ประสบการณ์ตรงจากการเรียน ป.ตรี และ ป.โท ที่อเมริกาและสิ่งที่อยากแนะนำต่างๆ

สวัสดีค่ะ เราอยากจะมาแชร์ประสบการณ์เรียนมหาลัยที่อมเริกาค่ะ เราเรียนภาษาอังกฤษก่อนสองปีที่ Community College ก่อนที่จะย้ายเข้ามาเรียนมหาลัยเป็น University เราจบ.ปตรีและเรียนต่อป.โท ทั้งคู่เป็นสาขา บัญชีนะค่ะ. ครั้งนี้เป็นการเขียนครั้งแรกของเรา แล้วที่เราอยากเขียนคอลัมนี้ขึ้นมาก็เพื่อเราอยากจะแนะนำน้องๆ หรือ เพื่อนๆ ที่กำลังจะเริ่มต้นเรียนมหาลัยที่อมเริกา เพราะเราเคยพลาดโอกาสดีๆและสิ่งต่างๆหลายอย่างในชีวิตมหาลัย และเราก็รู้สึกเสียใจว่าเราควรจะรู้ก่อนหน้านี้.

นักศึกษาปีที่หนึ่งหรือที่เรียกกันว่า Freshman

สำหรับการเข้าเรียนปีแรก เป็นปีที่เราเริ่มเรียนรู้สิ่งต่างๆ เราขอแนะนำให้ลองลงคาสที่แตกต่างกันไปเพื่อนค้นหาตัวเองว่าตัวเองชอบอะไร ปีแรกทุกคนอาจจะยังไม่ค่อยรู้ว่าตัวเองชอบอะไรหรืออยากลงคณะไหน อย่างที่สองที่เราอยากแนะนำคือทำความรู้จักกับเพื่อนๆในห้องเข้าไว้ เพราะตอนที่เรามาเรียนปีแรกเราไม่ได้สนใจใครคือประมานว่าเรียนเสร็จก็กลับบ้านไม่ได้คุยกับใครเท่าไหร่ และสิ่งที่สำคัญของการเรียนปีแรกสำหรับทุกๆคนคือเกรดเฉลี่ย บางคนอาจจะมีคนเถียงว่าเกรดไม่สำคัญเท่ากับประสบการณ์ อันนี้เราไม่รู้สำหรับคณะอื่น แต่คณะเราเกรดสำคัญพอๆกับประสบการณ์ (เดี๋ยวเราจะบอกว่าทำไม) และสิ่งที่เราพลาดคือเราลงเรียนเยอะเกินไป,ไม่สนใจเรียนเท่าที่ควร,เรียนเพื่อให้ผ่านไปวันๆ และผลสุดท้ายเกรดเน่า แต่ตอนนั้นเราไม่รุ้ว่าเกรดไม่ดีแล้วจะทำไม ขอให้เรียนๆผ่านๆหรือถ้าได้ B ก็พอใจและ แต่หารู้ไม่ว่า ยิ่งเรียน ปีที่สองสามสี่ ยิ่งยากขึ้นไปอีก

นักศึกษาเรียนปีที่สองหรือที่เรียกกันว่า Sophomore

พอเข้าปีที่สอง ปีนี้จะเป็นปีที่เราจะเรียนวิชาหลักในคณะที่เราเลือกมากขึ้น ปีนี้เราขอแนะนำว่า………..

1. ควรทำความรู้จักกับเพื่อนในสาขาเดียวกันให้มากขึ้นเพราะคุณจะเจอพวกเค้าบ่อยขึ้นในปีต่อๆไป แลกเบอร์โท หรือแลกเฟสบุคไว้เลยก้อดีค่ะ เพื่อนในคณะสำคัญมากเพราะว่าเราสามารถช่อยกันแชร์โน๊ตที่เราจดไม่ทันอาจารย์สอน หรือวันไหนที่เราป่วยหรือขาดเรียน พวกเค้าเหล่านี้ก้จะช่วยคุณให้ตามทันที่อาจารย์สอนหรือบางทีอาจารย์สั่งงานแล้วเราขาดเรียน เพื่อนพวกนี้จะเก็บงานไว้ให้คุณได้ หรือแม้กระทั่งช่วงสอบพวกเราก็สามารถนัดกันติ๋วหนังสือช่วงหลังเลิกเรียนเสาหรืออาทิด บางที่ติวกันถึงตีหนึ่งตีสองก้อมีนะค่ะ แล้วยิ่งพวกเด็กเรียน Engineer ติวกันถึงเช้าเลยค่ะ อันนี้ขอนับถือค่ะ (อีกอย่างขอบอกเลยนะค่ะว่า เรื่องการสอบของที่นี่ ต้องขอบอกเลยว่าที่อเมริกาเข็มงวดมากกับการลอกข้อสอบมาก การลอกครั้งเดียวแล้วถ้าอาจารย์จับได้อาจจะต้องโดนไล่ออกจากมหาลัยกันเลยทีเดียว และอาจจะมีประวัตติดตัวเวลาไปสมัครงานอีก อันนี้เราว่าเรื่องใหญ่ ถ้าวันไหนไม่ได้เตรียมตัวมา ขอแนะนำว่าให้ทำให้ดีที่สุดค่ะ) และประโยชน์ของการมีเพื่อนอีกอย่างนึงก็คือเราสามารถยืมหนังสือเรียนกันได้ หรือซื้อหนังสือต่อจากกับเพื่อนในคณะเดียวกันที่ราคาถูก หรือเพื่อนบางคนอาจจะให้เรายืมฟรีเลยก็มี เพราะทุกคนที่เรียนที่อมเริกาต่างรู้ดีอยู่แล้วว่าค่าหนังสือเล่มใหม่เต่ละเล่มแพงมาก แรกๆเรียน เราซื้อเล่มใหม่ตลอด แต่หลังๆเราเริ่มถามเพื่อนๆก่อนที่จะซื้อ หรือไม่ก็ซื้อมือสองตามเวปไซส์ต่างๆ บางทีถ้าเราคิดว่าถ้าซื้อไม่คุ้มเราก็จะเช่าหนังสือเอาค่ะ แบบนี้ประหยัดได้ไปอีกกกก

2. นอกจากทำความรู้จักกับเพื่อนในสาขาเดียวกันแล้ว เราแนะนำให้ทำความรู้จักกับอาจารย์มากขึ้นด้วยค่ะ ถ้าสนิทกับอาจรย์ที่สอนได้ก็ยิ่งดีค่ะ เพราะว่าวันนึงในข้างหน้าอาจารย์พวกนี้อาจจะต้องเป็นคนเขียนจดหมายที่จะไปสมัครงานให้กับคุณ หรือที่เค้าเรียกกันว่า Recommendation letter แล้วอาจารย์ส่วนใหญ่ไม่ใจร้ายนะค่ะ เค้าจะแนะนำเต่สิ่งดีๆให้กับนักเรียนเสมอ และถ้าอาจารย์เห็นเราเป็นเด็กขยัน มาเรียนตรงตามเวลา เวลาเรียนก็ตั้งใจเรียน มันจะทำให้อาจารย์คนนั้นจำเราได้มากขึ้น ลองนึกดูนะค่ะพอถึงเวลาสอบปลายภาคเสร็จอาจาย์จะต้องส่งเกรดเราให้มหาลัยและถ้าสมมติว่าเราได้เกรด 79 คือ C แต่อาจารย์เห็นเด็กคนนี้ตั้งใจเรียน อาจาย์ส่วนใหญ่เค้าจะให้เด็กคนนั้นเพิ่ม1คะแนะเป็น 80 คือ B ค่ะ มันต่างกันมากเลยนะค่ะ แล้วอีกอย่างเหตุการแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยมาก แต่ถ้าลองเทียบกับเด็กที่เล่นแต่โทรสับในห้องเรียน มาเรียนก็สาย งานก็ไม่ส่ง เค้าคงไม่ให้เด็กคนนั้น 1 คะแนนหรอกค่ะ เพราะที่ผ่านมาเราเห็นด็กนักเรียนบางคนไม่เคารพอาจารย์ นั่งเล่นมือถือบ้าง หรือคุยกันบ้าง เวลาอาจารย์สอน แบบประมานว่าไม่เห็นหัวอาจารย์

3. เราแนะนำให้ทำกิจกรรมกับมหาลัย เช่นเข้าชมรมต่างๆ ของเราเอง เราเลือกชมรมบัญชีเพราะเราเรียนบัญชี ในชมรมก็มีแต่เด็กที่เรียนบัญชีด้วยกัน แต่เราพลาดตรงที่ว่าเราไปเข้าตอนกลางปีสามจะใกล้ปีสี่ ซึ่งมันก้อไม่ได้สายเกินไปแต่ เราคิดว่าควรน่าจะเข้าตั้งแต่ปีสอง แต่เราก็ถือว่าเราโชคดีค่ะ เพราะคนที่แนะนำให้เรารู้จักชมรมนี้ก็คืออาจารย์ของเรานั่นเอง ไม่งั้นเราไม่รู้อะไรกับเค้าหรอกค่ะ ไม่รู้ด้วยซ่ำว่าที่มหาลัยมีชมรมให้เข้ารวมหรือกิจกรรมอื่นๆอีกมากมาย แต่ชมรมนี้มีข้อแม้อยู่ว่าถ้าเกรดไม่ถึงที่เค้ากำหนดไว้เราก็ไม่สามรถเข้าร่วมได้ เราถึงบอกตอนแรกว่าเกรดสำคัญ (ก่อนอื่นต้องขอบอกว่ามีหลายชมรมที่สามารเข้าได้โดยที่ไม่ต้องใช้เกรด) ส่วนประโยช์ของการเข้าชมรมนั้นมันจะยิ่งทำให้คุณเรียนรู้กับคณะนั้นๆมากขึ้น ทำให้รู้ว่าเราจบสาขานี้มาแล้วสามารถออกไปทำอาชีพอะไรได้บ้าง แล้วยิ่งทำให้รุ้จักกับเพื่อนหรือรุ่นพี่ที่เรียนคณะเดียวกันมากขึ้น หรือที่เค้าเรียกกันว่า Networking นั่นเองค่ะ

นักศึกษาเรียนปีที่สามหรือที่เรียกกันว่า Junior

ปีนี้เราแนะนำให้เริ่มฝึกงานหรือที่เค้าเรียนกันว่า Internship งาน Internshipที่นี่มีทั้งแบบจ่ายตังกับไม่จ่ายตังนะค่ะ แล้วอีกอย่างเราแนะนำว่าเริ่มทำ Resume ของเราเองเริ่มเขียนประสบการณ์ในกานฝึกงาน หรือกิจกรรมต่างๆที่เราร่วมในหมาลัย คนที่จะจ้างงานเราเค้าจะไม่ได้ดูแค่เกรดอย่างเดียวเค้าจะดูว่าเราเป็นคนเข้ากิจกรรมไหม หรือทำอะไรให้สังคมบ้าง… มหาลัยส่วนใหญ่จะมี Career Center สำหรับคนที่อยากฝึกงานหรืออยากสมัครทำงาน เราควรไปติดต่อไว้เพื่อมีงานอะไรเข้ามาทาง Career Center จะส่งอีเมลให้เด็กนักเรียนที่อยู่ในอีเมลลิสหรือนักเรียนที่สนใจ สำหรับคนที่สนใจก็ลองไปถามรายละเอียดดูนะค่ะว่าเค้ามีขั้นตอนอย่างไรบ้าง

นักศึกษาเรียนปีที่สี่หรือที่เรียกกันว่า Senior

ปีนี้เป็นปีสุดท้ายของการเรียนมหาลัยเป็นปีที่เราเป็นรุ่นพี่อย่างเต็มตัว ปีนี้เป็นปีที่เราจะเริ่มสมัครงานอย่างจริงจัง เพราะบางทีเราอาจจะได้งานก่อนที่จะจบก็ได้ค่ะ ในปีนี้ใน Resume ของเราควรมีประสบการณ์การฝึกงาน ควรมีกิจกรรมที่เราเข้าร่วม หรือประโยช์ที่เราช่วยเหลือสังคม ต่างๆนานๆ ลองคิดดูสิค่ะแต่ละปีคนจบการศึกษาหลายร้อยหรือหลายพันคน แล้วเรายังต้องแข่งกับคนอเมริกันหรือคนประเทศอื่นและคนต่างๆอีกมากมาย อ๋อเกือบลืมไป ถ้าเราสมัครงานผ่านทางมหาลัย ส่วนใหญ่ผู้จ้างงานเค้าจะกำหนดเกรดมาเลยนะค่ะว่า ขั้นต่ำเกรดเฉี่ยที่สามารถสมัครงานนี้ได้ อยู่ที่เท่าไหร่ หรืออะไรก็แล้วแต่เค้ากำหนด อันนี้พูดถึงคณะบัญชีนะค่ะ เพราะเราไม่รู้ว่าคณะอื่นเหมือนกันหรือป่าว มีครั้งนึงเคยอยากจะสมัครกับบริษัทนึงมาก เกรดเราไม่ถึงเพราะเพราะช่วงปีแรกๆไม่ได้สนใจเรียน เราร้องไห้หนักมากเสียใจที่ไม่ได้ตั้งใจเรียนมากกว่านี้ เพราะนี่แค่ส่งใบสมัครยังไม่สามารถส่งได้แล้ว แล้วจะทำยังไงต่อไปละเนี่ย แต่ถ้าสมมติว่าส่งใบสมัครได้แล้ว ไหนยังต้องรอว่าจะได้รับเลือกไหม ถ้าเค้าเลือกเรา เราก็ได้ข้าไปสัมภาษงานรอบแรก พอรอบแรกเสร็จก้อมีรอบสองต่ออีก

และสำหรับนักศึกษาปีที่สี่ที่อยากจะเรียนต่อโท สำหรับตัวเราเองเราเลือกเรียนต่อโทค่ะ เราแนะนำให้ไปถามแต่ละคณะว่าจะต้องใช้อะไรบ้างถ้าจะเรียนต่อโท และสอบ GMATHหรือ GRE ไว้เนิ่นๆเลยค่ะ (แต่ละอันแตกต่างตามคณะที่เลือกเรียน)

จะเรียนต่อโท ทำอย่างไรถึงจะเรียนปริญญาโทฟรี

อันนี้ไม่ทราบว่าทุกคนรู้หรือป่าวแต่ทุกมหาลัยสำหรับเด็กนักเรียนโทแต่ละคณะ จะมีงานช่วยอาจารย์หรือที่เรียกกันว่า Graduate Assistant คือทำงานเป็นผุ้ช่วยอาจารย์ เด็กพวกนี้จะได้ค่าเรียนฟรี แต่อาจจะต้องจ่ายค่าหนังสือหรืออื่นๆเอง งานช่วยอาจารย์เป็นงานง่ายๆ เช่นช่วยอาจารย์ถ่ายเอกสาร,รับโทรศัพท์, หรือช่วยอาจาย์คุมสอบ หรือแล้วแต่อาจารย์จะให้ทำ เวลาทำงานที่หมาลัยจะให้ทำประมาน 20 ชม ต่อหนึ่งสัปดาห์ นอกจากจะได้เรียนฟรีแล้วยังได้รับเงินเป็นค่าชั่วโมงอีกนะค่ะ งานนี้เปิดโอกาศให้กับทุกคนไม่ว่าจะเป็นเด็กนักเรียน international ก็ตามค่ะ เราอยากจะบอกไว้เพราะว่าใครที่เรียนอยู่ปีสี่แล้วอยากเรียนต่อโท แล้วอยากเรียนโทฟรีควรไปติดต่อตั้งแต่เนิ่นๆอ่ะค่ะ เพราะแต่ละปีอาจจะมีเด็กจำนานมากที่อยากจะสมัคร หรือบางปีอาจจะไม่มีเลย เพราะตอนที่เราเรียนโทใหม่ๆเราได้รับอีเมลบ่อยมาก ว่าคณะต่างๆรับสมัคร Graduate Assistant แต่ตอนนั้นเราไม่ได้สมัครค่ะ เพราะเราทำงานประจำอยู่แล้วเลยไม่ได้สมัคร

Miscellaneous

1. เวลาว่างควรหาเวลาออกกำลังกายและทานอาหารให้มีประโยชน์ค่ะ ส่วนใหญ่ที่มหาลัยจะมี gym ให้เด็กนักเรียนใช้บริการฟรีๆอยู่แล้วค่ะ

2. ควรเปิดหูเปิดตาตลอดเวลา ถ้าว่างควรติดตามข่าวสารให้ทันหรืออ่านหนังสือพิมพ์บ้าง เพราะบางทีเวลาอาจารย์หรือเพื่อนๆพูดถึงข่าวสารต่างๆเราอาจจะไม่รู้เรื่องอะไรกับเข้าเลย อันนี้เป็นมาแล้วค่ะกับตัวเอง

3. แต่ละปีทางมหาลัยจะประกาศแจก scholarships ต่างๆมากมายให้กับเด้กนักเรียน ยกตัวอย่างคณะเราแจกทุกปี แล้วเราเสียดายมากที่ไม่สมัครตอนแรกๆ เพราะคิดว่าเราคงไม่ได้ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลยค่ะ ทางคณะเค้าดูหลายๆอย่างรวมกัน เราเลยมาได้ช่วงหลังแต่เสียดายมาก และทางคณะให้เป็นเงินสด เท่ากับว่าเราจะเอาไปใช้อะไรก็ได้เพราะเค้าไม่ได้มาตรวจ หรือบางทีอาจจะให้มาเป็นเครดิตที่หักจากค่าเทอมก็ได้ คือถ้ามีอะไรมาให้สมัครไปเลยค่ะ ถือว่าเป็นโอกาศ อย่าไปคิดว่าคงไม่ได้ เหมือที่เค้าว่ากันว่า Don’t worry about failures, worry about the chances you miss when you don’t even try. — Jack Canfield –

4. ควรซื้อ planner เก็บไว้ ถ้าใครชอบใช้โทรศัพท์ก็ใช้โทรศัพท์บันทึกก็ได้ค่ะ เพราะเราเป็นคนชอบจด เวลาอาจารย์สั่งงาน ,มีการบ้าน หรือมีงานกลุ่ม เราก็จะเขียนไว้ไน planner ของเราว่าสอบวันนี้นะ งานอันนี้ส่งตอนนี้… คืออยากจะบอกว่าเรียนมหาลัยมันทำให้เราต้องจัดการกับเวลาของเราให้เป็นหรือที่เค้าเรียกกันว่า Time Management เพราะนักเรียนส่วนใหญ่เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยเลยต้องแบ่งเวลาให้เป็นแล้วไหนบางคนยังต้องทำกิจกรรมอีก แล้วต้องคอยระวังว่าวันไหนส่งงานไหน หรือวันไหนมีสอบ,วันไหนต้องส่งโปรเจค์ เพราะบางทีถ้าเราส่งไม่ตรงกำหนดอาจารย์อาจจะตัดคะแนนได้จร้า

สรุปที่เขียนมาทั้งหมดเป็นประสบการณ์จริงของเราในชีวิตมหาลัยที่ผ่านมา เราก็หวังว่าน้องๆๆหรือใครที่กำลังจะเริ่มเรียนปริญาตรี หรือ ปริญาโทที่ประเทศอเมริกา มีโอกาศได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆหรือสิ่งที่ควรรู้ในระหว่างเรียนมหาลัย เพราะที่ผ่านมาเราเรีนยรู้ทุกอย่างเองหมด ถ้าไม่รู้ก็ถาม ถามจนกว่าจะรู้เรื่อง และอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญคือ ชีวิตมหาลัยเป็นชีวติที่สนุกอีกรูปแบบหนึ่งและเราก็ไม่สามรถย้อนเวลากลับไปได้ จำได้เลยว่าวันที่เรียนจบวันสุดท้ายรู้สึกใจหาย เพราะเราต้องจากกับเพื่อนที่เรียนมาด้วยกัน จากกับอาจรย์ จากชีวิตมหาลัยไปแล้ว แต่สิ่งที่อยากบอกก็คือทำมันให้ดีที่สุดแล้วก็สนุกกับมันด้วย

ขอบคุณค่ะ ❤

--

--