หนทางการฝึกภาษาอังกฤษ ตลอด 3 ปี เพื่อไปเรียนต่อ อย่างจริงจัง?

Pakawat Nakwijit
The Everglow
Published in
4 min readMay 15, 2018

ตอนเด็กๆ ไม่นึกเลยว่า ภาษาอังกฤษ จะกลายเป็นเรื่องสำคัญขนาดนี้ ลั้นลา โดดเรียนอย่างเด็กๆ พึ่งมาตระหนักความจริงได้ในช่วงเป็นนิสิตเรียนในมหาวิทยาลัย ยิ่งเราเก่งภาษามาก ยิ่งเพิ่มโอกาส ถ้าย้อนกลับไปได้ คงจะกลับไปตบหัวตัวเองแล้วบอกให้ตั้งใจเรียนภาษาให้มากกว่านี้

http://eddieenglish2.blogspot.com/2012/08/is-english-important-for-individual-in.html

ใครจะไปนึกว่า นี่ก็ไม่ได้เรียนหลักสูตรอินเตอร์ แต่สไลด์ที่ได้ กลับเป็นภาษาอังกฤษไปซะทุกหน้า จะหาข้อมูลเพิ่มเติม ก็ต้องดูตามเวปไซท์ของต่างประเทศ ยังไม่นับว่าอาจารย์บางท่านอยากให้พรีเซ้นท์งานเป็นภาษาอังกฤษอีก คิดไม่ออกเลยว่าจะผ่านไปได้ยังไง ถ้าเรายังไม่พัฒนาตัวเอง

หลังจากเรียนจบแล้ว ทำงานในบริษัทธรรมดาได้เงินเดือนไม่พอใช้ ถ้านึกอยากทำงานในบริษัทอินเตอร์ เงินเดือนสูงๆ ยิ่งพบว่า ภาษายิ่งกลายเป็นเรื่องสำคัญ

Learning is like rowing upstream, not to advance is to drop back. — Chinese Proverb

และยิ่งหลังจากที่ตัวเองรู้ว่า ได้ทุนเพื่อไปเรียนต่อต่างประเทศ ยิ่งทำให้ต้องบังคับตัวเองไปเรียนภาษาให้มากขึ้นกว่าเดิม อัพเกรดสกิล ปรับเปลี่ยนตัวเองจากคนที่ไม่ชอบภาษาอังกฤษเลย จนสามารถดูหนังได้ อ่านนิยายภาษาอังกฤษได้แบบชิวๆ ภายในเวลา 3 ปี

มองกลับไป ตลอด 3 ปี มันเป็นการเดินทางที่ยาวนานกว่าที่ตัวเองคิด เส้นทางมันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเลย โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ชอบภาษามาโดยตลอด ทั้งลงทะเบียนเรียนในสถาบันสอนภาษา ทั้งฝึกฝนด้วยตัวเอง แทบหมดพลัง

5 English Courses in 3 Years

เรียนบ้าง หยุดบ้าง กับ 5 คอร์ส หมดเงินไปน่าจะนับเป็นแสน แต่ละคอร์ส แต่ละสถาบัน ก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันไป ลิสนี้ เผื่อสำหรับคนที่กำลังตัดสินใจว่าจะเรียนกับที่ไหน พูดตรงๆว่า มันแพง ถ้าลงทุนไปแล้วควรตัดตวงให้ได้มากที่สุด

* คอร์สที่พูดถึงส่วนใหญ่เป็นคอร์สสำหรับทำข้อสอบ TOEFL/IELTS จึงอาจจะไม่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเรียนภาษาเพื่อใช้ในการทำงาน หรือ ใช้ในชีวิตประจำวันน

** นี้ก็ไม่ใช่โฆษณา หรือ ดิสเครดิสสถาบันใดๆที่อ้างถึงทั้งสิ้น ทั้งหมดเป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัว อาจจะมีหลายคนเห็นต่าง หรือ เจอประสบการณ์ที่แตกต่างกัน สามารถคอมเม้นแนะนำกันได้ฮะ

#1. Multi-English Skills/TOEFL @ Fast English

เริ่มด้วยที่แรก เป็นคอร์สที่คิดว่า เสียเวลาที่สุดเทียบกับทุกๆคอร์สที่เรียน อย่างแรก คือ Fast English เป็นสถาบันที่ขึ้นชื่อว่า “จำแล้วทำตาม” ซึ่งเป็นหลักการที่ตัวเองก็ไม่ค่อยถนัดอยู่แล้วด้วย

สำหรับคนที่ต้องการฝึกการพูด/เขียน ไม่แนะนำให้เรียนที่นี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะ แทบจะไม่ได้ฝึกแนวๆนี้เลย ทุกอย่างจะเป็นการพูด/เขียน ตามที่อาจารย์คิดไว้อยู่แล้ว ไม่ค่อยมีโอกาสได้พัฒนาด้วยตัวเอง เว้นแต่ว่า จะกลับบ้านไปฝึกด้วยตัวเองเยอะๆ

อาจารย์ผู้สอน จริงๆ อันนี้เป็นปัญหาส่วนตัวมากๆ เพราะส่วนตัวรู้สึกลำไย กับ ทุกๆการกระทำของอาจารย์ เพราะ ทุกอย่างมันแสดงออกเยอะเกินไป ชื่นชมตัวเอง ชูนักเรียนเก่ง (แอบรู้สึกมีเหยียดคนไม่เก่งเล็กๆ) ประกอบกับสอนปรัชญาเดิมๆแบบซ้ำๆๆๆๆๆๆ ขอย้ำว่า ซ้ำๆๆๆๆ จนเบื่อไปเลย

จำได้ว่ามีครั้งนึง สงสัยเลยยกมือถามคำถาม แต่ด้วยความตื่นเต้น ไม่ได้เรียบเรียงประโยค สุดท้ายก็เลยโดนดุ รู้สึกแย่ไปเลย 1 วัน

หลังๆต้องไปแอบดูผ่านห้องทีวีแทน เพราะสามารถแอบหลับช่วงน่าเบื่อได้

การเรียนจะเป็นแบบทำข้อสอบไปด้วย เรียนไปด้วย ดังนั้น อาจารย์สามารถย้ำๆกับจุดที่ผิดบ่อยๆให้ฟังอยู่บ่อยๆ เราจะเห็นตัวอย่างไปพร้อมกับหลักแกรมม่า ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี

จริงๆ ส่วนที่ชอบที่สุดของที่นี้ คงเป็นแค่คอร์สแกรมม่า เพราะเป็นแก่นที่เรียบเรียงมาแล้วเป็นอย่างดี สามารถนำไปใช้ได้จริงๆ ทำให้เราได้เห็นภาพรวมทั้งหมดของภาษาว่า มันมีอะไรที่ต้องเรียนบ้าง

ข้อแนะนำ ลงเรียนแค่คอร์สแกรมม่า ก็เพียงพอแล้ว ที่เหลือไม่ค่อยโอเค โดยเฉพาะฝึกพูดกับเขียน :)

#2. IELTS Course @ Engfinity

เป็นคอร์สที่ลงถัดมาไม่นาน เพราะฟุ้งซ่าน หลังจากสอบโทเฟล แล้วได้ผลออกมาไม่ค่อยดีอย่างที่ตั้งใจ เป็นช่วงที่ตัดสินใจให้เวลากับการเรียนมากขึ้น ขอทำงานแค่ 3 วัน เอาเวลาที่เหลือมาเรียน

ที่นี้เป็นระบบ Buffet จะลงเรียนเท่าไรก็ได้ เท่าที่ตัวเองมีเวลา แต่จะมีเจ้าหน้าที่แนะนำให้ว่า จะต้องลงตามนี้ๆ จะเหมาะกับเรามากกว่า ซึ่งจะมีทั้งคอร์สที่เป็นแบบวิชาการจ๋า แกรมม่า ทำข้อสอบรัวๆ ผสมกันคอร์สชิวๆ พูดคุย ตามหัวข้อในแต่ละวัน

จริงๆ ประทับใจเนื้อหาของที่นี้ เป็นครั้งแรกที่ทำให้เข้าใจว่า การเรียนภาษาไม่ใช่การท่องจำ แค่เป็นความคุ้นเคยมากกว่า เพราะภาษามันเป็นสิ่งที่ดิ้นได้ ยิ่งเราคุ้ยเคย เรายิ่งรู้ว่าเราใช้มันยังไงให้ถูกต้อง

อาจารย์ท่านหนึ่งจะพูดให้ฟังบ่อยๆว่า “บางคำมันไม่ผิดไม่ถูก ชัดเจนหรอก ให้ถามตัวเองว่า มันคุ้นๆรึปล่าวนะ ถ้าไม่คุ้นก็เช็คดูอีกที”

อย่าง Could you please stop to do that? ถ้าคุ้นเคยมากพอ เราจะรู้สึกแปลกๆ เพราะมันควรจะเป็น Could you please stop doing that?

สอนให้ใช้ Leed corpus สำหรับดูวิธีการใช้ vocab และ Thesaurus สำหรับดู synonym

แต่ที่นี้กลับเป็นการเจอประสบการณ์การเรียนที่แย่ที่สุด เพราะ การจัดการปัญหาของเจ้าหน้าที่

ในช่วงระหว่างเรียน เจอปัญหาระหว่างการเรียน ตัวเองก็พยายามไปแจ้งเจ้าหน้าที่แล้ว แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้รับการแก้ไข จนมันแย่ลงไปเรื่อยๆ เรื่อยรังจนรู้สึกว่าไม่อยากไปเรียนเลย ต่อต้านมากๆ

อีกปัญหา คือ คุณภาพของนักเรียนที่ไปเรียน ถึงการเรียนจะเป็นการเรียนเพื่อพัฒนาตัวเอง แต่คนรอบข้างก็มีส่วนกับประสิทธิผลเหมือนกัน ที่นี้จะมีนักเรียนหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่คนที่โดนพ่อแม่บังคับให้มา ไปจนถึง ผู้ใหญ่วัยกลางคน ทุกคนจะโดนจับให้เรียนในกลุ่มเดียวกันทั้งหมด ปัญหา คือ น้องๆส่วนใหญ่มักจะไม่ตั้งใจเรียน ไม่พูดไม่ตอบ ไม่ให้ความร่วมมือกับการสอน อย่าง ช่วง English Hour ตั้งใจให้ทุกคนพูดภาษาอังกฤษตลอดคลาส ก็จะมีนักเรียนแก่นๆ พยายามแอบพูดภาษาไทย แล้วทุกๆคนก็จะเห็นดีเห็นงามไปด้วย เป็นความคิดแบบเด็กๆ

และอาจารย์ในส่วนนี้ก็ไม่สามารถจัดการกับปัญหานี้ได้ดีพอ ทำให้บรรยากาศไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร //อยากจะบ่องหู เอ๊ย กระซิบเบาๆ บอกน้องๆว่า ตอนนั้นตั้งใจเรียนเถอะครับ ถ้าไม่อยากเหนื่อยในอนาคต

ถ้าเทียบกับ Fast English แล้ว การเรียนที่ FE เราจะได้แก่น ท่องจำแล้วนำไปใช้ แต่เรียนที่นี้จะได้เซนต์ของการเรียนรู้ ยิ่งคุ้นเคยยิ่งคล่อง จะยิ่งเข้าใจว่า ทำไมการฝึกฟังเยอะๆจะยิ่งสามารถช่วยให้เราเรียนภาษาได้ดีขึ้น

สำหรับคุณภาพของอาจารย์ สำหรับอาจารย์คนไทยของที่นี้เป็นอาจารย์ที่เก่ง สามารถถ่ายทอดออกมาได้ดี แต่รู้สึกว่า อาจารย์ไม่ค่อยพอ ไม่ใช่อาจารย์ประจำ เปลี่ยนไปมาๆ สำหรับอาจารย์ชาวต่างชาติ ไม่ค่อยโอเค แต่ไม่ได้แย่

ข้อแนะนำ เหมาะสำหรับคนที่พื้นฐานไม่ดี สามารถไปปูพื้นฐานได้ดีมากๆ ยิ่งมีเวลายิ่งสามารถเก็บเกี่ยวได้เยอะ แต่ไม่เหมาะกับจริงจังเพื่อเตรียมสอบ และยิ่งไม่เหมาะกับคนวัยทำงาน

#3. IELTS Course for Intermediate Level @ British Council

ใน 4 Skills; Listening, Speaking, Reading, Writing หลายคนมักมีคำตอบเหมือนๆกันว่า สกิลที่ยากที่สุด คือ Speaking/Writing เพราะเป็นสกิลที่ต้องอาศัยคนอื่นมาช่วยตรวจ ช่วยคุย //วิธีที่ง่ายที่สุดคงจะเป็นการหาแฟนเป็นคนต่างประเทศ เพราะจะได้พูด ได้คุยกันตลอดเวลา

เพราะคอร์สก่อนๆ จะได้เรียนกับอาจารย์ที่เป็นคนไทยแทบจะทั้งหมด จึงคิดจะลองเน้นไปที่การพูดมากขึ้น นับวันยิ่งไม่มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองพูด ทำให้ตัดสินใจมาเรียนที่นี้ เพราะหวังว่าจะได้มีโอกาสเน้นการพูดมากขึ้น

ที่ BC จะแบ่งนักเรียนเป็น 3 ระดับ Pre-intermediate, Intermediate และ Upper Intermediate ก่อนเรียนจะต้องไปสอบเพื่อวัดผล หรือ ยื่นคะแนนไอเอลที่เคยสอบไปแล้ว เพื่อสมัคร

รู้สึกว่าการแยกระดับนักเรียนเป็นเรื่องที่ดีมากๆ เพราะ ยิ่งทุกคนในห้องมีระดับเท่าๆกัน ยิ่งทำให้บรรยากาศน่าเรียน เพราะทุกคนสามารถเข้าใจไปพร้อมๆกัน คอร์สมีราคาค่อนไปทางแพง ดังนั้นคนที่เรียนด้วยจะค่อยข้างตั้งใจกับการเรียน

การเรียนเป็นแบบล้อมวงแล้วคุยกันตามหัวข้อในแต่ละวัน จะมีอาจารย์เป็น native speaker จริงๆ มาทำกิจกรรมไปด้วยกัน แต่บรรยากาศเหมือนกับการเรียนในสมัย ม.ปลาย ซะมากกว่า ไม่ใช่ Intensive ติวข้อสอบเข้มข้น เพื่อเตรียมตัวสอบเอาคะแนน แทบจะไม่มีแบบฝึกหัดให้กลับไปฝึกที่บ้าน

ไม่เน้นแกรมม่า ไม่เน้นอะไรเลย บางทีก็รู้สึกว่าชิวไปอีก //แทบจะไม่ได้อะไรเลย เพราะลงเรียนแค่คอร์สสั้นๆ

ข้อแนะนำ เหมาะกับคนที่มีเวลา ค่อยๆพัฒนาไปเรื่อยๆ ไม่รีบ แต่ต้องไปขวนขวาย ท่องศัพท์เพิ่มเติมด้วยตัวเอง

#4. IELTS Plus @ Globish

เป็นคอร์สออนไลน์ จริงๆแล้วส่วนตัวเคยทดลองเรียนที่นี้เมื่อนานมาแล้ว หลังจากนั้นก็มีการปรับปรุงหลักสูตร พึ่งมาพบว่ามีคอร์สไอเอลด้วยเหมือนกัน

เนื่องจากเป็นคอร์สออนไลน์ ทุกคอร์สจึงเน้นไปทาง speaking ซะทั้งหมด ทุกวันจะมีหัวข้อเป็นรูปแบบเหมือนสอบจริง (ถ้าเป็นคอร์สปกติ ก็จะเป็นตัวอย่างสถาณการณ์)แล้วให้ฝึกตอบ อาจารย์จะฟังแล้วคอมเม้น ฝึกออกเสียง ถ้าออกเสียงตรงไหนไม่ชัดเจนก็จะโดนทักเลยทันที เป็นการฝึกพูดแบบจริงจัง

ในคอร์สจะให้จองเรียน ช่วงละ 25 นาที เอาจริงๆ รู้สึกว่า สั้นเกินไป ถ้าจะให้โอเคต้องพยายามจอง 2 ช่องติดกันไปเลย จะได้เรียนอย่างต่อเนื่อง

ปัญหา คือ อาจารย์ที่มาสอน มีคุณภาพแตกต่างกันมาก บางคนสอนโอเค บางคนไม่โอเค เรียนกับโค้ชต่างกันอาจจะได้ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนกันลิบลับ จึงต้องเสียไปหลายวัน (คิดเป็นเงินหลายพัน) เพื่อหาอาจารย์ที่ไปกันได้ หรือ แนะนำให้โทรถามจาก call center ไปเลน //ต้องรีบหาอาจารย์ เพราะ อัตราต่อชั่วโมง โคตรแพงเลย

และ อาจารย์ที่สอน ส่วนใหญ่จะไม่ใช่ Native Speaker จริงๆ อาจจะเป็นอาจารย์ชาวฟิลิปปินส์, จีน, หรือ ประเทศในโซนยุโรป สำเนียงแปลกๆบ้าง แต่โดยรวมแล้ว ฟังง่ายและพูดชัดเจน ทุกคน

โค้ชส่วนใหญ่ไม่เคยสอบ(และสอน)ไอเอล/โทเฟลมาก่อนเลย สำหรับคนที่ตั้งใจเรียนเพื่อเตรียมตัวสอบแล้ว โค้ชที่นี้แทบจะไม่สามารถแนะนำแนวข้อสอบได้ แต่สำหรับคนที่ต้องการฝึกเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันแล้ว ถือว่าโอเค

ส่วนตัว แนะนำให้เรียนกับโค้ช Catherine เพราะเป็นโค้ชที่รู้จังหวะในการสอนดีมากๆ ต้องยอมรับเลยว่า เรียนภาษาเป็นสิ่งที่เหนื่อยและท้อมาก เวลาที่เขาเห็นเราเริ่มท้อ เขาจะพูดให้กำลังใจ เวลาที่ทำได้ก็จะยิ่งกระตุ้น ซึ่งส่วนตัวคิดว่า มันทำให้เราไม่เครียดเกินไป จนหนีไปโดดตึกซะก่อน

ในคลาสเรียน โค้ชจะให้เราพูดๆๆ ซึ่งเขาจะทักอยู่ตลอดว่า

  • ตรงนี้ลืมออกเสียง -s นะ
  • ตรงนี้ต้องใช้ past tense รึปล่าวนะ ผัน verb รึยัง
  • เอ๋ ไม่ออกเสียง -s กับ singular noun ซิ
  • //ยังมีอีกเยอะ ที่โดนทัก ต้องลองไปโดนด้วยตัวเอง

หลังจากจบคอร์ส เริ่มสัมผัสได้ว่า ตัวเองรู้ตัวมากขึ้น เวลาพูดเริ่มจะมี เอ๊ บ่อยขึ้น เมื่อกี้ผิดหนิ ต้องแก้แบบนี้ๆๆ จากปกติที่ไม่แทบจะไม่รู้ตัวเลย ซึ่งคิดว่าเป็นพัฒนาการที่ดี

หลายคนบอกว่า การพูดทำไมต้องจริงจังเรื่องแกรมม่า แค่สื่อสารให้รู้เรื่องก็พอ อยากจะบอกว่า มันเป็นเรื่องของความ professional มากกว่า ถึงจะสื่อสารกันรู้เรื่องเหมือนกัน แต่ลูกค้าจะมองเราต่างกัน

ข้อแนะนำ เหมาะกับฝึก Speaking อย่างจริงจัง ชอบความเป็นส่วนตัว แต่คอร์สค่อนข้างแพง จองโค้ชเก่งๆยาก ส่วนใหญ่ต้องเรียนรอบดึกๆ เพราะเวลาไม่ตรงกัน

#5. Speak Write @ New Cambridge

สำหรับคอร์สสุดท้าย เป็นสถาบันที่ถูกพูดถึงกันเยอะ หลายคนแนะนำว่า มาเรียนที่นี้แล้วโอเค ซึ่งมันก็โอเคจริงๆ

ก่อนเริ่มเรียน จะต้องจองล่วงหน้า 1 เดือน จะแบ่งนักเรียนเป็นระดับๆ ตามคะแนนไอเอล สำหรับคนที่ไม่เคยสอบ สามารถไปลองทดสอบได้ แต่ละระดับจะมีคอร์สแต่ต่างกันไป

เนื่องจากเป็นสถาบันสำหรับติวสอบไอเอลโดยตรง ดังนั้น ทุกอย่างจึงเป็นการฝึกเพื่อทำข้อสอบ อาจจะไม่มีประโยชน์กับการใช้ในชีวิตประจำวัน

ที่นี้สอนโดย Native Speakers ที่เป็น Examiner คนตรวจข้อสอบไอเอล ตัวจริงเสียงจริงๆ ดังนั้น จึงรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของการสอบเป็นอย่างดี จะมีการวิเคราะ์โจทย์ ตีความ แนะนำว่า ควรตอบยังไงเพื่อให้ได้คะแนนดีขึ้นกว่าเดิม

ในแต่ละคลาส จะเป็นหัวข้อที่เกี่ยวกับข้อสอบล้วนๆ เนื้อหาเข้มข้นมาก มีการบ้าน สามารถซื้อแนวข้อสอบไปทำแล้วมาส่งให้ตรวจ ไม่เน้นแกรมม่า เพราะถือว่าทุกคนจะต้องมีพื้นฐานมาอยู่แล้ว

ข้อแนะนำ เหมาะกับการติวข้อสอบ เป็น Intensive course เร่งรัดภายใน 1 เดือน ทุกคนที่ไปเรียน ดูเหมือนจะมีความตั้งใจอยู่แล้วว่า ต้องการคะแนนเท่าไร ไม่เหมาะกับคนที่พื้นฐานไม่แม่น

เสริม สำหรับสถาบันที่เคยไปหาข้อมูล แต่ไม่ได้ลงเรียนจริงๆ

  • AUA สำหรับเรียนพื้นฐานๆ สำหรับคนที่ยังต้องปูพื้นฐานมากๆ ถ้าอยากลงคอร์สเฉพาะทางต้องไปเรียนที่สาขาจามจุรีที่เดียว ที่อื่นจะมีแค่คอร์สปกติ
  • Wall Street เข้าใจว่าเรียนคล้ายๆ BC แต่แพงกว่ามาก มีกิจกรรมให้ร่วมเยอะ
  • NoteFull TOEFL Mastery อันนี้แนะนำสำหรับคนที่ต้องการเรียนด้วยตัวเอง อธิบายชัดเจน เครียร์ และใช้ประโยชน์ได้

จะว่าไปแล้ว แค่เรียนจากสถาบันสอนภาษาอย่างเดียวมันไม่เพียงพอหรอก ถ้าอยากทำให้ได้ ก็ต้องทำจริงๆ ทำมันทุกวัน ฝึกฝนด้วยตัวเองก็เป็นอีกสิ่งที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาภาษา

There is no substitute for hard work. — Thomas Edison

Self Practice

นี้เป็นเคล็ดวิชาที่ลองมาด้วยตัวเอง บางข้อก็ทำมาตลอดจนถึงปัจจุบัน อย่างที่หลายๆคนบอกต่อๆกันมา มันไม่มีทางลัดในการเรียนภาษา มันต้องถึก แล้วทำไปเรื่อยๆ //จริง อาจจะมีทางลัดนะ ถ้ามีตังค์แล้วส่งตัวเองไปอยู่ในต่างประเทศ

#1. Listen short talks and videos every day ( 5–15 mins)

หลายคนพูดต่อๆกันว่า ฟังเพลงสากลไปเรื่อยๆแล้วจะพัฒนาไปเอง อยากจะบอกว่า ไม่น่าจะได้ผลสักเท่าไร เพราะ ถ้าฟังแค่ผ่านหู แต่ไม่ได้จับใจความ ก็ไม่ค่อยช่วยได้มาก โดยเฉพาะเพลง ส่วนใหญ่ใช้ศัพย์แสลงบ้าง ไม่มีใจความบ้าง ส่วนตัวไม่แนะนำวิธีนี้

แต่อยากแนะนำให้ฟังเป็น คลิปสั้นๆ 5–5 นาที ฟังเท่าที่ยังรู้สึกว่าสนใจ

ช่วงแรกๆ อยากแนะนำให้ ฟังจากเวปไซท์ TED เพราะทุกคลิปมี English subtitle แนะนำให้เปิดซับไปด้วยฟังไปด้วย ช่วงแรกเป็นช่วงที่ยังไม่คุ้นเคย แทบจะเป็นฝึก reading มากกว่า listening แต่ผ่านไปจะเริ่มชิน แล้วเข้าใจภาพรวมของ talk มากขึ้น

หลังจากเริ่มชินแล้ว ก็เริ่มไปหา Youtube Channel ที่สนใจ ส่วนตัวแนะนำ Vox, Insider, Vsaurce, WIRED, CrashCourses

พยายามฟัง แล้วจับใจความว่าเขาสื่ออะไร ไม่ต้องเข้าใจรายละเอียดทั้งหมด

#2. Using flash cards for new vocabularies

เป็นเคล็ดลับที่อ่านเจอจากหนังสือ Essential Words for the TOEFL Test ของ Barron’s

หาการ์ด (กระดาษแข็งสำหรับเขียนนามบัตร) แล้วเขียน word ด้านหลังเขียน synonym แล้วหยิบมาท่องวันละ 20–30 คำ ทุกวัน ถ้าเริ่มจำได้แล้วก็เพิ่มคำใหม่ไปเรื่อยๆ //อันนี้จำเป็นสำหรับการ reading มาก ยิ่งเรารู้ศัพท์มากยิ่งช่วยทำให้เดาเรื่องราวได้ง่ายขึ้น

Collection ส่วนตัว //นี่แค่ครึ่งเล่มนะ

#3. Find a novel to read

ปัญหาส่วนใหญ่ในการฝึก คือ เบื่อ ยิ่งทำยิ่งท้อ ยิ่งเหนื่อย แนะนำให้แก้ไขด้วยการหานิยายแนวที่ตัวเองชอบ อย่างที่อ่านอยู่จนถึงปัจจุบัน เช่น

#4. Talk to yourself; Ask and try to answer

ปัญหาที่เจอมากที่สุดในการสอบ คือ ไม่มีไอเดีย ไม่รู้จะตอบยังไง สำหรับวิธีแก้ง่ายที่สุด คือ เจอโจทย์บ่อยๆ ไปกูเกิลหาหัวข้อ/ข้อสอบเก่า ปริ้นออกมา ทุกเช้าให้หยิบออกมานึกว่า ถ้าเป็นเรา เราจะตอบคำถามนี้ยังไง

สำคัญ คือ นึกแล้ว ต้องพูดออกมาด้วย เพราะการพูด จะทำให้เกิดการเรียบเรียง ถ้าเป็นไปได้ ให้อัพเทปแล้วฟังที่ตัวเองพูดอีกครั้ง เช็คการออกเสียง

#5. Work in an international environment

อันนี้เป็นสิ่งที่คิดว่า ดีมากๆ คือ พาตัวเองไปทำงาในที่ที่ใช้ภาษาอังกฤษ ยิ่งเราโดนบังคับให้ต้องทำ ยิ่งผลักดันให้เราพัฒนามันได้เร็วขึ้น

นอกจากแรงผลักดัน แล้ว บรรยากาศการทำงานจะทำให้เรากล้าที่จะใช้ภาษามากยิ่งขึ้น เพิ่มความมั่นใจในตัวเอง เพิ่มความคุ้นเคย

ทั้งหมดนี้ คือ สิ่งประสบการณ์ที่เจอมาตลอด 3 ปีในการพัฒนาตัวเอง พูดตรงๆว่าต้นปีที่ผ่านมา ท้อ ท้อมาก เพราะรู้สึกว่าทุกอย่างที่ทำลงไปมันไม่เห็นผลเลย บางอาทิตย์กลับถึงห้องแล้วร้องไห้ โทษตัวเองว่า เราไม่แกร่ง เรายังตั้งใจไม่พอ

แต่อยู่ๆก็พึ่งได้คะแนนออกมาอย่างที่ตัวเองต้องการ ดีใจลั่นบ้าน

พึ่งมาสังเกตจริงๆจังๆว่า คนรอบข้างทุกคนเริ่มทักว่า ใช้ภาษาเก่งขึ้น กลับไปอ่านข้อความภาษาอังกฤษเก่าๆที่ร่างไว้ด้วยตัวเอง ยิ่งเห็นชัดขึ้นว่า มันไม่ได้แย่เว้ย

สำหรับทุกคนที่กำลังจะเรียนภาษา อยากให้เขียนอะไรไว้เป็น Memo เก็บไว้ อีก 1–2 ปี แล้วหยิบมันมาเป็นกำลังใจตัวเอง

แต่สำหรับคนที่เรียนไปแล้ว ท้อไปแล้ว แนะนำให้ระบายออกมาก่อน สูดหายใจลึกๆ ตั้งเป้าหมาย แล้วบอกตัวเองให้ทุ่มสุดตัว ครั้งสุดท้าย ถ้าเราทุ่มมันเต็มแรงแล้ว มันต้องเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้บ้างแหละ

To Conclude;

  • ภาษาใครบอกว่าง่าย แม่งเป็นเรื่องยาก
  • ฝึกทุกอย่าง ไม่ต้องเยอะ แต่ฝึกอย่างต่อเนื่อง ทำไปเรื่อยๆ
  • อย่าเรียนทุกวัน หาวันหยุดบ้าง ถ้ามันตึงเกินไปมันจะทนทำอยู่ได้ไม่นาน
  • //ไว้นึกได้แล้วจะกลับมาเขียน

--

--