่านคิดนอกกรอบและเอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง น่าจะมีคนเคยตั้งคำถามว่า หน้าที่เรื่องนวัตกรรมเป็นของกระทรวงต่างประเทศหรือไม่ ผมขออนุญาตตอบแทนประชาชน เลยว่านี่คือสิ่งที่ประชาชนรอคอยจากภาครัฐ คือไม่ต้องร้องขอ แต่ทำล่วงหน้าไปเลย ขออย่างเดียวให้ไว ผิดพลาดอะไรก็เรียนรู้ และมาปรับปรุงกัน
คอยติดตามโครงการดีๆจาก TNIU และ RISE เร็วๆนี้ครับ
สุดท้ายจริงๆ ผมดีใจมากๆในการนำคณะมาเรียนรู้แบบเจาะลึก รอบนี้มากับไดเอิ๊ก Theethat Rangkasiri ผู้อำนวยการหลักสูตร STX — Sustainability Transformation Xponential พามาเจอจากตัวจริง ตามสไตล์ Alpha Trip ที่เป็นเอกลักษณ์ขอบ RISE ตั้งแต่ปี 2017 สำหรับผู้บริหารเจ้าของกิจการ และผู้ที่สนใจ เรื่องนวัตกรรมและความยั่งยืน ในเมืองชั้นนำของโลก อาทิ Silicon Valley, สหรัฐอเมริกา, อิสราเอล, จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, อังกฤษ, สแกนดิเนเวีย, สิงคโปร์, ฮ่องกง และอีกหลากหลายประเทศทั่วโลก สนใจร่วมทริปถัดไป ลงชื่อไว้ได้เลย 😊 bit.ly/JoinDrKidCircle
#STXbyRISE #RISEAlpha