How to : ไปเรียนภาษาที่เกาหลีแบบไม่ง้อเอเจนซี่ ตอนที่ ①

Shamster_
3 min readJul 14, 2018

--

โตแล้วจะไปไหนก็ได้… แต่หาที่ไปให้ได้ก๊อนนนนนน 。◕‿◕。

ต้องบอกก่อนว่า สมัยเรียนปริญญาโทเราเคยเป็นเด็กแลกเปลี่ยนที่ประเทศเกาหลี เพราะว่าทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวข้องกับประเทศเกาหลี พอกลับมา เรียนจบ ทำงานไปได้ซักพัก ตัดสินใจลาออกจากงาน แล้ว story ชีวิตในเกาหลีก็เริ่มอีกครั้ง

ตอนแรกเลยไม่ได้ตั้งใจที่จะไปเรียนภาษา แต่ว่าสมัครทุนเรียนต่อไม่ผ่าน ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เลยตัดสินใจว่า ไปเรียนภาษาเอาความรู้ต่อจากเดิมก็แล้วกัน แต่รอบนี้มีเงื่อนไขหลักๆ คือ

  1. เนื่องจากอยากไปแตะขอบฟ้า แต่เงินในบัญชีเหมือนจะไม่เข้าใจ — ก็บอกแล้วว่าไม่ได้คิดแผนนี้มาแต่แรก ช่วงทำงานก็เที่ยวนู้นเที่ยวนี้ อยากได้อะไรก็เปย์ๆ ผลคือ เงินไม่พอ ต้องขอกู้ยืมเงินแม่มาช่วยด้วย
  2. จะไม่เรียนในโซล — อยู่ที่โซลกลัววอกแวก ห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายบานปลาย ไม่มั่นใจว่าตัวเองจะคุมอยู่ สาเหตุจริงๆ เพราะข้อ 1 ด้วย ㅠㅠ คือการเรียนที่สถาบันภาษาของมหาวิทยาลัยต่างจังหวัด ค่าเทอมจะถูกกว่าหลายหมื่นวอนเลย
  3. จะเรียนแต่สถาบันของมหาวิทยาลัยและต้องมีหอให้คนต่างชาติพักได้ — เพราะขี้เกียจหาเอง แล้วไม่ชอบความยุ่งยาก ถ้าต้องหาหอเองอีก เผลอๆ เทแน่เลย
  4. ต้องได้ TOPIK (การสอบวัดระดับมาตรฐานภาษาเกาหลี) อย่างน้อยกึบ 3 กลับบ้าน

ตบตีกับตัวเองจนได้เงื่อนไขนี้ออกมา Step ต่อไป คือ ไปหาข้อมูลสถาบันสอนภาษา (หรือที่ภาษาเกาหลีเรียกว่า ออฮักวอน 어학원 /ออฮักตัง 어학당 นั่นเอง) สุดท้ายมีออฮักตังที่เข้ารอบ final อยู่ 2 ที่

Daegu University’s Korean Language Education Center

☺ ข้อดีในสายตาเรา (อิงจากข้อมูลเว็ป)

▷ ค่าเทอม 1,100,000 Won
▷ ค่าสมัคร 50,000 Won
▷ มีหอพักในมหาลัยให้ ราคาแล้วแต่หอและแล้วแต่เทอม (ไม่รู้ว่ารวมค่าข้าวด้วยมั้ย)
▷คนไทยน้อย แทบจะไม่ค่อยมีคนไทยเรียนที่นี่
▷จากที่ไปอ่านรีวิว แถวๆ มอค่อนข้างเงียบ ไม่วุ่นวาย ชิวๆ แบบที่เราชอบเลย

☻ข้อกังวลของเราเอง (ย้ำก่อนว่าอันนี้คือในส่วนตัวของเราเอง)

▶ ห่วงเรื่องภาษาซาทูรี (사투리 = ภาษาถิ่น) ของแดกู อันนี้เราคิดเอาเองว่า เอ.. ในคลาสเราเรียนเกาหลีกลาง แต่ถ้าออกมาข้างนอกเจอคนส่วนใหญ่พูดซาทูรี เราจะสื่อสารได้ไหม แค่เกาหลีธรรมดาก็ไม่ค่อยเก่งอยู่แล้ว สุดท้ายแล้วถ้าเรียนจบ จะไม่ Achieve เงื่อนไขที่ตั้งไว้หรือเปล่า

Gangneung Wonju National University

☺ ข้อดี

▷ เหมือนกลับถิ่นเก่า เพราะตอนแลกเปลี่ยนเรียนที่นี่ และเรียนภาษาเกาหลีครั้งแรกในชีวิตที่นี่
▷ อย่างที่บอกว่าถิ่นเก่า ไปไหนมาไหนคนเดียวสบายมาก
▷ รู้จักและสนิทกับอาจารย์หลายๆ ท่านที่สอนอยู่ เพราะเป็นศิษย์เก่า แล้วตัวเองเวลามาเที่ยวเกาหลี ก็แวะกลับมอบ่อยๆ
▷ มีหอในให้อยู่แน่นอน มีโรงอาหารให้เด็กหอด้วย
▷บรรดาเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันสมัยเป็นเด็กแลกเปลี่ยน ยังเรียนที่มหาลัยนี้อยู่

☻ ข้อเสีย

▶ ก็เคยอยู่มาแล้วอ่า ~ ~ ~ อยากไปที่อื่นบ้าง

หลังจากสองจิตสองใจว่าจะไปไหนดี (แต่ใจเอนไปทางแดกูมากกว่า) เลยไปถาม 언니 (ออนนี่ = พี่สาว) ซึ่งเคยเป็นอาจารย์สอนภาษาเกาหลีสมัยแลกเปลี่ยน และสนิทกันมากกกกกกก ก็ได้ข้อสรุปมาว่า

  1. ออฮักตังที่ไหนก็เหมือนกันหมด อยู่ที่เราจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจมากกว่า
  2. เรื่องซาทูรีที่กังวล ก็คิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้น ออนนี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ปกติแดกูเค้าก็พูดซาทูรีกันทั้งนั้น
  3. ออนนี่ย้ำหลายร้อยรอบว่า แดกูไกลมาก ไกลโซลด้วย และก็ไกลกังนึงด้วย นั่งรถหลายชั่วโมงเลย อย่าไปเลย มาอยู่ด้วยกันที่กังนึงนี่แหละ เดี๋ยวติดต่ออาจารย์ที่ดูแลเด็กต่างชาติให้เลย (มีความหว่านล้อมรุนแรงมาก)

ช่วงนั้นก็ปรึกษาหลายๆ คน คุยกับคนอื่นบ้าง คุยกับตัวเองบ้าง เอาไงดีๆๆๆๆๆ

สรุปคือ.. แม่บอกอยากไปแตะขอบฟ้า ก็ไปแตะที่เดิม ไปเรียนที่กังนึงเหมือนเดิม จบข่าว ◑ω◐

อันนี้รูปม.กังนึง (GWNU) ที่เราถ่ายเอง ทั้งสมัยเป็นเด็กแลกเปลี่ยน, กลับไปเที่ยว รวมถึงตอนไปเรียนภาษารอบนี้ เลยมีครบทุกฤดูเลย

เมื่อได้ที่ที่คิดว่าจะไปเรียนแล้ว Step ที่ยุ่งยากที่สุดในสามโลก ก็ตามมา ,,
นั่นคือ …..

“ขั้นตอนการเตรียมเอกสาร <(‵^′)> “

พอตัดสินใจว่าไปเรียนที่กังนึง ก็แชทคาทกคุยกับอาจารย์ที่ดูแล (ด้วยความช่วยเหลือจากออนนี่ ที่กลัวน้องจะไปเรียนที่อื่นนั่นเอง) อาจารย์ก็ส่งเว็ปมาให้

ความวุ่นวายสุดๆ คือ ตอนที่อาจารย์ส่งมาเป็นช่วงกุมภาพันธ์ ตอนแรกเราคิดว่าจะไปเรียนเทอม Spring (มีค.-พค.) แต่ว่ามันดันหมดเขตสมัครไปแล้ว ㅠㅠ เลยต้องสมัครเทอม Summer แทน ความผีคือเทอม Summer เนี่ย หมดเขตรับสมัครวันที่ 16 เมย. แล้ววันที่คุยคือช่วง 4–5 เมย.แล้วอ่ะ นี่ก็ตาลีตาเหลือกรีบไปทำเอกสารเลยจย้าาาา

เอกสารหลักๆ ที่ต้องใช้ (เอาเฉพาะที่นึกออกแล้วยุ่งยากในการเตรียมนะ)

  1. ทะเบียนบ้านสมาชิกทุกคนในครอบครัว — พ่อ แม่ พี่ น้อง ในครอบครัวเดียวกันมีกี่คน เอาไปแปลให้หมด
    ⚠ แปลของทุกคนเป็นภาษาอังกฤษ แล้วเอาไปรับรองที่กงสุล
    ⚠ เอาเอกสารที่กงสุลรับรองแล้ว ไปให้สถานทูตเกาหลีในไทยรับรองต่ออีกครั้ง

2. Transcript ตัวจริง ภาษาอังกฤษ — เราใช้ของปอโท

3. ใบรับรองคุณวุฒิตัวจริง ภาษาอังกฤษ — เราใช้ของปอโทเหมือนกัน

ทั้งสามอันนี้ต้องเอาไปให้กงสุลรับรองก่อน แล้วเอาไปรับรองอีกครั้งที่สถานทูตเกาหลีในไทย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อ 2 และ 3 เหมือนเป็นภาคบังคับว่า คนไทยที่จะสมัครเรียนภาษาเกาหลีในสถาบันของมหาวิทยาลัย จะต้องใช้ตัวเอกสารตัวจริงและต้องได้รับการรับรองทั้งจากกงสุลและสถานทูตแล้วเท่านั้น
(จริงๆ มันจะมีเงื่อนไขระบุเพิ่มเติมแต่ละมหาวิทยาลัยในไทยที่เราเรียนอยู่หรือจบมา จะมีการขอเอกสารเพิ่มเติม แต่มอที่เราจบมาสามารถใช้แค่เอกสารตัวจริงไปยื่นรับรองได้เลย)

ในส่วนของเรา เรารับรองที่กงสุลเชียงใหม่ ,,, ยื่นเอกสารตอนเช้า แล้วอีกสามวันมารับเอกสาร ยื่นแบบปกติฉบับละ 200 บาท (แบบด่วน 400 บาท คือยื่นเช้า บ่ายรอรับได้เลย) ตอนที่เรายื่น มียื่นด่วนด้วย 1 ใบ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดประมาณ 1,400 บาท

จากนั้นก็เข้ากรุงเทพฯ ไปยื่นให้สถานทูตรับรองต่อ ทะเบียนบ้านที่แปลแล้ว 4 ใบ, Transcript 1 ใบ และใบรับรองคุณวุฒิ 1 ใบ รวมๆ แล้วประมาณไม่ถึง 800 บาทนะ
ในส่วนของสถานทูตใช้เวลาไม่นานด้วย ยื่นเช้า รอประมาณ 1–2 ชม. ก็รับเอกสารได้เลย ดีมากกกกกก (•ө•)♡

เอกสารที่ได้รับการรับรองแล้วจะได้ตราปั๊มหน้าตาแบบนี้มา อันนี้เป็นส่วนของทะเบียนบ้าน ด้านบน คือการรับรองจากกงสุล ด้านล่าง คือ การรับรองจากสถานทูตเกาหลี

นี่คือคำเตือน‼‼‼‼

① การยื่นทะเบียนบ้านที่แปลแล้วให้กงสุลรับรอง ต้องเอาทะเบียนบ้านตัวจริงแนบไปด้วยทุกครั้ง โปรดฟังอีกครั้ง!!! ต้องเอาตัวจริงแนบไปทุกครั้งงงงงงงงงงงงง
ไม่เอาตัวจริงไป กงสุลไม่แปลให้นาจ้าาาา

② ห้ามทำใบเสร็จจ่ายเงินหายเด็ดขาดดดดด เพราะต้องใช้วันที่ไปรับเอกสาร ถ้าหายไม่ให้นะจ๊ะ ต้องไปแจ้งความที่โรงพัก แล้วเอาใบแจ้งความมายื่นรับเอกสารแทน

ที่เตือนมากๆๆๆๆๆ เพราะพลาดมาแล้วทั้งสองเคสเลย //ร้องไห้ 😭

นอกเหนือจากเอกสาร 3 ข้อที่บอกไปแล้ว ก็ยังมีในส่วนของเอกสารใบสมัครเรียนออฮักตัง รูปถ่ายของเรา อันนี้ไม่ยุ่งยากในขั้นตอนเตรียม แต่เนื่องจากมอกังนึงรับเอกสารสมัครทางไปรษณีย์เท่านั้น พอได้เอกสารทั้งหมด เราก็เอาใส่ซองเตรียมส่งไปเกาหลีต่อ

แต่!!!!!!!!!!!

ถ้าขั้นตอนนี้มันชิวๆ ก็จะดูราบรื่นไม่มีอะไรใช่มั้ยล่าาา แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดกับเราแน่นอน (ร้องไห้อีกรอบ ㅠㅠ) อย่างที่บอกไปแต่แรกแล้วว่า หมดเขตรับสมัครเทอม Summer คือ 16 เมษายน วันที่ทำเอกสารเสร็จก็ต้นๆ เดือนเหมือนกัน แล้วไทยก็จะติดหยุดยาววันสงกรานต์ด้วย เรากลัวว่าจะไม่ทันแล้วต้องไปเริ่มเรียนเทอม Autumn (นานไปอีก ตังหมดก่อนไปแน่นอน 55555)

สุดท้ายเราเลยเลือกส่ง DHL ไปแทน (ที่จริงส่งผ่านไปรฯ ไทยก็ได้นะ แต่ว่าเราไม่เคย เลยไม่มั่นใจ และอยากให้ถึงชัวร์ๆ ก่อนเวลา เลยส่งแบบนี้แทน) และกังนึงเป็นเมืองที่อยู่ไกลด้วย (ไกลโซลประมาณ 2.30 ชม.) DHL เลยต้องใช้ Third party ส่งต่อให้อีก ค่าส่งเลยโดนไปประมาณ 3,000 บาท

หลังจากนั้นวันที่ 11 เมษายน อาจารย์ก็คาทกมาบอกว่าได้รับเอกสารแล้วจ้าาาา พร้อมถ่ายรูปเอกสารค่าเทอมส่งมาให้

Next step จึงเป็นการโอนค่าเทอมไปเกาหลีและการขอวีซ่า ,,, และเนื่องจากว่ามันจะยาวเกินไป Next step ขอยกไปต่อใน How to : ไปเรียนภาษาที่เกาหลีแบบไม่ง้อเอเจนซี่ ตอนที่ ② นะคะ (✿◖◡​◗)❤❤

ปล. บางคนอาจจะรู้สึกว่าเนื้อหาคุ้นๆ เหมือนเคยอ่านมาก่อน ถ้ารู้สึกแบบนั้นแสดงว่าถูกต้องแล้วค่ะ 555555 เราเคยเขียนเรื่องนี้ลงใน twitter มาก่อน แต่ปิดๆ เปิดแอคฯหลายรอบ (อินดี้เหลือเกินนนนนน) เลยขอย้ายมาลงใน Medium อีกทาง

🍁 ปิดท้าย ด้วยรูปบรรยากาศรอบๆ มหาวิทยาลัยช่วงฤดูใบไม้ร่วง 🍂

--

--

Shamster_

Ɐᴘᴏƨᴛʀᴏᴘʜᴇ Ƨ : 𝐈ɴ 𝐀 𝐁ɪɢ 𝐁ɪɢ 𝐖ᴏʀʟᴅ