Travis | The Man Who Live 2018

Mattmy
The Everglow
Published in
3 min readAug 11, 2019

Glasgow SSE Hydro - Friday, 21 December 2018

“CONCERT REVIEW”

.
คอนเสิร์ตนี้ถือเป็นการปิดท้ายทัวร์ The Man Who Live 2018 ซึ่งอัลบั้ม The Man Who ก็อายุครบ 20 ปีพอดี (ตั้งแต่เริ่มทำอัลบั้ม นับจากตอนวางแผงก็ 19 ปี) โดย Setlist หลักก็ตามชื่อทัวร์ คือเน้นที่เพลงจากอัลบั้มดังกล่าว ผมรีบเดินทางไป SSE Hydro ตั้งแต่ประตูอาคารยังไม่เปิด ซึ่งก็มีคนต่อคิวรออยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ผมได้ที่ยืนเกือบติดขอบเวที
.
19.00 น.
.
ตามปกติก่อนวงหลักจะขึ้นเล่นก็จะมีวงเปิดมาเล่นก่อน โดยวงแรก ต้องเรียกว่าศิลปินเดี่ยวมากกว่า คือ The Boy Who Trapped The Sun หรือ Colin Macleod ที่มาพร้อมกับชื่อจริงและบทเพลงจากอัลบั้ม Debut ของเขา ‘Bloodlines’ ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
.
Colin มากจาก Scotland คนบ้านเดียวกันกับ Travis โดยวันนี้เขามาพร้อมกับกีต้าร์คู่ใจ ไม่ต้องมีแบ็คอัพ ซึ่งเหมาะกับมาดเซอ ๆ ของเขามาก
.
“ตัวผมตอนอายุ 12 ปีจะรู้สึกยังไงนะ ถ้ารู้ว่าตอนนี้ผมได้เล่นเปิดให้กับ Travis” Colin กล่าว
.
หลังจากที่ Colin เล่นจบ ก็ถึงช่วงที่ต้องเตรียมของให้วงถัดไปที่จะมาเล่น ขณะนั้นได้มีเซอไพรซ์คือ Fran Healy เดินมาทักทายแฟนเพลงที่แถวหน้าอย่างเป็นกันเอง อยากบอกว่าน่ารักมากกกกกกกกก
.
19.45 น.
.
วงเปิดวงต่อไปคือวงที่ผมได้เคยเขียนแนะนำไปแล้วครับ คือ Turin Brakes สี่หนุ่มจาก London ซึ่งได้ขนเพลงฮิตมาเล่น ทั้ง Pain Killer (Summer Rain), Keep Me Around, Wait, Lost In The Woods และอื่น ๆ อีกมากมาย
.
ผมชอบพลังของวงนี้ตอนเล่นสดครับ โดยเฉพาะ Eddie Myer มือเบสผมยาวที่ตัวจริงโคตรเท่ แม้ Turin Brakes จะได้เล่นแค่ประมาณ 45 นาที ผมรู้เลยว่าต้องตามไปดูสดให้ได้อีก
.
จากนั้นก็เหมือนเดิม เจ้าหน้าที่ขึ้นมาจัดเตรียมเวที ผู้คนรออย่างใจจดใจจ่อพร้อมกับเสียงเพลงที่เปิดคลอให้ฟังระหว่างรอ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มี Bittersweet Symphony ของ The Verve ให้ทุกคนได้วอร์มเสียงอีกหน่อย
.
21.00 น.
.
แล้วจู่ ๆ ไฟในฮอลล์ก็ดับลง ทุกคนรู้ดีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่เห็นมีเพียงฉากหลังของเวทีที่เป็นรูปปกของอัลบั้ม The Man Who ไม่นานเกินรอ ได้มีเงาของชายสี่คนเดินขึ้นมาบนเวที (ที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใคร) ชายคนหนึ่งในกระโปรง Kilt เดินไปที่ไมโครโฟนตัวกลาง
.
ไฟที่ดับลงได้สว่างขึ้น ทำให้เห็นภาพของชายสี่คน Fran Healy มาในเสื้อยืดสีขาว กระโปรง Kilt สีดำ Dougie Payne และ Andy Dunlop มาในแจ็คเก็ตหนังสีดำ ส่วน Neil Primrose นั้นมาพร้อมกับเสื้อแดงแรงฤทธิ์ มองเห็นแต่ไกล และเพลงแรกก็ได้ถูกบรรเลงขึ้น
.
Fran เริ่มเล่นกีต้าร์ด้วยคอร์ดที่ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับเพลง Wonderwall ของ Oasis ความสนุกของจริงได้เริ่มขึ้นพร้อมกับบทเพลงแรกในอัลบั้ม เพลง Writing to Reach You เป็นการโหมโรง ปลุกพลังงานของทุกคนให้ตื่นอีกครั้งหลังจากที่รอไปประมาณครึ่งชั่วโมง
.
ต่อจากเพลงแรก ไม่รอช้า ทางวงเล่นเพลงที่สองของอัลบั้ม คือเพลง The Fear
.
“พวกเรารู้สึกดีใจที่ได้พาเพลงเหล่านี้กลับสู่บ้านเกิดของมัน เกือบทุกเพลงของอัลบั้มนี้ได้ถูกเขียนขึ้นที่นี่ และทั้งหมดนั้นเริ่มต้นจากเพลงนี้
.
“ ‘ทำอะไรอยู่หรือจ๊ะพ่อหนุ่ม’ ผมจำได้ตอนที่กำลังนั่งอัดเดโม่เพลงนี้อยู่ มีป้าคนหนึ่งเดินเข้ามาถามผม ผมต้องบอกป้าว่าอย่าพูดแทรกเพราะผมกำลังอัดเพลงอยู่ มันตลกดี” Fran เล่าเรื่องเกี่ยวกับอัลบั้มนี้ก่อนที่จะเล่นเพลงถัดไป คือเพลง As You Are
.
ตามด้วย Driftwood และ The Last Laugh of the Laughter ซึ่ง Setlist ช่วงนี้เดาได้ไม่ยากครับ เรียงตามในอัลบั้มเลย
.
ถัดไปเพลง Turn ก่อนเล่น Fran ได้เล่าว่าเขาชอบที่จะพูดคุยกับคนสูงอายุ ซึ่งเพลงนี้ก็แต่งมาจากแนวคิดที่ได้มาจากปู่ของเขา เขายังเคยให้สัมภาษณ์มาก่อนว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่สุดช่วงเสียงของเขาแล้ว ในการร้องสดก็ได้ทำอย่างเต็มที่ แต่ที่ไม่เหมือนกับเวอร์ชั่นปกติคือในท่อน Verse ที่สอง Dougie มือเบสของเราทำหน้าที่ร้องนำแทน ให้ Fran พักก่อน เฮียแก่แล้ว
.
ถึงเพลงที่หลายคนตั้งหน้าตั้งตารออย่าง Why Does It Always Rain on Me?
.
“ผมว่าทุกคนรู้จักเพลงนี้ดี มันเป็นเหมือนเพลงประจำวงอย่างไม่เป็นทางการ (จริง ๆ Fran พูดว่า unofficial national anthem) ของพวกเรา” Fran กล่าวก่อนเล่นเพลง จากนั้นได้ชูกีต้าร์ขึ้น ทำท่าเหมือนสีไวโอลินเข้ากับอินโทรของเพลง ส่วน Andy ก็หันไมค์ของตัวเองไปทางผู้ชม
.
พอจบเพลง Fran ได้นำ Harmonica มาสวมไว้ตรงคอ และเล่าตำนานที่โจษกันกันไปทั่ว
.
“เมื่อปี 1997 พวกเราได้มีโอกาสไปทัวร์กับ Oasis ที่เมือง Aberdeen ผมเดินผ่านคาราวานของ Liam Gallagher
.
“ ‘เอ็ง… เข้ามานี่… นั่งลง… หยิบมันขึ้นมา (พร้อมกับชี้ไปที่กีต้าร์)’ ผมประหม่าเลยล่ะ
.
“ ‘เล่นมาซักเพลงสิ’ แล้วผมก็เล่นเพลงที่กำลังจะเล่นนี้
.
“หลังจากที่ผมเล่นเสร็จ เขา (Liam) ถอดแว่นตาแล้วร้องไห้ออกมาเลยล่ะ (พูดท่อนนี้เสร็จผู้คนร้อง ‘ง่ออออวววววว’)
.
“อย่าไปฟ้อง Liam ล่ะ แม้ว่าเขาจะอ่อนไหว แต่ผมได้ยินมาว่าเขาสู้คนเหมือนกัน” จากนั้น Fran ได้เริ่มเป่า Harmonica ด้วยทำนองเศร้าเพื่อขึ้นต้นเพลง Luv
.
ต่อด้วยเพลง She’s So Strange และ Slide Show
.
เพลงต่อไป ฉากหลังได้ถูกเปลี่ยนเป็นไฟหมุนสีน้ำเงินเรียงรายกันเป็นแถว (แอบนึกถึงสัญญาณไฟรถฉุกเฉิน แต่คือซักสิบคัน) ซึ่งก็ตรงกับชื่อเพลง Blue Flashing Light นั่นแหละครับ โดยในเพลงนี้ Andy ได้โชว์ลีลาเอาขาตั้งไมค์มาสีกับกีต้าร์เกิดเป็นเสียงแสบทรวง
.
พอจบเพลงนี้ ไฟได้มืดลง และทุกคนเดินไปหลังเวทีอีกครั้งให้ได้พักหายใจกันบ้าง
.
อึดใจเดียว Travis เดินกลับขึ้นมาบนเวทีมาใหม่
“จบแล้วครับ…
.
.
.
สำหรับ The Man Who” Fran พูดออกไมค์ เว้นจังหวะถูกจุดซะด้วย
.
“ผมกลัวว่าจะไม่คุ้มเงินกัน ต่อไปพวกเราจะเล่นเพลงจากอัลบั้มอื่น ๆ บ้าง” จากนั้นได้เริ่มบรรเลงเพลง Love Will Come Through จากอัลบั้ม 12 Memories และต่อด้วย Re-Offender จากอัลบั้มเดียวกัน
.
เพลงถัดไปคือ Good Feeling จากอัลบั้ม Debut ของวงที่มีชื่อเดียวกับเพลง Fran ได้แนะนำมือคีย์บอร์ดแบคอัพของทัวร์นี้ (ตรงนี้ผมขออภัย ฟังชื่อเขาไม่ทันจริง ๆ)
.
“ผมไม่รู้ว่าเขาเก่งหรือเปล่านะ แต่พ่อของเขาเคยเล่นเปียโนให้กับเพลงประกอบภาพยนตร์… นี่ไม่ได้กดดันนะ คนดูจะตัดสินนายเอง” Fran แอบแซว และเพลงนี้ก็จบลงด้วยการโชว์ทักษะของเขา ทำเอาผู้ชมยกนิ้วโป้งให้เป็นแถบ
.
จบจากเพลงนี้ Fran ได้เชิญชวนให้ทุกคนปรบมือโดยมี Neil ให้จังหวะ แล้วเพลง Side จากอัลบั้ม The Invisible Band ก็ดังขึ้นมา
.
มีท่อนหนึ่งระหว่างเพลง Fran ได้กระโดดขึ้นไปยืนบน Bass Drum และกระโดดฉีกขากังฟูคิกกลางอากาศลงมาอย่างเท่ ๆ
.
จากนั้นทางวงได้ลดจังหวะลงด้วยเพลงโปรดของใครหลาย ๆ คน Fran เริ่ม Strum กีต้าร์ด้วยทำนองที่คุ้นเคย เสียงหวาน ๆ บวกกับไฟที่หรี่ลงทำให้ทุกคนเริ่มเคลิ้มไปกับเพลง Closer จากอัลบั้ม The Boy with No Name
.
ก่อนถึงท่อน Hook สุดท้าย (ท่อนที่ Ben Stiller ออกมาใน MV แล้วเป็นเสียง Melody จากลำโพง) Fran ได้หยุดร้อง ดนตรีได้เบาลงให้ทุกคนช่วยกันเปล่งเสียงกระหึ่มฮอลล์เล่นเอาขนลุกเลยครับ
.
จากนั้นผมเห็น Andy ไปเอา Banjo มา ซึ่งก็พอเดาได้ว่าเพลงอะไร มันคือเพลง Flowers in the Window ที่ Fran ได้บอกก่อนเล่นเพลงว่าขอมอบให้กับคุณพ่อและคุณแม่ทุก ๆ คน
.
แล้วทางวงได้เปลี่ยนมาร็อคอีกครั้งกับเพลง All I Want to Do Is Rock
.
พอจบเพลง Andy ไปเอา Banjo มาอีกครั้ง แล้วก็ถึงตาของเพลง Sing
.
“เราทุกคนชอบร้องเพลงกันอยู่แล้ว ผมขอมอบเพลงนี้ให้พวกคุณทุกคน” Fran กล่าว
.
ก่อนถึงช่วงสุดท้าย Fran ได้พูดว่า “คริสต์มาสจะเป็นคริสมาสต์ได้อย่างไร ถ้าไม่มีเพลงคริสต์มาส” ไฟฉากหลังถูกเปลี่ยนเป็นสีเขียวกับแดง จากนั้นชายในชุดซานต้าคลอสสองคนได้เดินขึ้นมาบนเวทีและเริ่มชกต่อยกันประกอบดนตรีเพลง Let It Snow ตามด้วย Mistletoe and Wind
.
“เฮ้ยยยยย! นี่มัน Paul McCartney นี่หน่า” จู่ ๆ Fran ก็ตะโกนออกมา ผมตกใจเลยนึกว่าปู่จะมาเซอไพรซ์หรือยังไง แต่ไม่ใช่ เพราะทางวงเริ่มเล่นเพลง Wonderful Christmastime ของปู่ Paul นั่นเอง
.
ระหว่างนั้น ลูกโป่งยักษ์สีขาวหลายลูกถูกปล่อยลงมาจากเพดาน ผู้คนพากันกระโดดชกลูกโป่ง บางลูกที่ลอยขึ้นไปบนเวที Travis ก็เตะลงมาบ้าง โหม่งกลับคืนมาบ้าง เล่นกับผู้ชมอย่างสนุกสนาน (ผมชกขึ้นไปได้ลูกนึง จดจำไว้เป็นความภาคภูมิใจ)
.
และสุดท้าย Santa Claus Is Coming To Town ในแบบร็อค คราวนี้ไม่ใช่แค่ลูกโป่งแล้ว แต่เป็นโฟมสีขาวที่ค่อย ๆ ลอยลงมาราวกับหิมะ ทำเอาเปียกไปนิดนึง ถือเป็นการปิดฉากทัวร์ที่โคตรสนุก ทางวงได้กล่าวลาด้วยการอวยพรวันคริสต์มาส…
.
สรุปเวลาที่ Travis ขึ้นเล่น ตั้งแต่ 21.00 น. ถึงประมาณ 22.40 น. รวมทั้งหมด 1 ชั่วโมง 40 นาที
.
เล่นไป 20 เพลง (เมดเลย์คริสต์มาสนับเป็นเพลงเดียว)
จากอัลบั้ม The Man Who 11 เพลง ครบทุกเพลงในอัลบั้ม (แน่นอนอยู่แล้ว)
Good Feeling 2 เพลง
The Invisible Band 3 เพลง
12 Memories 2 เพลง
The Boy with No Name 1 เพลง
.
“ความเห็นส่วนตัว”
.
บอกก่อนเลยว่านี่เป็นการดู Travis เล่นสดครั้งแรกของผม เพราะตอนที่เขามาไทยเมื่อปี 2008 ผมยังอยู่ต่างจังหวัดอยู่เลย ทำให้ฝังใจมาตลอดว่าชาตินี้ผมต้องดู Travis ให้ได้
.
จนสุดท้ายฝ่าฝันดั้นด้นจนได้ดู
.
คอนเสิร์ตนี้คือการเติมเต็มความฝัน
.
Travis ไม่ใช่วงที่เล่นสดแล้วเน้นลูกเล่นแพรวพราวแบบต้องมีไฮดรอลิกมายกตัวหรือแสงสีอลังการอะไรอย่างนั้น คอนเสิร์ตรอบนี้ให้ความเป็นกันเอง มีการพูดจาหยอกล้อพูดคุยกับผู้ชม ให้ความรู้สึกว่ามาเล่นที่บ้านจริง ๆ ซึ่งก็ถูกแล้ว เพราะพวกเขากลับมาเล่นที่บ้านเกิดของวง
.
คนมาดูเต็มทั้งฮอลล์ บางคนใส่กระโปรง Kilt มาเหมือน Fran แสดงให้เห็นถึงความเป็น Scottish ของวง เหมือนวงนี้เป็นมากกว่าวงดนตรีธรรมดา แต่เป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวแฟนเพลงกับความเป็น Scotland ไว้อย่างเหนียวแน่น
.
คิดว่าพวกเขาเหล่านั้นคงดีใจ ที่มาจากบ้านเกิดเดียวกับ Travis
.
สำหรับผม นี่คือของขวัญปีใหม่ที่ดีที่สุดที่เคยได้มาแล้ว
.
“คะแนน”
.
ไม่ให้ครับ ให้ไปก็หาว่าอวย 55555
.
จบ
.
ปล. แอบเสียดายที่เล่น The Boy with No Name แค่เพลงเดียว และไม่เล่นเพลงจาก Ode to J. Smith, Where You Stand และ Everything at Once เลย แต่เอาจริง ๆ ที่เล่นมาก็เพียงพอแล้ว
.
ปล.2 ส่วนคำถามที่ว่าจะมาไทยอีกไหม ตอบเลยว่ายากครับ 555

บทความนี้ผมเคยเขียนลงที่ https://www.facebook.com/TravisFcThailand/ นะครับ ใครสนใจข่าวสารของวงนี้เข้าไปติดตามกันได้เลย

--

--