Tapaphorn Nooymueng
te<h @TDG
Published in
3 min readAug 26, 2019

--

Agile Thailand 2019 ครั้งแรกของฉัน

อยากแชร์ประสบการณ์การเข้าร่วมกิจกรรม Agile Thailand 2019 เป็นครั้งแรก ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณพี่เจี๊ยบซึ่งเป็นอีกคนที่ไปร่วมงานครั้งนี้เช่นกัน และจุดประกายการเขียน blog ในครั้งนี้ เพราะมี session ที่ให้เข้าร่วมเยอะแยะมาก แต่ Session ที่พี่เค้าแชร์ โชคดีที่ไม่เหมือนของตัวเองเลย อยากอยากแชร์ในส่วน Session ที่ได้ไปมาเพิ่มเติมบ้าง

และคนที่สำคัญเลยที่เปิดโอกาสให้ได้ไปงานครั้งนี้คือ พี่อ้อย เป็นผู้ที่คอยส่งข่าวเรื่องการจับจอง Ticket ให้ หลังจากได้ตั๋ว (ฟรี) มาแล้ว สิ่งแรกที่มองหาก่อนเลย คือ จัดที่ไหนแล้วมีที่จอดรถ (ฟรี) ไหม ก็ได้คำตอบว่า ครั้งนี้จัดที่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สำนักงานใหญ่ ถนนพระราม 3 แล้วที่สำคัญมากคือ มีที่จอดรถ!! แถมฟรีด้วย ไม่ไปไม่ได้ละ อำนวยความสะดวกให้ขนาดนี้

พอถึงวันงาน หลังจากเดินทางถึงด้วยความสะดวกสบายแล้ว พอเข้าไปในงานเท่านั้นแหละ ของแจกเยอะมาก ทุกคนต้องได้เป็น basic Package เลย คือเสื้อยืด และกระเป๋าผ้า Agile คือดีย์มากอะ แถมยังมีจับฉลากด้วย ลองเสี่ยงดวงดูดีกว่า (พอดีเดินผ่านแล้วนึกอยากได้ กระเป๋าตุ๊กตาอีกใบเพิ่ม (แต่รางวัลใหญ่เป็นตุ๊กตาตัวใหญ่ๆนะเออ) ปรากฎว่าจับได้รางวัลใหญ่ค่าาา ได้ตุ๊กตาตัวใหญ่ เกิดปัญหาและ (ขี้เกียจถือคะ ตัวใหญ่และหนักมาก โตแล้วไม่เล่นตุ๊กตานะคะ จริงๆตอนเด็กๆก็ไม่เล่นคะ เอาเป็นว่าไม่ปลื้มตุ๊กตา ฮ่าๆๆๆ) ทำไงดี หนักอะ นึกได้ ขอเค้าเปลี่ยนซิคะ (เผื่อเค้าให้) ปรากฎว่าได้เปลี่ยนค่า เค้าเอาของแจกทุกอย่างบนโต๊ะให้มาทุกอย่างเลย อย่างละอันสองอัน เพื่อให้คุ้มค่ากับการแลกกับตุ๊กตาตัวหย่ายๆๆ (สมใจละ ได้กระเป๋ามาอีกใบ)

นอกจากสถานที่สะดวกสบาย พร้อมของแจกมากมายแล้ว ยังมีอาหารเบรกทั้งภาคเช้าภาคบ่ายแบบ Set Box ขนมและน้ำอย่างดี อาหารเที่ยงแบบบุฟเฟก็ฟรี ห้องประชุมต่างๆสะดวกสบายครบครัน ต้องขอบคุณมากๆกับธนาคารกรุงศรีที่เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมพรัน สะดวกสบายทุกอย่าง ประทับใจสุดๆ คราวนี้ขอเข้าเรื่องละ เกริ่นแต่น้ำจิ้มมาพักใหญ่ มาดูกันดีกว่าคะ ว่าเค้ามี sessions อะไร และได้เข้าไปร่วม sessions อะไรบ้าง (วงแดงๆคือที่ได้เข้าร่วมและจะแชร์ให้ฟังคะ)

Session แรก: Agile Mindfulness

เป็น Session ที่ให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรม ได้ทำความรู้จักกับตัวเองผ่านการวาดภาพความเป็นตัวเอง จากนั้นก็วนซ้ายให้เพื่อนคนข้างๆช่วยเติมเต็มภาพ เติมเต็มในส่วนที่ขาดหายไป ก็ได้รับความสนุกสนาน ผสานกับงานศิลปะกันไป (งานศิลทั้งหลาย ไม่ถูกกะเราเลย เครียดคะ :P) โชคดีมีพี่อุ๊ยไปเป็นเพื่อนกันแถมชักภาพไว้ให้เลยมีภาพประกอบตามด้านล่างคะ

Session ที่สอง: The House of Enterprise Agility

Speaker ได้ให้ Concept ของการใช้ Agile สำหรับผู้ที่เริ่มสับสนในการนำ Agile ไปปรับใช้ในองค์กร เนื่องจากปัจจุบันมี Guru ด้าน Agile เกิดขึ้นมากมาย อาจทำให้ผู้ที่สนใจเข้ารับการอบรมเกิดความสับสนจนไม่รู้จะเดินไปทางไหนดี ให้นำ Concept ของบ้านพิมพ์เขียวไปใช้ดังต่อไปนี้ (ซึ่งรายละเอียดของแต่ละองค์ประกอบขอขยายความในบทความถัดไป)

Session ที่สาม: Hypersprint

เป็น Concept ของการสอนทีมให้สามารถเข้าใจ concept Agile แล้วนำไปใช้โดยทุกคนในทีมได้รับรู้ที่การทำงานร่วมกันและหน้าที่ของแต่ละคนใน agile โดย Hypersprint จะเป็นการทำงานจริงโดยนำ agile ไปใช้และกำหนด ให้ 1 Sprint อยู่ภายใน 1–2 วัน โดยพยายามหั่น story ให้สามารถทำงานให้เสร็จได้ภายใน 1–2 วันให้ได้ โดยให้ทีมทำงานร่วมกันแบบ open space และนั่งรวมกันแบบโต๊ะประชุม เพื่อให้ง่ายต่อการ Pair งานและติดต่อสื่อสาร ซึ่งในทีมที่เพิ่งเริ่มทำ Agile แรกๆอาจจะเกิดปัญหาตะกุกตะกัก ซึ่งเราก็จะมี SM หรือ Coach คอยตอบคำถามและ Guideline ให้ แต่จากที่ Speaker แชร์ประสบการณ์ในการ Coach มานั้น ทีมจะเริ่มปรับตัวได้ และเริ่มเข้าใจและทำงานร่วมกันได้ดี ใน Sprint ที่ 2–3 จากนั้น ก็จะให้ทีมลองรันเช่นนี้ไปสักประมาณ 6 sprint จึงปล่อยทีมกลับเข้าไปทำงานตามช่วง sprint เวลาตามปกติ

Session ที่สี่: Retrospective is not just Good/ Bad/ Try

Speaker แชร์ประสบการณ์ทำ Retrospective เพื่อกระชับความสัมพันธ์ของผู้ร่วมงาน หาเกมส์ต่างๆมาลองเล่นเพื่อให้ผู้ร่วมทีมมีการละลายพฤติกรรมต่างๆร่วมกัน โดยมักนำเหตุณ์การในปัจจุบันต่างๆมาปรับใช้เพื่อดึงดูดความสนใจ และ SM ต้องคอยเป็น Facilitator ที่ดีพยายามให้ทีมไม่ให้มี feedback ในทางที่ทำให้เกิด Conflict กัน และสุดท้ายก็ต้องพยายามหา Action จากการทำทุกกิจกรรม เพื่อการปรับปรุงระบบการทำงานที่ดีขึ้น เพราะฉะนั้นการทำ Retrospective ก็ไม่จำเป็นจะต้องมีแค่ Good/ Bad/ Try เท่านั้น

Session ที่ห้า: Agile Mindset

Speaker เริ่มด้วยการให้ผู้เข้าร่วม session เขียนสิ่งที่ต้องการกำจัดออกไปจากที่ทำงาน และนำเสนอบนบอร์ด แม้การทำงานแบบ Agile ก็มีการกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน การจะเอางานเข้างานออกในแต่ละ sprint ก็มีการกำหนดเอาไว้ ดังนั้นหากเกิดปัจจัยใดๆที่เข้ามากระทบ (เกิด Change) ทำให้สิ่งที่ Plan ไว้เปลี่ยนแปลงไป จึงเป็นเหตุที่เลี่ยงไม่ได้ เพราะเราไม่สามารถเปลี่ยนความเป็นจริงได้ แต่เราสามารถเปลี่ยน Plan ได้ ดังนั้นถ้าเรามี Mindset ว่า Agile กับ Change คือของคู่กัน เราก็จะสามารถทำงานได้อย่างสบายใจ โดยลืมขวากหนามกันไปเลยทีเดียว :)

--

--