การลงทุนหุ้นอเมริกาแบบง่าย
วันหนึ่งซึ่งผมได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับเงินเฟ้อ และสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทำให้ผมสนใจที่จะทำให้เงินของผลมีมูลค่าเท่าเดิม หรืองอกเงยขึ้นตามกาลเวลาและเศรษฐกิจโลก วันนี้ผมเลยรวมรวมหัวข้อจาก youtube หลายๆช่อง และหลายๆบทความมาสรุปในแบบที่คิดว่าพอจะเข้าใจได้ไม่ยากมากครับ
พื้นฐานสุดขอพูดถึงประเภทต่างๆของการลงทุนก่อนนะครับ คือประเภทต่างๆของการลงทุน ดังรูปนี้ครับ
ภาพนี้แสดงให้เห็นการจัดลำดับ “ความเสี่ยง” ของการลงทุนในรูปแบบของปิรามิด ซึ่งแบ่งระดับความเสี่ยงตามประเภทของการลงทุนที่แตกต่างกัน ไล่จากระดับที่มีความเสี่ยงสูงสุดไปจนถึงต่ำสุด ดังนี้
- อนุพันธ์ — อยู่บนยอดของปิรามิด แสดงถึงความเสี่ยงที่สูงที่สุดในการลงทุน อนุพันธ์เป็นตลาดที่มีความผันผวนสูง ซึ่งสามารถทำกำไรหรือขาดทุนได้อย่างรวดเร็ว
- หุ้น — มีผลตอบแทนสูง แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน การลงทุนในหุ้นต้องรับมือกับความผันผวนของตลาดที่อาจทำให้มูลค่าลงทุนเปลี่ยนแปลงได้อย่างมาก
- กองทุนรวม — ความเสี่ยงของการลงทุนในกองทุนรวมขึ้นอยู่กับสินทรัพย์ที่กองทุนลงไปด้วย การลงทุนในกองทุนรวมช่วยกระจายความเสี่ยงได้บ้าง แต่ก็ยังมีความเสี่ยงตามสินทรัพย์ที่ลงทุน
- หุ้นกู้ — การลงทุนในหุ้นกู้มีความเสี่ยงน้อยกว่าหุ้น เนื่องจากเป็นการกู้เงินจากบริษัท ซึ่งจะได้รับดอกเบี้ยเป็นผลตอบแทน อย่างไรก็ตาม ยังมีโอกาสเสี่ยงถ้าบริษัทผู้ออกหุ้นกู้มีปัญหาทางการเงิน
- พันธบัตรรัฐบาล — มีความเสี่ยงต่ำกว่า เนื่องจากออกโดยรัฐบาลหรือหน่วยงานรัฐ ซึ่งโอกาสที่รัฐบาลจะผิดนัดชำระนั้นน้อยมาก จึงเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยกว่า
- เงินสดฝากแบงก์ — อยู่ที่ฐานของปิรามิด เป็นการลงทุนที่ปลอดภัยที่สุด แต่อัตราผลตอบแทนอาจต่ำสุดเช่นกัน การฝากเงินในธนาคารมีความเสี่ยงน้อยมาก และมักได้รับการคุ้มครองโดยประกันเงินฝาก
1. หุ้นอเมริกา คืออะไร?
หุ้นอเมริกา ก็คือหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา ตลาดหลัก ๆ ที่สำคัญมีสองตลาดหลักในสหรัฐฯ ที่คนทั่วโลกคุ้นเคยกันดีคือ NYSE และ NASDAQ แต่ละตลาดก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป เช่น
- ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (NYSE หรือ New York Stock Exchange) https://www.nyse.com/quote/index/NY.ID: ตลาดนี้ตั้งอยู่ที่นิวยอร์ก และถือว่าเป็นตลาดหุ้นที่เก่าแก่ที่สุดในอเมริกา ที่นี่มีหุ้นจากบริษัทใหญ่ ๆ ที่เป็นที่รู้จักกันดีอยู่มากมาย เช่น Birkshire Hathaway, Novo Nordisk, VISA, และ Eli Lilly ซึ่งครอบคลุมในหลากหลายกลุ่มธุรกิจ เช่น การเงิน, อุปโภคบริโภค, และพลังงาน
- ตลาดหุ้นแนสแด็ก (NASDAQ หรือ National Association of Securities Dealers Automated Quotations) https://www.nasdaq.com/: ตลาดนี้เป็นแหล่งรวมของบริษัทเทคโนโลยีที่มีการเติบโตสูงมาก และที่นี่ก็มักจะมีหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกอยู่มาก เช่น Alphabet (หรือ Google), Meta (หรือ Facebook), Apple, Nvidia, และ Tesla
ดัชนีสำคัญในการวัดผลตอบแทนจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีอยู่สามตัวหลัก ๆ คือ
- ดัชนี Dow Jones Industrial Average: ดัชนีนี้จะคำนวณจากราคาหุ้นของบริษัทใหญ่ ๆ จำนวน 30 ตัวในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่มีรายได้จากทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตัวอย่างบริษัทในดัชนีนี้ก็เช่น Boeing, American Express, JP Morgan, และ Nike
- ดัชนี S&P 500: ดัชนีนี้ถูกจัดทำขึ้นโดยบริษัท Standard and Poor’s ซึ่งรวบรวมหุ้นจากบริษัท 500 แห่งในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และคำนวณด้วยการถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด ซึ่งดัชนีนี้สามารถบ่งบอกถึงการเคลื่อนไหวของหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้กว่า 80% ของทั้งตลาดเลยทีเดียว หุ้นดัง ๆ ในดัชนีนี้ เช่น Exon, VISA, Walmart, และ Coca Cola
- ดัชนี Nasdaq Composite Index: ดัชนีนี้เป็นดัชนีที่รวบรวมหุ้นของบริษัทเทคโนโลยี นวัตกรรม หรือไบโอเทคเป็นหลัก ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีชื่อเสียงในฐานะดัชนีสำหรับหุ้นเทคโนโลยี แต่ก็ยังมีหุ้นจากกลุ่มอื่น ๆ อย่างการเงิน ขนส่ง และอุตสาหกรรมด้วย หุ้นที่อยู่ในดัชนีนี้ก็เช่น Airbnb, Adobe, Nvidia, Tesla, และ lululemon
ตัวอย่างช่องทางในการดูภาพรวมราคา และมูลค่าหุ้นแต่ละตัว คุณสามารถเข้าไปดูได้ที่ finviz.com
ตัวอย่างช่องทางการดูรายละเอียดของหุ้นแต่ละตัว https://www.tradingview.com/
2. ทำไมต้องลงทุนในหุ้นอเมริกา?
มีหลายเหตุผลที่ทำให้นักลงทุนทั่วโลกสนใจลงทุนในหุ้นอเมริกา ลองมาดูเหตุผลหลัก ๆ กันเลย
- เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและมั่นคง
- สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก มี GDP สูง และเศรษฐกิจก็แข็งแรงมั่นคง ทำให้มีศักยภาพในการเติบโตต่อเนื่อง
- หลายบริษัทในสหรัฐฯ เป็นบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ที่ทำธุรกิจทั่วโลก ทำให้สามารถกระจายความเสี่ยงได้ดีและมีโอกาสในการเติบโตมากขึ้น
2. ตลาดทุนที่หลากหลายและเข้าถึงง่าย
- ตลาดหุ้นในอเมริกามีหุ้นจากอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ตั้งแต่เทคโนโลยี การแพทย์ พลังงาน ไปจนถึงสินค้าอุปโภคบริโภค นั่นหมายความว่านักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในอุตสาหกรรมที่ตัวเองสนใจและมั่นใจได้
- การลงทุนในหุ้นอเมริกาก็ง่ายมาก ๆ เพราะสามารถทำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ได้ และเวลาทำการของตลาดหุ้นที่ยาวกว่าตลาดอื่น ๆ ก็เป็นข้อดีอีกอย่างหนึ่ง
3. บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลก
- สหรัฐฯ เป็นบ้านของบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ ระดับโลกอย่าง Apple, Microsoft, Amazon, Google (Alphabet) และ Facebook (Meta) ซึ่งบริษัทเหล่านี้เป็นบริษัทที่เติบโตสูงและมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลกอย่างมาก
- การลงทุนในหุ้นพวกนี้ทำให้นักลงทุนมีโอกาสได้เป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลก
4. การรักษามาตรฐานทางกฎหมายและความโปร่งใส
- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถูกควบคุมอย่างเข้มงวดโดยองค์กรต่าง ๆ อย่าง SEC (Securities and Exchange Commission) ทำให้มีความโปร่งใสและรักษามาตรฐานสูงในการทำธุรกิจ
- ข้อมูลทางการเงินและรายงานของบริษัทต่าง ๆ ที่เปิดเผยออกมามีความถูกต้องและเชื่อถือได้ ซึ่งช่วยให้นักลงทุนสามารถวิเคราะห์และตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ
5. ดัชนีชี้วัดที่น่าเชื่อถือ
- ดัชนีชี้วัดตลาดหุ้นสหรัฐฯ เช่น S&P 500, NASDAQ Composite, และ Dow Jones Industrial Average เป็นดัชนีที่มีความน่าเชื่อถือและมักถูกใช้เป็นเกณฑ์ในการวัดผลการลงทุนทั่วโลก
- นักลงทุนหลายคนชอบลงทุนในกองทุนที่ติดตามดัชนีเหล่านี้ (เช่น ETF) เพราะเป็นวิธีที่ง่ายและดีในการกระจายการลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกา
6. การป้องกันความเสี่ยงด้วยการกระจายการลงทุน
- การลงทุนในหุ้นอเมริกาช่วยให้นักลงทุนกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์ ซึ่งเป็นการลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการพึ่งพาเศรษฐกิจของประเทศเดียว
- โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจของประเทศใดประเทศหนึ่งอาจเจอปัญหา การที่เราลงทุนในตลาดที่หลากหลายจะช่วยลดผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุนของเราได้
3. วิธีลงทุนในหุ้นอเมริกา
ถ้าคุณอยากลงทุนในหุ้นอเมริกา จริง ๆ แล้วมีหลายวิธีที่คุณสามารถทำได้ ขึ้นอยู่กับความสะดวกและเป้าหมายของคุณเอง นี่คือสามวิธีหลัก ๆ ที่คุณสามารถใช้ในการเข้าถึงตลาดหุ้นอเมริกา
- ซื้อ DR (Depositary Receipt)
- DR หรือ Depositary Receipt คือเครื่องมือที่ช่วยให้นักลงทุนในไทยสามารถซื้อหุ้นอเมริกาได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องเปิดบัญชีต่างประเทศเลย การซื้อขาย DR ทำได้ผ่านตลาดหุ้นไทยเหมือนหุ้นทั่วไป และยังได้รับสิทธิพิเศษเหมือนการถือหุ้นจริง ๆ เช่น การได้รับเงินปันผล หรือสิทธิในการเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้น
ข้อดี
- คุณสามารถเข้าถึงการลงทุนในหุ้นอเมริกาได้ด้วยเงินเริ่มต้นไม่มาก
- ซื้อขายได้ง่าย ๆ ในตลาดหุ้นไทยที่คุณคุ้นเคย
- ได้รับสิทธิพิเศษเหมือนผู้ถือหุ้นจริง ๆ
ข้อจำกัด
- จำนวนหุ้นอเมริกาที่ซื้อขายผ่าน DR ยังมีจำกัด เฉพาะหุ้นยอดนิยมเท่านั้น
- อาจมีความเสี่ยงเรื่องสภาพคล่องและความไม่แน่นอนของตลาด
ช่องทางการซื้อขาย
- คุณสามารถเปิดบัญชีและซื้อขาย DR ผ่านโบรกเกอร์ในไทย เช่น บัวหลวง, กสิกรไทย, หรือ Innovest X
2. ซื้อหุ้นอเมริกาผ่านโบรกเกอร์ในไทย
- ตอนนี้หลายโบรกเกอร์ในไทยมีแอปพลิเคชันที่ช่วยให้คุณสามารถซื้อหุ้นอเมริกาได้โดยตรงจากประเทศไทยเลย ไม่ต้องยุ่งยากเปิดบัญชีต่างประเทศ วิธีนี้ทำให้คุณเป็นเจ้าของหุ้นจริง ๆ ได้เลย ซึ่งรวมถึงสิทธิในการรับเงินปันผลและการลงคะแนนเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้นด้วย
ข้อดี
- คุณสามารถเป็นเจ้าของหุ้นจริง ๆ และได้รับสิทธิพิเศษต่าง ๆ เหมือนถือหุ้นในอเมริกาเอง
- ซื้อขายง่ายและสะดวกผ่านแอปพลิเคชันของโบรกเกอร์ในไทย
ข้อจำกัด
- หุ้นอเมริกามักมีราคาสูง ต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างมาก
- ต้องเสียภาษีทั้งในสหรัฐฯ และภาษีเงินได้ปลายปีในไทย
- อาจมีค่าธรรมเนียมที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับการซื้อขายโดยตรงในตลาดสหรัฐฯ
ช่องทางการซื้อขาย
- คุณสามารถเปิดบัญชีและซื้อขายหุ้นอเมริกาผ่านแอปพลิเคชันในไทย เช่น Dime หรือ Innovest X
3. เก็งกำไรหุ้นอเมริกาผ่านเครื่องมือทางอนุพันธ์
สำหรับคนที่ชอบการเก็งกำไรระยะสั้น การใช้เครื่องมือทางอนุพันธ์ (Derivatives) อย่างเช่น CFD (Contract for Difference) ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง CFD เป็นสัญญาที่อ้างอิงราคาหุ้น ทำให้คุณสามารถทำกำไรได้ทั้งในขาขึ้นและขาลงของตลาด นอกจากนี้ยังมีอัตราทด (Leverage) ที่ช่วยขยายโอกาสในการทำกำไร (แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงด้วย)
ข้อดี
- สามารถทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นได้ทั้งขาขึ้นและขาลง
- ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการซื้อหุ้นจริง
- มีอัตราทดที่ช่วยขยายผลกำไรได้ (แต่ก็ต้องระวังเรื่องความเสี่ยง)
ข้อจำกัด
- ความเสี่ยงสูง เพราะอัตราทดอาจขยายทั้งกำไรและขาดทุนได้
- คุณจะไม่ได้รับสิทธิพิเศษเหมือนผู้ถือหุ้นจริง เช่น การรับเงินปันผล
- ไม่เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว เพราะขาดความมั่นคง
ช่องทางการซื้อขาย
- คุณสามารถเปิดบัญชีซื้อขายอนุพันธ์กับโบรกเกอร์ที่ให้บริการ เช่น Mitrade (ฝากขั้นต่ำ $50) หรือ IC Markets (ฝากขั้นต่ำ $200)
4. สิ่งที่ควรรู้เมื่อลงทุนในหุ้นอเมริกา
การลงทุนในหุ้นอเมริกานับว่าเป็นโอกาสที่น่าสนใจสำหรับคนที่อยากกระจายการลงทุนไปยังตลาดต่างประเทศ แต่เพื่อให้การลงทุนของคุณประสบความสำเร็จและเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ คุณควรพิจารณาสิ่งเหล่านี้
- ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
ถ้าคุณลงทุนในหุ้นอเมริกา คุณจะต้องแปลงเงินจากเงินบาทเป็นดอลลาร์สหรัฐ ทั้งตอนที่ซื้อและขายหุ้น ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนของสองสกุลเงินนี้มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนอาจทำให้กำไรหรือขาดทุนจริง ๆ ของคุณไม่เป็นไปตามที่คิดไว้
ข้อควรระวัง
- ถ้าค่าเงินบาทแข็งขึ้นในช่วงที่คุณขายหุ้น กำไรที่ได้อาจลดลงเมื่อแปลงกลับเป็นเงินบาท
- นอกจากความเสี่ยงจากหุ้นแล้ว คุณยังต้องคำนึงถึงความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วย
- การใช้เครื่องมือทางการเงิน เช่น ฟิวเจอร์สอัตราแลกเปลี่ยน อาจช่วยลดความเสี่ยงในด้านนี้ได้
2. ต้นทุนการซื้อขาย
การซื้อขายหุ้นในตลาดอเมริกามีต้นทุนที่คุณต้องคำนึงถึง ซึ่งอาจแตกต่างจากการซื้อขายหุ้นในตลาดไทย ต้นทุนหลัก ๆ ก็เช่น
- ค่าคอมมิชชั่น: 0.08 USD ต่อหุ้น (แต่มีขั้นต่ำ 4.99 USD ต่อการซื้อขาย)
- ค่าธรรมเนียมตลาด: 0.00278% ของมูลค่าการขาย
- วันชำระเงิน: T+1 (ชำระเงินในวันทำการถัดไปหลังจากวันที่ทำการซื้อขาย)
หมายเหตุ
- ต้นทุนเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อคุณซื้อขายหุ้นอเมริกาโดยตรงผ่านโบรกเกอร์ แต่ถ้าคุณซื้อขายผ่านเครื่องมืออื่น ๆ เช่น DR หรือ CFD ค่าธรรมเนียมอาจแตกต่างกันออกไป
- นอกจากนี้ คุณควรพิจารณาค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงิน (Currency Conversion Fees) ด้วย เพราะมันอาจมีผลต่อกำไรสุทธิที่คุณจะได้รับ
3. ช่วงเวลาในการซื้อขายหุ้นอเมริกา
การซื้อขายหุ้นอเมริกาจะต้องสอดคล้องกับเวลาทำการของตลาดในสหรัฐฯ ซึ่งเวลาซื้อขายในไทยก็จะต่างไปตามฤดูกาล
- มี.ค. — พ.ย.: ตลาดเปิดเวลา 20.30–03.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
- พ.ย. — มี.ค.: ตลาดเปิดเวลา 21.30–04.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ข้อควรทราบ
- ตลาดหุ้นอเมริกามีการเปลี่ยนเวลาออมแสง (Daylight Saving Time) ทำให้เวลาซื้อขายเปลี่ยนไปตามฤดูกาล
- ถ้าคุณต้องการซื้อขายหุ้นอเมริกาในเวลาที่ตลาดเปิด (Real-time Trading) คุณต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการซื้อขายในช่วงเวลาดึกของไทย ซึ่งอาจมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันและการวางแผนการซื้อขายของคุณ
ถึงตรงนี้หลายคนน่าจะพอเข้าใจเกี่ยวกับหุ้นอเมริกาคืออะไร ศัพท์ต่างๆที่เราอาจเคยเห็นในหน้าจอทีวี หรือสื่อต่างๆ แต่เราอาจยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร ผมเลยได้รวบรวมแบบพื้นฐานตามความเข้าใจของผลมาให้แล้วนะครับ ขอขอบคุณทุกท่านที่อยู่ด้วยกันมาถึงบรรทัดนี้ครับ 55
ขอขอบคุณแหล่งที่มาและความรู้ดีๆที่ได้นำมาสรุปใส่ในเอกสารนี้ครับ
ช่อง ประธานเหมียว, https://www.youtube.com/watch?v=6N1D3bfW2I8
Mitrade, วิธีลงทุนหุ้นอเมริกา? สรุปวิธีการลงทุนหุ้นอเมริกา!, https://www.mitrade.com/th/insights/shares/investing-tips/invest-us-stocks
wealthmeup, เทียบระดับ “ความเสี่ยง” ลงทุน, https://wealthmeup.com/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87/
คำถามน่าสนใจ ❤
ยิ่งถือนาน ยิ่งพอร์ตโต จริงเหรอ?
- หลักการลงทุนระยะยาว: การถือครองหุ้นในระยะยาวมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นเนื่องจากการเติบโตของธุรกิจและดอกเบี้ยทบต้น (compound interest)
- ข้อมูลทางประวัติศาสตร์: แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นในระยะยาวมักจะมีแนวโน้มขึ้น แม้ว่าจะมีความผันผวนในระยะสั้น
- ข้อควรระวัง: ถึงแม้ว่าการถือหุ้นนานจะมีข้อดี แต่ต้องมีการเลือกหุ้นที่เหมาะสมและมั่นคงในระยะยาว รวมถึงคำนึงถึงความเสี่ยงของตลาด
กองทุนรวม คืออะไร?
- นิยาม: กองทุนรวมคือการรวมเงินทุนจากนักลงทุนหลาย ๆ คนมาไว้ในกองทุนเดียวกัน แล้วนำไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น หุ้น, ตราสารหนี้, หรือทรัพย์สินอื่น ๆ
- ประเภทของกองทุนรวม: เช่น กองทุนหุ้น, กองทุนตราสารหนี้, กองทุนผสม และกองทุนตลาดเงิน
- ข้อดีและข้อเสีย: กองทุนรวมช่วยกระจายความเสี่ยงและบริหารจัดการโดยมืออาชีพ แต่มีค่าธรรมเนียมและการควบคุมการลงทุนของนักลงทุนจำกัด
กองทุนไทย vs ต่างประเทศ อะไรดีกว่า?
- กองทุนไทย: ลงทุนในสินทรัพย์ที่อยู่ในประเทศไทย เช่น หุ้นไทย, ตราสารหนี้ไทย
- กองทุนต่างประเทศ: ลงทุนในสินทรัพย์ในต่างประเทศ เช่น หุ้นอเมริกา, ตลาดหุ้นยุโรป
- เปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย:
- กองทุนไทยอาจมีความคุ้นเคยกับนักลงทุนและมีความเสี่ยงทางการเมืองน้อยกว่า
- กองทุนต่างประเทศมีโอกาสในตลาดที่ใหญ่กว่าและมีการกระจายความเสี่ยงมากกว่า
ซื้อกองทุน ต้องคอยดู?
- การติดตามผลการลงทุน: กองทุนรวมมักถูกบริหารโดยผู้จัดการกองทุน แต่ยังจำเป็นต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงของตลาดและผลประกอบการของกองทุน
- เครื่องมือในการติดตาม: การตรวจสอบรายงานประจำปี, การใช้แอปพลิเคชันเพื่อติดตามมูลค่ากองทุน, หรือการติดตามข่าวสารเกี่ยวกับตลาดการเงิน
- ความสำคัญ: การติดตามการลงทุนช่วยให้นักลงทุนสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนได้ตามความจำเป็น
ลงทุนอะไร ไม่เสี่ยงเลย
- การลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ: เช่น พันธบัตรรัฐบาล, เงินฝากออมทรัพย์, หรือกองทุนตลาดเงิน
- ผลตอบแทนต่ำ: แม้จะมีความเสี่ยงต่ำ แต่การลงทุนประเภทนี้มักมีผลตอบแทนต่ำกว่า
- ความมั่นคง: เป็นการลงทุนที่เน้นความมั่นคงของเงินต้นมากกว่าการเติบโตของพอร์ต
เงินฝาก vs หุ้น ข้อดี-ข้อเสียต่างกัน
เงินฝาก:
- ข้อดี: ปลอดภัยสูง, มีความมั่นคง
- ข้อเสีย: ผลตอบแทนต่ำ, ไม่สามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ในระยะยาว
หุ้น:
- ข้อดี: ผลตอบแทนสูงกว่าในระยะยาว, มีโอกาสเติบโต
- ข้อเสีย: มีความเสี่ยงสูง, ราคาอาจผันผวน
เปรียบเทียบ: ขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุนและความเสี่ยงที่นักลงทุนยอมรับได้
DCA คืออะไร? ไม่ขาดทุนจริงเหรอ?
- DCA (Dollar Cost Averaging): การลงทุนโดยการซื้อหุ้นหรือสินทรัพย์เป็นจำนวนเงินที่เท่ากันในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น ทุกเดือน
- ข้อดี: ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด, ไม่ต้องคาดการณ์ตลาด
- ข้อเสีย: ไม่รับประกันว่าจะไม่ขาดทุน, ถ้าตลาดตกต่อเนื่องอาจยังคงมีผลขาดทุน
DCA อะไรดี? ต้อง S&P500 เท่านั้นเหรอ?
การเลือกสินทรัพย์สำหรับ DCA:
- S&P500 เป็นตัวเลือกที่นิยมเนื่องจากเป็นดัชนีที่ครอบคลุมบริษัทใหญ่ๆ ในสหรัฐฯ
- อื่น ๆ: ETF, หุ้นรายตัว, กองทุนรวม
เปรียบเทียบ: S&P500 เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว แต่ควรพิจารณาสินทรัพย์ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุนของตนเอง
S&P500 vs หุ้นรายตัว
- S&P500: การลงทุนในดัชนีที่ครอบคลุม 500 บริษัทใหญ่ในสหรัฐฯ ซึ่งให้การกระจายความเสี่ยงโดยอัตโนมัติ
- หุ้นรายตัว: ความเสี่ยงสูงกว่าแต่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าหากเลือกหุ้นที่ดี
- เปรียบเทียบ: S&P500 เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการลงทุนที่มั่นคงและลดความเสี่ยง ขณะที่การลงทุนในหุ้นรายตัวเหมาะกับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนสูงและยอมรับความเสี่ยงได้
DCA แล้วหุ้นตก -50% !!!
- การรับมือ: การขาดทุนหนักสามารถเกิดขึ้นได้ แม้จะใช้กลยุทธ์ DCA
- การปรับกลยุทธ์: สามารถพิจารณาลดการลงทุนเพิ่มเติมหรือรอให้ตลาดฟื้นตัวก่อน
- ความอดทน: การลงทุนระยะยาวมักต้องใช้ความอดทน แม้ในช่วงที่ตลาดตกหนัก
อเมริกาจะล้ม ดอลลาร์จะพัง!?
- ความกังวล: ความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ และค่าเงินดอลลาร์มักเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาในช่วงเวลาที่ตลาดมีความไม่แน่นอน
- การวิเคราะห์: แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ แต่สหรัฐฯ ยังเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก
- การเตรียมตัว: นักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงโดยการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความหลากหลาย
กระจายความเสี่ยงแบบนี้ ดีไหม?
- การกระจายความเสี่ยง: คือการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภทเพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน
- ตัวอย่าง: การลงทุนในหุ้น, ตราสารหนี้, อสังหาริมทรัพย์, และสินทรัพย์อื่น ๆ
- ข้อดี: ลดความเสี่ยงในการขาดทุนหนักในสินทรัพย์เดียว
- ข้อเสีย: อาจทำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยลดลง หากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำมีผลตอบแทนต่ำ