เรียนเพื่อเตรียมสอบ TOEFL/IELTS ที่ไหนดี?

Mattmy
The Everglow
Published in
2 min readApr 21, 2019

One of the most popular FAQs

คำถามหนึ่งที่ผมถูกถามอยู่ตลอดเลยคือเรียนภาษาอังกฤษเพื่อเตรียมตัวสอบ TOEFL/IELTS ที่ไหนดี เอามาตอบในนี้เลยละกัน หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจ

สอบไปทำไม?

จุดประสงค์ที่ผมต้องการคะแนน TOEFL คือเอาไปใช้สมัครเรียนต่อที่ต่างประเทศ อยากให้ลองถามตัวเองก่อนว่าจะสอบเอาคะแนนไปทำไม เพราะค่าสอบก็ไม่ใช่ถูก ๆ ถ้าจะลองสอบเล่นผมว่าหา Mock Up ทำน่าจะเพียงพอ แต่ถ้าเงินเหลือแล้วอยากสอบจริง ๆ ก็ไม่ขัดนะครับ

เนื่องจากค่าสอบมันแพง จึงอยากแนะนำว่าการสอบทุกครั้งต้องมั่นใจ สอบครั้งแรกคะแนนอาจไม่พอใจ การสอบครั้งต่อไปควรเว้นระยะเวลาซักหน่อย เพื่อให้เราได้มีเวลาพัฒนาตัวเอง (ส่วนตัวสอบ TOEFL iBT ไปสองครั้ง ครั้งแรกกับครั้งที่สองผมเว้นไปประมาณห้าเดือน คะแนนเพิ่มขึ้นมา 12 คะแนน ถือว่าน่าพอใจในระดับหนึ่ง)

ดังนั้นถามตัวเองก่อนว่าเราต้องการคะแนนจริง ๆ ไหม?

แล้วจะสอบ TOEFL หรือ IELTS ดี?

ต้องบอกก่อนว่าที่เคยเรียนนั้นคือผมเน้นไปที่ TOEFL iBT แต่พอไปลองทำข้อสอบของ IELTS แล้วก็รู้สึกว่าใช้ด้วยกันได้ และอีกอย่างมหาวิทยาลัยในต่างประเทศส่วนใหญ่ทั้งสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรก็รับคะแนนทั้งสองระบบแล้ว ดังนั้นในประเด็นนี้เห็นว่าไม่น่าจะเป็นปัญหาซักเท่าไหร่

TOEFL เป็น American English ส่วน IELTS เป็น British English ชินแบบไหนก็สอบไปเถอะ

เอาล่ะ มาดูว่าที่เรียนที่ไหนบ้างที่จะแนะนำ อาจจะไม่ใช่ชื่อโรงเรียนที่คิดอยู่ในใจ แต่ผมยืนยันว่าคุ้มแน่นอน ไม่ได้ค่าโฆษณาด้วยนะเนี่ย

โรงเรียนเสริมหลักสูตร (Reading)

By อ.สงวน วงสุชาต

ผมเรียนที่สาขาเสาชิงช้า การเรียนที่นี่เป็นแบบบุฟเฟ่ต์ คืออยากไปเรียนเมื่อไหร่ก็ไป อยากเรียนเท่าไหร่ก็ได้ จะซ้ำอีกกี่รอบก็ได้จนกว่าจะหมดเวลา (ผมลงไว้หนึ่งปี คุ้มที่สุดในโลก)

และผมแนะนำให้ลงตัว Reading ของ TOEFL

หลังจากสมัครเรียนเสร็จเราจะได้หนังสือมา แล้วทีนี้อยากเรียนหน้าไหนก็ไปบอกพี่เจ้าหน้าที่ พี่เค้าจะให้แผ่น CD มา เราก็เอาไปเปิดที่เครื่องคอมพิวเตอร์ในสถาบัน

ผมชอบการเรียนแบบนี้นะ เพราะเราสามารถหยุด สามารถเร่ง หรือสามารถย้อนได้ ทำให้เราโฟกัสในส่วนที่เราต้องการได้จริง ๆ

จุดเด่นของการเรียนที่นี่คือคำศัพท์ อาจารย์จะสอนถึงที่มาของคำรวมถึงรากศัพท์อย่างละเอียด ทำให้เราจำคำศัพท์ได้แม่นมาก ดังนั้นไม่แปลกเลยถ้าเรียนที่นี่แล้วจะได้เรียนรู้คำจากภาษาละติน ภาษาฝรั่งเศส หรือแม้กระทั่งประวัติศาสตร์กรีกโบราณกลับไปด้วย

อีกอย่างคือข้อสอบเก่าที่นี่มีเป็นคลังเลย ถ้าจำไม่ผิดก็ตั้งแต่ปี 80' ถึงปัจจุบันเลยทีเดียว อาจไม่ครบทุกชุดแต่หนังสือเล่มใหญ่มาก ๆ ทำยังไงก็ไม่หมดซักที

ข้อสอบใหม่มีไหม มีครับ แต่จะมาเป็นแผ่นกระดาษเพราะต้องอัพเดทเพิ่ม

ถามว่าใหม่แค่ไหน? ผมเคยเจอของวันเสาร์ที่แล้วเลย

อาจารย์บอกว่าใช้วิธีถามลูกศิษย์ที่เพิ่งไปสอบว่าข้อสอบออกเรื่องอะไร มีคำศัพท์ประมาณไหน คำถามว่าอะไร แล้วแกก็ไปค้นว่าไอ่บทความที่เอามาออกข้อสอบนั้นคือบทไหน แล้วเอามาแต่งคำถามให้ลองทำ (รู้สึกว่าคำถามยากกว่าของจริงเสียอีก)

ก็อาจไม่ตรงหรอก แต่อย่างน้อยก็ได้แนวใหม่ ๆ

เหมือนว่าอาจารย์จะไม่สอนสดแล้ว แต่ถ้ามีเนื้อหาใหม่มาอัพเดทอาจารย์จะสอนแล้วอัดมาให้

อย่างไรก็ตาม การมาเรียนที่นี่ต้องรู้หลักภาษามาพอสมควร เพราะอาจารย์เค้าจะเน้นที่คำศัพท์และการตีความหมายของบทความเลย ถ้าหวังว่าจะไปเรียนเอา Grammar นี่ผิดหวังครับ

ตอนผมเรียน TOEFL จบนี่ผมต่อ GRE เลย ชอบมาก ๆ

การเรียนที่นี่ถือว่าเป็นหนึ่งในการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญมากสำหรับผม

โรงเรียนดวงใจภาษาต่างประเทศ (Writing)

By อ.ดวงใจ & ดร.ศุภชัย ศุภาไวย์

ที่นี่ผมเรียนคอร์ส Writing ซึ่งอาจารย์สอนทั้ง TOEFL และ IELTS เลย

อ้อ คอร์สนี้เรียนกับอาจารย์ศุภชัยนะครับ

ข้อดีของที่นี่คือเทคนิคการเขียนเยอะมาก สอนละเอียดทั้งวิธีการขึ้นย่อหน้า โครงสร้างประโยค การหาไอเดีย ดังนั้นไม่มีปัญหาเรื่องเข้าห้องสอบแล้วไม่รู้จะเขียนอะไรแน่นอน

อาจารย์เก่งมาก ถามได้ทุกอย่าง การเว้นบรรทัด การเว้นวรรค หลักการเขียน การใช้เครื่องหมาย รู้หมดทุกอย่าง

ตัวอย่างหัวข้อก็เยอะมาก ซึ่งอาจารย์จะให้เราเลือกหัวข้อมาช่วยกันเขียนในห้อง ประมาณสองหัวข้อต่อคาบ ที่เหลือเอากลับไปฝึกเขียนต่อที่บ้าน อีกสัปดาห์เอาที่เขียนมาให้อาจารย์ช่วยตรวจได้อีกต่างหาก

สาเหตุที่แนะนำแค่สองที่นี้ก็เพราะว่ามันคือสุดยอด Combination ที่ลงตัว ตอนเช้าเรียนอาจารย์สงวน ตอนบ่ายถึงเวลาก็ไปเรียนอาจารย์ดวงใจ เรียนเสร็จกลับไปเรียนอาจารย์สงวนต่อ เพราะทั้งสองที่อยู่ใกล้ ๆ กัน เดินไปได้

เทียบกับที่อื่นแล้วค่าเรียนไม่แพงด้วย

และอีกอย่างผมรู้สึกว่าเรียนแค่ Reading กับ Writing ก็เพียงพอแล้ว เนื่องจากอีกสองส่วนคือ Listening กับ Speaking มันต้องการเวลามากกว่าเพราะต้องใช้ความเคยชิน การฟังเราต้องแปลออกมาได้เลยตอนนั้น การพูดเราต้องคล่องและลื่นไหล ไม่มีเวลามาคิดทบทวนแบบของ Reading กับ Writing จึงต้องใช้ความชำนาญมากกว่า

วิธีการเตรียมตัวสำหรับสองส่วนนี้ก็คล้ายกับส่วนอื่น คือพยายามหาข้อสอบเก่ามาทำให้มากที่สุด ฟรีไม่ฟรีเอามาทำให้หมด อินเทอร์เน็ตมีเยอะแยะ ซึ่งตรงนี้จะไม่แนะนำอะไรมากเพราะอย่างที่บอกว่าสองส่วนนี้ต้องเน้นความเคยชิน ไม่ใช่แค่ท่องจำไป ที่ผมอยากเน้นคือเทคนิคการสร้างความเคยชิน

Listening

พยายามฟังอยู่ตลอดเวลา ฟังให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่จะคุ้นสำเนียงและจับจังหวะได้

แนะนำให้ฟัง Podcast เปิดฟังมันทั้งวันนั่นแหละ ขับรถ อาบน้ำ ก่อนนอน ฟังจนหลับไปเลย

สำหรับ Podcast ที่แนะนำมีดังนี้

  • สำเนียง British แนะนำ Luke’s English Podcast อันนี้คือชอบมาก ๆ ขนาดเรียน TOEFL ยังเอามาฟังเลย เพราะมันฟังง่าย เนื้อหาน่าสนใจ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องทั่ว ๆ ไป สบายสมอง สำหรับใครที่ฟังไม่ทัน เค้ามี Transcipt ให้อ่านในเว็บด้วย
  • สำเนียง American ที่ผมชอบคือ RadioLab ถ้าเทียบระดับภาษาของตัวนี้จะยากกว่า Luke’s English Podcast เนื้อหาก็จะหนักกว่าด้วย เน้นไปในเรื่องที่จริงจังมากกว่า
  • แถม สำหรับศัพท์ GRE แนะนำฟังของ VictorPrep เน้นศัพท์โดยเฉพาะเลย มีการอธิบายที่มาและเทคนิคการจำที่ดีมาก ๆ ด้วย นอกจากนี้ยังมีการทบทวนศัพท์จากตอนที่แล้วก่อนขึ้นตอนใหม่และให้ลองทำข้อสอบที่ทุก ๆ 10 ตอน ทำให้เราจำคำศัพท์ที่เรียนมาแล้วได้อย่างดี

Speaking

ผมพูดและอัดเสียงตัวเองทุกวันแล้วเอากลับมาฟังหาข้อบกพร่อง

นอกจากนี้ให้ลองคิดเป็นภาษาอังกฤษ ระหว่างทางขึ้นรถเมล์ไปเรียนก็คุยกับตัวเองในใจเป็นภาษาอังกฤษ อาจเป็นเรื่องสิ่งของที่มองเห็นข้างทาง สภาพการจราจร ฝุ่น PM2.5 อยากบ่นอะไรก็บ่นไป แต่ที่สำคัญต้องเป็นภาษาอังกฤษ

วิธีนี้จะเป็นการฝึกสมองเราให้เรียบเรียงคำภาษาอังกฤษออกมาได้เร็ว ซึ่งจำเป็นมากสำหรับการพูดให้คล่อง

ถูกไม่ถูกว่ากันอีกที พอมีโอกาสค่อยค้นคว้าดูว่าที่พูดไปนั้นถูกไหม

เทคนิคอื่น ๆ

  • ฝึกเขียนทุกวัน เอาซักวันละเรื่อง เอาหัวข้อมาจากอินเทอร์เน็ตหรือถ้าเรียนที่ผมแนะนำมาก็ใช้นั่นก็ได้ แล้วไอ่ที่บอกว่าเขียนนั่นคือฝึกพิมพ์ด้วยนะครับ เพราะ TOEFL iBT ให้พิมพ์คำตอบในคอมพิวเตอร์ ส่วน IELTS นั้นผมไม่รู้ว่าเค้าเปลี่ยนหรือยัง
  • Flash Cards ช่วยได้เยอะมาก เป็นเกมเล่นสนุกยามว่างได้อีกด้วย วิธีนี้ผมไม่ได้ใช้ตอน TOEFL (เพราะขี้เกียจ นิสัยเสียมาก) แต่ได้ใช้ตอน GRE แล้วก็แอบเสียดายว่าถ้ารู้ว่าดีงี้ทำมาตั้งนานแล้ว
  • หาหนังสือภาษาอังกฤษมาอ่าน ดูเรื่องที่เราชอบเลย ยิ่งเราอ่านเยอะ รูปแบบประโยคใหม่ ๆ คำศัพท์ใหม่ ๆ ก็จะผ่านตาเข้ามา ทำให้ช่วยพัฒนาการใช้ภาษาของเราได้โดยไม่รู้ตัว ตอนนั้นที่ผมอ่านแล้วชอบที่สุดคือ Sapiens: A Brief History of Humankind ของ Yuval Noah Harari ทำให้เป็นแฟนคลับของนักเขียนคนนี้จนถึงปัจจุบัน (เรื่องล่าสุด 21 Lessons for the 21th Century ผมเขียนสรุปไว้ในส่วน Bibliosmia ตรงแท็บด้านบนเลย ลองอ่านดูได้ครับ อ้อ ไปซื้อฉบับภาษาอังกฤษมาอ่านด้วยนะ)
  • คำไหนไม่แน่ใจ หัดใช้ Google ให้เป็นประโยชน์ ลองพิมพ์คำ วลี หรือประโยคที่เราไม่เข้าใจลงไป แล้วดูว่าคนส่วนใหญ่เค้าใช้กันแบบไหน
  • จับคู่ติวได้ผลดีกว่า เหมือนผมเคยอ่านบทความ เค้าบอกว่าการเรียนภาษาถ้ามีคู่ช่วยกันเรียนจะได้ผลดีกว่าเรียนคนเดียว มันเหมือนเหมือนมีคู่แข่ง ทำให้ช่วยเป็นแรงบันดาลใจให้กันได้ ผลัดกันตรวจ หาจุดบกพร่อง แก้ไขให้กัน
  • หากจะไปเรียน Super Combination: SLS + Duangjai ไม่ต้องห่วงเรื่องของกินเพราะแถวนั้นร้านอาหารเยอะมาก ของคาว ของหวาน 7/11 มีอยู่ใกล้ ๆ ไม่อดตายระหว่างเรียนแน่นอน
  • ที่จอดรถฟรีมีน้อยมาก ข้างทางไปจอดได้ที่ถนนมหรรณพ แต่ส่วนมากจะเต็มและต้องย้ายก่อน 4 โยงเย็นเพราะพี่ ๆ จราจรแถวนั้นมาล็อคทุกวัน (ยกเว้นวันอาทิตย์ที่จอดหลัง 4 โมงเย็นได้แต่ก็เต็มอยู่ดี) ส่วนที่ไม่ฟรีก็แพงใช้ได้ ถ้าจำไม่ผิดตอนช่วงที่ผมเรียนเมื่อปี 2559 ราคาอยู่ที่ชั่วโมงละ 30 บาท มีที่ข้างศาลเจ้าพ่อเสือกับถนนดินสอ (เลี้ยวเข้ามาจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยอยู่ซ้ายมือเลย) ส่วนที่อื่นไม่เคยจอดครับ แนะนำว่าง่ายที่สุดก็นังรถเมล์มา ลงป้ายตรงหน้าครัวอัปษรหรือ กทม. ก็ได้

จบแล้วครับสำหรับตอนนี้ เพราะคิดออกแค่นี้ ใครสงสัยสอบถามเพิ่มเติมได้ครับ

เรียนภาษาก็เหมือนเจอเพื่อนใหม่ ยิ่งคลุกคลีเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้จักกันมากขึ้น

--

--