การลงทุนหุ้นอเมริกาแบบง่าย

Natee Rientrakulchai
T. T. Software Solution
4 min readAug 13, 2024

วันหนึ่งซึ่งผมได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับเงินเฟ้อ และสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทำให้ผมสนใจที่จะทำให้เงินของผลมีมูลค่าเท่าเดิม หรืองอกเงยขึ้นตามกาลเวลาและเศรษฐกิจโลก วันนี้ผมเลยรวมรวมหัวข้อจาก youtube หลายๆช่อง และหลายๆบทความมาสรุปในแบบที่คิดว่าพอจะเข้าใจได้ไม่ยากมากครับ

พื้นฐานสุดขอพูดถึงประเภทต่างๆของการลงทุนก่อนนะครับ คือประเภทต่างๆของการลงทุน ดังรูปนี้ครับ

ภาพนี้แสดงให้เห็นการจัดลำดับ “ความเสี่ยง” ของการลงทุนในรูปแบบของปิรามิด ซึ่งแบ่งระดับความเสี่ยงตามประเภทของการลงทุนที่แตกต่างกัน ไล่จากระดับที่มีความเสี่ยงสูงสุดไปจนถึงต่ำสุด ดังนี้

  1. อนุพันธ์ — อยู่บนยอดของปิรามิด แสดงถึงความเสี่ยงที่สูงที่สุดในการลงทุน อนุพันธ์เป็นตลาดที่มีความผันผวนสูง ซึ่งสามารถทำกำไรหรือขาดทุนได้อย่างรวดเร็ว
  2. หุ้น — มีผลตอบแทนสูง แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน การลงทุนในหุ้นต้องรับมือกับความผันผวนของตลาดที่อาจทำให้มูลค่าลงทุนเปลี่ยนแปลงได้อย่างมาก
  3. กองทุนรวม — ความเสี่ยงของการลงทุนในกองทุนรวมขึ้นอยู่กับสินทรัพย์ที่กองทุนลงไปด้วย การลงทุนในกองทุนรวมช่วยกระจายความเสี่ยงได้บ้าง แต่ก็ยังมีความเสี่ยงตามสินทรัพย์ที่ลงทุน
  4. หุ้นกู้ — การลงทุนในหุ้นกู้มีความเสี่ยงน้อยกว่าหุ้น เนื่องจากเป็นการกู้เงินจากบริษัท ซึ่งจะได้รับดอกเบี้ยเป็นผลตอบแทน อย่างไรก็ตาม ยังมีโอกาสเสี่ยงถ้าบริษัทผู้ออกหุ้นกู้มีปัญหาทางการเงิน
  5. พันธบัตรรัฐบาล — มีความเสี่ยงต่ำกว่า เนื่องจากออกโดยรัฐบาลหรือหน่วยงานรัฐ ซึ่งโอกาสที่รัฐบาลจะผิดนัดชำระนั้นน้อยมาก จึงเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยกว่า
  6. เงินสดฝากแบงก์ — อยู่ที่ฐานของปิรามิด เป็นการลงทุนที่ปลอดภัยที่สุด แต่อัตราผลตอบแทนอาจต่ำสุดเช่นกัน การฝากเงินในธนาคารมีความเสี่ยงน้อยมาก และมักได้รับการคุ้มครองโดยประกันเงินฝาก

1. หุ้นอเมริกา คืออะไร?

หุ้นอเมริกา ก็คือหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา ตลาดหลัก ๆ ที่สำคัญมีสองตลาดหลักในสหรัฐฯ ที่คนทั่วโลกคุ้นเคยกันดีคือ NYSE และ NASDAQ แต่ละตลาดก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป เช่น

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (NYSE หรือ New York Stock Exchange) https://www.nyse.com/quote/index/NY.ID: ตลาดนี้ตั้งอยู่ที่นิวยอร์ก และถือว่าเป็นตลาดหุ้นที่เก่าแก่ที่สุดในอเมริกา ที่นี่มีหุ้นจากบริษัทใหญ่ ๆ ที่เป็นที่รู้จักกันดีอยู่มากมาย เช่น Birkshire Hathaway, Novo Nordisk, VISA, และ Eli Lilly ซึ่งครอบคลุมในหลากหลายกลุ่มธุรกิจ เช่น การเงิน, อุปโภคบริโภค, และพลังงาน
https://www.nyse.com/quote/index/NY.ID
  • ตลาดหุ้นแนสแด็ก (NASDAQ หรือ National Association of Securities Dealers Automated Quotations) https://www.nasdaq.com/: ตลาดนี้เป็นแหล่งรวมของบริษัทเทคโนโลยีที่มีการเติบโตสูงมาก และที่นี่ก็มักจะมีหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกอยู่มาก เช่น Alphabet (หรือ Google), Meta (หรือ Facebook), Apple, Nvidia, และ Tesla

ดัชนีสำคัญในการวัดผลตอบแทนจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีอยู่สามตัวหลัก ๆ คือ

  • ดัชนี Dow Jones Industrial Average: ดัชนีนี้จะคำนวณจากราคาหุ้นของบริษัทใหญ่ ๆ จำนวน 30 ตัวในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่มีรายได้จากทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตัวอย่างบริษัทในดัชนีนี้ก็เช่น Boeing, American Express, JP Morgan, และ Nike
  • ดัชนี S&P 500: ดัชนีนี้ถูกจัดทำขึ้นโดยบริษัท Standard and Poor’s ซึ่งรวบรวมหุ้นจากบริษัท 500 แห่งในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และคำนวณด้วยการถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด ซึ่งดัชนีนี้สามารถบ่งบอกถึงการเคลื่อนไหวของหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้กว่า 80% ของทั้งตลาดเลยทีเดียว หุ้นดัง ๆ ในดัชนีนี้ เช่น Exon, VISA, Walmart, และ Coca Cola
  • ดัชนี Nasdaq Composite Index: ดัชนีนี้เป็นดัชนีที่รวบรวมหุ้นของบริษัทเทคโนโลยี นวัตกรรม หรือไบโอเทคเป็นหลัก ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีชื่อเสียงในฐานะดัชนีสำหรับหุ้นเทคโนโลยี แต่ก็ยังมีหุ้นจากกลุ่มอื่น ๆ อย่างการเงิน ขนส่ง และอุตสาหกรรมด้วย หุ้นที่อยู่ในดัชนีนี้ก็เช่น Airbnb, Adobe, Nvidia, Tesla, และ lululemon

ตัวอย่างช่องทางในการดูภาพรวมราคา และมูลค่าหุ้นแต่ละตัว คุณสามารถเข้าไปดูได้ที่ finviz.com

ตัวอย่างช่องทางการดูรายละเอียดของหุ้นแต่ละตัว https://www.tradingview.com/

2. ทำไมต้องลงทุนในหุ้นอเมริกา?

มีหลายเหตุผลที่ทำให้นักลงทุนทั่วโลกสนใจลงทุนในหุ้นอเมริกา ลองมาดูเหตุผลหลัก ๆ กันเลย

  1. เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและมั่นคง
  • สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก มี GDP สูง และเศรษฐกิจก็แข็งแรงมั่นคง ทำให้มีศักยภาพในการเติบโตต่อเนื่อง
  • หลายบริษัทในสหรัฐฯ เป็นบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ที่ทำธุรกิจทั่วโลก ทำให้สามารถกระจายความเสี่ยงได้ดีและมีโอกาสในการเติบโตมากขึ้น

2. ตลาดทุนที่หลากหลายและเข้าถึงง่าย

  • ตลาดหุ้นในอเมริกามีหุ้นจากอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ตั้งแต่เทคโนโลยี การแพทย์ พลังงาน ไปจนถึงสินค้าอุปโภคบริโภค นั่นหมายความว่านักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในอุตสาหกรรมที่ตัวเองสนใจและมั่นใจได้
  • การลงทุนในหุ้นอเมริกาก็ง่ายมาก ๆ เพราะสามารถทำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ได้ และเวลาทำการของตลาดหุ้นที่ยาวกว่าตลาดอื่น ๆ ก็เป็นข้อดีอีกอย่างหนึ่ง

3. บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลก

  • สหรัฐฯ เป็นบ้านของบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ ระดับโลกอย่าง Apple, Microsoft, Amazon, Google (Alphabet) และ Facebook (Meta) ซึ่งบริษัทเหล่านี้เป็นบริษัทที่เติบโตสูงและมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลกอย่างมาก
  • การลงทุนในหุ้นพวกนี้ทำให้นักลงทุนมีโอกาสได้เป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลก

4. การรักษามาตรฐานทางกฎหมายและความโปร่งใส

  • ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถูกควบคุมอย่างเข้มงวดโดยองค์กรต่าง ๆ อย่าง SEC (Securities and Exchange Commission) ทำให้มีความโปร่งใสและรักษามาตรฐานสูงในการทำธุรกิจ
  • ข้อมูลทางการเงินและรายงานของบริษัทต่าง ๆ ที่เปิดเผยออกมามีความถูกต้องและเชื่อถือได้ ซึ่งช่วยให้นักลงทุนสามารถวิเคราะห์และตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ

5. ดัชนีชี้วัดที่น่าเชื่อถือ

  • ดัชนีชี้วัดตลาดหุ้นสหรัฐฯ เช่น S&P 500, NASDAQ Composite, และ Dow Jones Industrial Average เป็นดัชนีที่มีความน่าเชื่อถือและมักถูกใช้เป็นเกณฑ์ในการวัดผลการลงทุนทั่วโลก
  • นักลงทุนหลายคนชอบลงทุนในกองทุนที่ติดตามดัชนีเหล่านี้ (เช่น ETF) เพราะเป็นวิธีที่ง่ายและดีในการกระจายการลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกา

6. การป้องกันความเสี่ยงด้วยการกระจายการลงทุน

  • การลงทุนในหุ้นอเมริกาช่วยให้นักลงทุนกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์ ซึ่งเป็นการลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการพึ่งพาเศรษฐกิจของประเทศเดียว
  • โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจของประเทศใดประเทศหนึ่งอาจเจอปัญหา การที่เราลงทุนในตลาดที่หลากหลายจะช่วยลดผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุนของเราได้

3. วิธีลงทุนในหุ้นอเมริกา

ถ้าคุณอยากลงทุนในหุ้นอเมริกา จริง ๆ แล้วมีหลายวิธีที่คุณสามารถทำได้ ขึ้นอยู่กับความสะดวกและเป้าหมายของคุณเอง นี่คือสามวิธีหลัก ๆ ที่คุณสามารถใช้ในการเข้าถึงตลาดหุ้นอเมริกา

  1. ซื้อ DR (Depositary Receipt)
  • DR หรือ Depositary Receipt คือเครื่องมือที่ช่วยให้นักลงทุนในไทยสามารถซื้อหุ้นอเมริกาได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องเปิดบัญชีต่างประเทศเลย การซื้อขาย DR ทำได้ผ่านตลาดหุ้นไทยเหมือนหุ้นทั่วไป และยังได้รับสิทธิพิเศษเหมือนการถือหุ้นจริง ๆ เช่น การได้รับเงินปันผล หรือสิทธิในการเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้น

ข้อดี

  • คุณสามารถเข้าถึงการลงทุนในหุ้นอเมริกาได้ด้วยเงินเริ่มต้นไม่มาก
  • ซื้อขายได้ง่าย ๆ ในตลาดหุ้นไทยที่คุณคุ้นเคย
  • ได้รับสิทธิพิเศษเหมือนผู้ถือหุ้นจริง ๆ

ข้อจำกัด

  • จำนวนหุ้นอเมริกาที่ซื้อขายผ่าน DR ยังมีจำกัด เฉพาะหุ้นยอดนิยมเท่านั้น
  • อาจมีความเสี่ยงเรื่องสภาพคล่องและความไม่แน่นอนของตลาด

ช่องทางการซื้อขาย

  • คุณสามารถเปิดบัญชีและซื้อขาย DR ผ่านโบรกเกอร์ในไทย เช่น บัวหลวง, กสิกรไทย, หรือ Innovest X

2. ซื้อหุ้นอเมริกาผ่านโบรกเกอร์ในไทย

  • ตอนนี้หลายโบรกเกอร์ในไทยมีแอปพลิเคชันที่ช่วยให้คุณสามารถซื้อหุ้นอเมริกาได้โดยตรงจากประเทศไทยเลย ไม่ต้องยุ่งยากเปิดบัญชีต่างประเทศ วิธีนี้ทำให้คุณเป็นเจ้าของหุ้นจริง ๆ ได้เลย ซึ่งรวมถึงสิทธิในการรับเงินปันผลและการลงคะแนนเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้นด้วย

ข้อดี

  • คุณสามารถเป็นเจ้าของหุ้นจริง ๆ และได้รับสิทธิพิเศษต่าง ๆ เหมือนถือหุ้นในอเมริกาเอง
  • ซื้อขายง่ายและสะดวกผ่านแอปพลิเคชันของโบรกเกอร์ในไทย

ข้อจำกัด

  • หุ้นอเมริกามักมีราคาสูง ต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างมาก
  • ต้องเสียภาษีทั้งในสหรัฐฯ และภาษีเงินได้ปลายปีในไทย
  • อาจมีค่าธรรมเนียมที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับการซื้อขายโดยตรงในตลาดสหรัฐฯ

ช่องทางการซื้อขาย

  • คุณสามารถเปิดบัญชีและซื้อขายหุ้นอเมริกาผ่านแอปพลิเคชันในไทย เช่น Dime หรือ Innovest X

3. เก็งกำไรหุ้นอเมริกาผ่านเครื่องมือทางอนุพันธ์

สำหรับคนที่ชอบการเก็งกำไรระยะสั้น การใช้เครื่องมือทางอนุพันธ์ (Derivatives) อย่างเช่น CFD (Contract for Difference) ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง CFD เป็นสัญญาที่อ้างอิงราคาหุ้น ทำให้คุณสามารถทำกำไรได้ทั้งในขาขึ้นและขาลงของตลาด นอกจากนี้ยังมีอัตราทด (Leverage) ที่ช่วยขยายโอกาสในการทำกำไร (แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงด้วย)

ข้อดี

  • สามารถทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นได้ทั้งขาขึ้นและขาลง
  • ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการซื้อหุ้นจริง
  • มีอัตราทดที่ช่วยขยายผลกำไรได้ (แต่ก็ต้องระวังเรื่องความเสี่ยง)

ข้อจำกัด

  • ความเสี่ยงสูง เพราะอัตราทดอาจขยายทั้งกำไรและขาดทุนได้
  • คุณจะไม่ได้รับสิทธิพิเศษเหมือนผู้ถือหุ้นจริง เช่น การรับเงินปันผล
  • ไม่เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว เพราะขาดความมั่นคง

ช่องทางการซื้อขาย

  • คุณสามารถเปิดบัญชีซื้อขายอนุพันธ์กับโบรกเกอร์ที่ให้บริการ เช่น Mitrade (ฝากขั้นต่ำ $50) หรือ IC Markets (ฝากขั้นต่ำ $200)

4. สิ่งที่ควรรู้เมื่อลงทุนในหุ้นอเมริกา

การลงทุนในหุ้นอเมริกานับว่าเป็นโอกาสที่น่าสนใจสำหรับคนที่อยากกระจายการลงทุนไปยังตลาดต่างประเทศ แต่เพื่อให้การลงทุนของคุณประสบความสำเร็จและเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ คุณควรพิจารณาสิ่งเหล่านี้

  1. ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

ถ้าคุณลงทุนในหุ้นอเมริกา คุณจะต้องแปลงเงินจากเงินบาทเป็นดอลลาร์สหรัฐ ทั้งตอนที่ซื้อและขายหุ้น ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนของสองสกุลเงินนี้มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนอาจทำให้กำไรหรือขาดทุนจริง ๆ ของคุณไม่เป็นไปตามที่คิดไว้

ข้อควรระวัง

  • ถ้าค่าเงินบาทแข็งขึ้นในช่วงที่คุณขายหุ้น กำไรที่ได้อาจลดลงเมื่อแปลงกลับเป็นเงินบาท
  • นอกจากความเสี่ยงจากหุ้นแล้ว คุณยังต้องคำนึงถึงความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วย
  • การใช้เครื่องมือทางการเงิน เช่น ฟิวเจอร์สอัตราแลกเปลี่ยน อาจช่วยลดความเสี่ยงในด้านนี้ได้

2. ต้นทุนการซื้อขาย

การซื้อขายหุ้นในตลาดอเมริกามีต้นทุนที่คุณต้องคำนึงถึง ซึ่งอาจแตกต่างจากการซื้อขายหุ้นในตลาดไทย ต้นทุนหลัก ๆ ก็เช่น

  • ค่าคอมมิชชั่น: 0.08 USD ต่อหุ้น (แต่มีขั้นต่ำ 4.99 USD ต่อการซื้อขาย)
  • ค่าธรรมเนียมตลาด: 0.00278% ของมูลค่าการขาย
  • วันชำระเงิน: T+1 (ชำระเงินในวันทำการถัดไปหลังจากวันที่ทำการซื้อขาย)

หมายเหตุ

  • ต้นทุนเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อคุณซื้อขายหุ้นอเมริกาโดยตรงผ่านโบรกเกอร์ แต่ถ้าคุณซื้อขายผ่านเครื่องมืออื่น ๆ เช่น DR หรือ CFD ค่าธรรมเนียมอาจแตกต่างกันออกไป
  • นอกจากนี้ คุณควรพิจารณาค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงิน (Currency Conversion Fees) ด้วย เพราะมันอาจมีผลต่อกำไรสุทธิที่คุณจะได้รับ

3. ช่วงเวลาในการซื้อขายหุ้นอเมริกา

การซื้อขายหุ้นอเมริกาจะต้องสอดคล้องกับเวลาทำการของตลาดในสหรัฐฯ ซึ่งเวลาซื้อขายในไทยก็จะต่างไปตามฤดูกาล

  • มี.ค. — พ.ย.: ตลาดเปิดเวลา 20.30–03.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
  • พ.ย. — มี.ค.: ตลาดเปิดเวลา 21.30–04.00 น. ตามเวลาประเทศไทย

ข้อควรทราบ

  • ตลาดหุ้นอเมริกามีการเปลี่ยนเวลาออมแสง (Daylight Saving Time) ทำให้เวลาซื้อขายเปลี่ยนไปตามฤดูกาล
  • ถ้าคุณต้องการซื้อขายหุ้นอเมริกาในเวลาที่ตลาดเปิด (Real-time Trading) คุณต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการซื้อขายในช่วงเวลาดึกของไทย ซึ่งอาจมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันและการวางแผนการซื้อขายของคุณ

ถึงตรงนี้หลายคนน่าจะพอเข้าใจเกี่ยวกับหุ้นอเมริกาคืออะไร ศัพท์ต่างๆที่เราอาจเคยเห็นในหน้าจอทีวี หรือสื่อต่างๆ แต่เราอาจยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร ผมเลยได้รวบรวมแบบพื้นฐานตามความเข้าใจของผลมาให้แล้วนะครับ ขอขอบคุณทุกท่านที่อยู่ด้วยกันมาถึงบรรทัดนี้ครับ 55

ขอขอบคุณแหล่งที่มาและความรู้ดีๆที่ได้นำมาสรุปใส่ในเอกสารนี้ครับ

ช่อง ประธานเหมียว, https://www.youtube.com/watch?v=6N1D3bfW2I8

Mitrade, วิธีลงทุนหุ้นอเมริกา? สรุปวิธีการลงทุนหุ้นอเมริกา!, https://www.mitrade.com/th/insights/shares/investing-tips/invest-us-stocks

wealthmeup, เทียบระดับ “ความเสี่ยง” ลงทุน, https://wealthmeup.com/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87/

คำถามน่าสนใจ ❤

ยิ่งถือนาน ยิ่งพอร์ตโต จริงเหรอ?

  • หลักการลงทุนระยะยาว: การถือครองหุ้นในระยะยาวมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นเนื่องจากการเติบโตของธุรกิจและดอกเบี้ยทบต้น (compound interest)
  • ข้อมูลทางประวัติศาสตร์: แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นในระยะยาวมักจะมีแนวโน้มขึ้น แม้ว่าจะมีความผันผวนในระยะสั้น
  • ข้อควรระวัง: ถึงแม้ว่าการถือหุ้นนานจะมีข้อดี แต่ต้องมีการเลือกหุ้นที่เหมาะสมและมั่นคงในระยะยาว รวมถึงคำนึงถึงความเสี่ยงของตลาด

กองทุนรวม คืออะไร?

  • นิยาม: กองทุนรวมคือการรวมเงินทุนจากนักลงทุนหลาย ๆ คนมาไว้ในกองทุนเดียวกัน แล้วนำไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น หุ้น, ตราสารหนี้, หรือทรัพย์สินอื่น ๆ
  • ประเภทของกองทุนรวม: เช่น กองทุนหุ้น, กองทุนตราสารหนี้, กองทุนผสม และกองทุนตลาดเงิน
  • ข้อดีและข้อเสีย: กองทุนรวมช่วยกระจายความเสี่ยงและบริหารจัดการโดยมืออาชีพ แต่มีค่าธรรมเนียมและการควบคุมการลงทุนของนักลงทุนจำกัด

กองทุนไทย vs ต่างประเทศ อะไรดีกว่า?

  • กองทุนไทย: ลงทุนในสินทรัพย์ที่อยู่ในประเทศไทย เช่น หุ้นไทย, ตราสารหนี้ไทย
  • กองทุนต่างประเทศ: ลงทุนในสินทรัพย์ในต่างประเทศ เช่น หุ้นอเมริกา, ตลาดหุ้นยุโรป
  • เปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย:
  • กองทุนไทยอาจมีความคุ้นเคยกับนักลงทุนและมีความเสี่ยงทางการเมืองน้อยกว่า
  • กองทุนต่างประเทศมีโอกาสในตลาดที่ใหญ่กว่าและมีการกระจายความเสี่ยงมากกว่า

ซื้อกองทุน ต้องคอยดู?

  • การติดตามผลการลงทุน: กองทุนรวมมักถูกบริหารโดยผู้จัดการกองทุน แต่ยังจำเป็นต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงของตลาดและผลประกอบการของกองทุน
  • เครื่องมือในการติดตาม: การตรวจสอบรายงานประจำปี, การใช้แอปพลิเคชันเพื่อติดตามมูลค่ากองทุน, หรือการติดตามข่าวสารเกี่ยวกับตลาดการเงิน
  • ความสำคัญ: การติดตามการลงทุนช่วยให้นักลงทุนสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนได้ตามความจำเป็น

ลงทุนอะไร ไม่เสี่ยงเลย

  • การลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ: เช่น พันธบัตรรัฐบาล, เงินฝากออมทรัพย์, หรือกองทุนตลาดเงิน
  • ผลตอบแทนต่ำ: แม้จะมีความเสี่ยงต่ำ แต่การลงทุนประเภทนี้มักมีผลตอบแทนต่ำกว่า
  • ความมั่นคง: เป็นการลงทุนที่เน้นความมั่นคงของเงินต้นมากกว่าการเติบโตของพอร์ต

เงินฝาก vs หุ้น ข้อดี-ข้อเสียต่างกัน

เงินฝาก:

  • ข้อดี: ปลอดภัยสูง, มีความมั่นคง
  • ข้อเสีย: ผลตอบแทนต่ำ, ไม่สามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ในระยะยาว

หุ้น:

  • ข้อดี: ผลตอบแทนสูงกว่าในระยะยาว, มีโอกาสเติบโต
  • ข้อเสีย: มีความเสี่ยงสูง, ราคาอาจผันผวน

เปรียบเทียบ: ขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุนและความเสี่ยงที่นักลงทุนยอมรับได้

DCA คืออะไร? ไม่ขาดทุนจริงเหรอ?

  • DCA (Dollar Cost Averaging): การลงทุนโดยการซื้อหุ้นหรือสินทรัพย์เป็นจำนวนเงินที่เท่ากันในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น ทุกเดือน
  • ข้อดี: ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด, ไม่ต้องคาดการณ์ตลาด
  • ข้อเสีย: ไม่รับประกันว่าจะไม่ขาดทุน, ถ้าตลาดตกต่อเนื่องอาจยังคงมีผลขาดทุน

DCA อะไรดี? ต้อง S&P500 เท่านั้นเหรอ?

การเลือกสินทรัพย์สำหรับ DCA:

  • S&P500 เป็นตัวเลือกที่นิยมเนื่องจากเป็นดัชนีที่ครอบคลุมบริษัทใหญ่ๆ ในสหรัฐฯ
  • อื่น ๆ: ETF, หุ้นรายตัว, กองทุนรวม

เปรียบเทียบ: S&P500 เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว แต่ควรพิจารณาสินทรัพย์ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุนของตนเอง

S&P500 vs หุ้นรายตัว

  • S&P500: การลงทุนในดัชนีที่ครอบคลุม 500 บริษัทใหญ่ในสหรัฐฯ ซึ่งให้การกระจายความเสี่ยงโดยอัตโนมัติ
  • หุ้นรายตัว: ความเสี่ยงสูงกว่าแต่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าหากเลือกหุ้นที่ดี
  • เปรียบเทียบ: S&P500 เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการลงทุนที่มั่นคงและลดความเสี่ยง ขณะที่การลงทุนในหุ้นรายตัวเหมาะกับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนสูงและยอมรับความเสี่ยงได้

DCA แล้วหุ้นตก -50% !!!

  • การรับมือ: การขาดทุนหนักสามารถเกิดขึ้นได้ แม้จะใช้กลยุทธ์ DCA
  • การปรับกลยุทธ์: สามารถพิจารณาลดการลงทุนเพิ่มเติมหรือรอให้ตลาดฟื้นตัวก่อน
  • ความอดทน: การลงทุนระยะยาวมักต้องใช้ความอดทน แม้ในช่วงที่ตลาดตกหนัก

อเมริกาจะล้ม ดอลลาร์จะพัง!?

  • ความกังวล: ความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ และค่าเงินดอลลาร์มักเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาในช่วงเวลาที่ตลาดมีความไม่แน่นอน
  • การวิเคราะห์: แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ แต่สหรัฐฯ ยังเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก
  • การเตรียมตัว: นักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงโดยการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความหลากหลาย

กระจายความเสี่ยงแบบนี้ ดีไหม?

  • การกระจายความเสี่ยง: คือการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภทเพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน
  • ตัวอย่าง: การลงทุนในหุ้น, ตราสารหนี้, อสังหาริมทรัพย์, และสินทรัพย์อื่น ๆ
  • ข้อดี: ลดความเสี่ยงในการขาดทุนหนักในสินทรัพย์เดียว
  • ข้อเสีย: อาจทำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยลดลง หากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำมีผลตอบแทนต่ำ

--

--