แชร์ประสบการณ์ Project Manager ด้าน Tech Software ที่ The Existing Company แบบ Exclusive

Jajdham Wirulhadej
THE EXISTING COMPANY
4 min readSep 17, 2021

หลายๆคนเคยได้ยินตำแหน่ง Project Manager กันมาบ้างแล้ว อาจจะไม่ได้รู้ถึงเบื้องลึกว่า ตำแหน่ง Project Manager โดยเฉพาะบริษัทที่เกี่ยวกับ Tech Software เนี่ยมันเป็นยังไง

เราเลยเตรียมคำถามเด็ดๆ ที่ทุกคนอยากจะรู้แน่นอน เช่น

  • ต้องมีทักษะอะไรบ้างถึงเป็น Project Manager ได้
  • เป็น Project Manager เหนื่อยไหม
  • จากการร่วมงานหลายๆโปรเจกต์ อะไรเป็นจุดแข็งของ EXISTING

วันนี้พวกเรา 3 คน ปิงปอง Business Operation แจน Intern Digital Marketing และ ปีเตอร์ Product Owner เลยจะมาชวน บี Project Manager ที่ The Existing Company มาพูดคุยแบ่งปันประสบกาณ์ การเป็น Project Manager ล้วงลึกถึงเบื้องหลังว่าเป็นยังไงบ้าง เชิญบีแนะนำตัวเลยครับผม

บี: สวัสดีค่ะ ชื่อ บี เป็น Project Manager ที่ The Existing Company ค่ะ

ผู้ร่วมสนทนากับเราวันนี้

ผู้เขียน: แล้วจุดเริ่มต้นของการมาทำงานที่ The Existing Company คืออะไรครับ

บี: รู้จักผ่าน Blogs ค่ะ มีประกาศฝึกงาน เลยเริ่มต้นจากฝึกงานที่นี่ค่ะ

ผู้เขียน: แล้วบีเริ่มทำจากตำแหน่ง Project Manager เลยไหมครับ

บี: เริ่มจากการเป็น System Analysis มาก่อนค่ะ ผ่านไป 1 ปี เลยขยับมาเป็น Project Manager ค่ะ

ผู้เขียน: แล้วบีทำงานที่ The Existing Company มานานขนาดไหนแล้วครับ

บี: ประมาณปีกว่าแล้วค่ะ

ผู้เขียน: การได้เป็น Project Manager มีหน้าที่หลักๆต้องทำอะไรบ้างครับ

บี: เป็น Project Manager ของที่นี่ต้อง จัดการ ควบคุม ขอบเขตการทำงาน และ ขั้นตอนการดำเนินการของงานที่ได้มาจากลูกค้า และ ส่งงานกลับไปให้ลูกค้าเพื่อตรวจสอบ และค่อยวางหน้าที่และ sprint ให้กับทีมค่ะ

ผู้เขียน: ตอนนี้บีเป็น Project Manager ให้กับโปรเจกต์ไหนบ้างครับ

บี: มีโปรเจกต์ e-commerce ของลูกค้า แคมเปญต่างๆเกี่ยวกับโทรคมนาคม และโปรเจกต์ Startup ของบริษัทเอง ประมาณ 4–5 โปรเจกต์ค่ะ

ผู้เขียน: โห ดูแลโปรเจกต์เยอะขนาดนี้ไม่เหนื่อยแย่เหรอครับ

บี: เหนื่อยอยู่ค่ะ ฮ่า ฮ่า แต่ถ้าเราสามารถ manage slot งานดีๆ วันๆหนึ่งสามารถทำได้หลายโปรเจกต์ค่ะ แต่ต้องแบ่งเวลากับแต่ละโปรเจกต์ บีมักจะใช้เวลาประมาณ 2–3 ชั่วโมงต่อแต่ละโปรเจกต์ค่ะแล้ว ค่อยๆเคลียร์ไปงานไปค่ะ

ผู้เขียน: บีช่วยแชร์เคล็ดลับการบริหารโปรเจคให้เก่งแบบบีหน่อยครับ

บี: เคล็ดลับของบีในแต่ละวันคือนั่งเขียนแต่ละงานเลยค่ะ ว่างานไหนเร่งที่สุด แล้ว แล้วจะเข้าไปทำในงานที่เร่งที่สุดแล้วไล่ไปเรื่อยๆ เช่น งานที่มีคนรอทำต่อจากเรา อันนี้เราจะให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก แต่งานไหนเรารับผิดชอบคนเดียวก็จะเอาไปท้ายๆค่ะ

ผู้เขียน: ทักษะอะไรที่บีคิดว่า Project Manager ควรมีครับ

บี: พวกทักษะการจัดการค่ะ ซึ่งจะต้องจัดการทั้งรายละเอียดของงานและคนค่ะ ส่วนเรื่องพวกทักษะเทคนิคจะเป็นเรื่องที่รองลงมาค่ะ

ผู้เขียน: แล้วถ้ามีคนสนใจอยากเป็น Project Manager เกี่ยวกับ Tech Software เนี่ย แต่ไม่เก่ง Code ไม่ได้จบโดยตรง บีคิดว่าสามารถเป็น Project Manager ที่นี้ได้ไหมครับ

บี: เป็นได้ค่ะ เพราะ Project Manager ไม่ได้ลงลึกเข้าไปใน Tech ขนาดนั้น เน้นดูภาพรวมและความเข้าใจมากกว่า ไม่จำเป็นต้องรู้ถึง 100% ประมาณ 40%-50% แล้วแต่เนื้องานว่าต้องลึกไปขนาดไหนค่ะ

ผู้เขียน: ตอนนี้บีชอบตำแหน่ง Project Manager ไหมครับ

บี: รู้สึกโอเคกับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ เพราะก่อนหน้านี้ เป็น System Analysis เราไม่ได้ต้องการลงลึก tech ขนาดนั้น เลยคิดว่าตำแหน่ง Project Manager ตอบโจทย์ตอนนี้มากที่สุดค่ะ

ผู้เขียน: บีมีโปรแกรมที่อยากแนะนำให้ทุกคนใช้ไหม สำหรับคนที่กำลัง Work From Home อยู่

บี: Slack ค่ะ เป็นช่องทางการติดต่อสื่อสารที่ดีมาก อยากให้ทุกคนลองใช้ บีแนะนำว่าอย่าใช้ไลน์ทำงานกันเลยนะคะ ฮ่า ฮ่า เพราะ Slack สามารถแยกการทำงานออกจากชีวิตประจำวันได้

ผู้เขียน: การเป็น Project Manager ที่นี่ หรือ เกี่ยวกับ tech ต้องใช้โปรแกรมอะไรในการทำงานบ้างครับ

บี: ส่วนใหญ่ จะเป็นพวก Google Sheet, Google Doc และ Jira พวก Task Management

ผู้เขียน: ทำไมที่นี่ใช้ Jira สำหรับ Task Management ทำไมไม่เลือกใช้พวก Trello หรือ Asana หรือโปรแกรมอื่นๆครับ

บี: ในตลาดมีตัวเลือกมากมายก็จริง แต่ที่เลือก Jira เพราะมันสามารถ plug-in หรือ Import Template เข้ามาใน Jira ได้ แล้วเขียน Requirement ใน Confluence page ซึ่งสามารถ รวมทุกอย่างไว้ใน Jira แต่สำหรับโปรแกรมอื่นจะเป็นแค่การ์ดงาน ซึ่งไม่สามารถแยกเป็น Epic หรือ User Story ได้ 100% เลยมองว่า Jira เหมาะที่สุดค่ะ

ผู้เขียน: พอใช้ Jira ที่สามารถ ทำให้ทีมเห็นภาพรวมด้วยกันได้ มันช่วยให้ทีมสื่อสารกันได้ดีขึ้นไหมครับ

บี:ใช่ค่ะ เพราะเวลามี Daily meeting Jira จะเป็นตัวกลางและเห็นหน้าที่ของทุกคนอยู่ในสถานะไหนแล้ว ทำกันเสร็จรึยัง ก่อนหน้านี้ทำอะไรกันบ้าง แล้วหลังจากนี้จะทำอะไรกันบ้าง

ผู้เขียน: เราใช้ Jira ในการติดตามหน้าที่ของแต่ละคน แล้วมันช่วยให้เรา ค้นหาต้นตอเวลาเกิดปัญหาได้ดีขึ้นไหมครับ

บี: ดีขึ้นค่ะ มันสามารถเปิด Issue แล้วลิ้งก์ไป Task หลักว่าเกิดปัญหานี้นะ และยังสามารถผูกกับ GitHub ได้ด้วยว่า Task นี้ไปผูกกับ push code ของนักพัฒนาตรงไหน Task ไหน สามารถตรวจสอบได้ค่ะ

ผู้เขียน: บีเป็น Project Manager แล้วก่อนหน้านี้มีเคยมีการใช้โปรแกรมอื่นนอกจาก Jira บ้างไหม

บี: เวลาทำโปรเจกต์กับที่อื่น เคยใช้ Trello Clickup และ Asana ค่ะ เราลองใช้หมดแล้ว แต่ยังไงมันก็ขึ้นอยู่กับแต่ละโปรเจกต์ค่ะ แต่ยังไงก็รู้สึกว่า Jira เหมาะกับเราที่สุด สามารถทำได้เยอะที่สุดสำหรับ Task Management ค่ะ

ผู้เขียน: พอมามอง Jira ถูกออกแบบให้เหมาะกับการทำงานแบบ Agile บีน่าจะเป็นคนเข้าใจได้ดีที่สุดว่าการทำงานแบบ Agile เป็นยังไง สำหรับบี การทำงานแบบ Agile มันดีไหมครับ

บี: ดีค่ะ ตอบโจทย์กับโปรเจกต์ที่จะปรับ Requirement กลางคัน เพราะเราแบ่งการทำงานเป็น Module แต่ละ Module ก็แยกไปทำในแต่ละ Sprint อาจจะตก Sprint ละ 1–2 อาทิตย์ แล้วก็จะมี Sprint planning หลังจากนั้นก็เป็น Sprint Review ต่อด้วย Sprint retrospective ให้ Feedback ภายในสัปดาห์นั้นว่า เราชอบอะไรไม่ชอบอะไรที่เราสามารถปรับปรุงได้ตลอดระยะการทำงาน แต่บางโปรเจกต์อาจจะไม่ Agile 100% เพราะการทำงานร่วมกับบริษัทอื่นอาจจะมี Requirement ที่ให้มาอยู่แล้ว อาจจะมี mini waterfall ขึ้นอยู่กับแต่ละโปรเจกต์เลยค่ะ

ผู้เขียน: การทำงานแบบ Agile รู้สึกว่าเราได้ปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นเพิ่มมากขึ้นไหมครับ

บี: ใช่ค่ะ แต่ Agile อาจจะเหนื่อยขึ้นมาหน่อยเพราะต้องมีการตัวในทุก Sprint ทำ Story point แล้ว Task จะเยอะหน่อยค่ะ แต่มันสามรถควบคุมคุณภาพของงานได้ดีและตอบโจทย์ในทั้ง นักพัฒนาและลูกค้าด้วยค่ะ เพราะลูกค้าไม่อยากจะรอให้มันเสร็จละค่อยปรับแต่สามารถโยกย้ายไป Sprint อื่นได้เลยค่ะ

ผู้เขียน: เมื่อกี้ที่บอกว่าทำงานแบบ Agile ทำให้มีหน้าที่เพิ่มขึ้นมา แล้วคิดว่าการทำงานแบบ Agile มันได้ช่วยให้เราทำงานเร็วขึ้นบ้างไหมครับ

บี: สำหรับเรางานมันเยอะขึ้นก็จริง แต่สำหรับคนในทีมเองรู้สึกว่าน้อยลงเพราะ scope งานมันชัดเจนค่ะ หน้าที่ของทุกคนถูกตั้งไว้เรียบร้อยแล้วว่าต้องทำงานไหนเวลาไหน ภายในอาทิตย์ไหนค่ะ

ผู้เขียน: การทำงานแบบ Agile จะไม่ค่อยเน้นเอกสาร แล้วส่วนตัวบีมีได้จับพวกเอกสารบ้างไหม

บี: ก็มีทำบ้างค่ะ แต่ไม่เท่า Waterfall เพราะเวลาทำเสร็จต้องทำเอกสารให้ครบทุกอย่างก่อนนักพัฒนาจะเริ่มงาน แต่ Agile เราจะค่อยๆแบ่งเป็นส่วนๆให้นักพัฒนาทำ มันก็ดีสำหรับการปรับเปลี่ยน สามารถเพิ่มใน Sprint ถัดไปได้

ผู้เขียน: พอเป็น Agile มีการใกล้ชิดกับลูกค้าเพิ่มขึ้นไหมครับ

บี: ใช่คะ ใกล้ชิดกับลูกค้าบ่อยหน่อย เช่น เวลาทำเอกสารในต้น Sprint เราก็จะมีคำถามเพิ่มเติม เราก็ต้องคุยกันว่า Sprint นี้เราจะทำประมาณนี้ ติดปัญหาตรงนี้ แล้วมีคำถามว่าลูกค้าอยากปรับตรงไหนเพิ่มไหม แล้วลูกค้าสามารถเห็นงานในทุกๆเดือน ทุกๆอาทิตย์ สามารถปรับงานได้ เลยทำให้คุยกันบ่อยขึ้นค่ะ

บีกำลังประชุม!!

ผู้เขียน: เวลาทำโปรเจกต์ไปสักพัก ต้องปรับเปลี่ยนกลางคันบ่อยไหมครับ

บี: บ่อยค่ะ การทำงานแบบ Agile ยังไงก็ต้องเจอการปรับเปลี่ยนตลอดเวลาอยู่แล้วค่ะ ถ้า Sprint Retrospective รู้สึกยังต้องปรับเปลี่ยน ก็ต้องปรับใน Sprint ต่อไป ยังไงลูกค้าก็จะรู้สึกอยากเพิ่มนู่น เพิ่มนี่ตลอดอยู่แล้วค่ะ ถ้ามีการปรับเปลี่ยนเยอะก็ต้องมาคุยกันแล้วว่าตรงไหนทำได้ก่อน ทำได้หลัง ตรงไหนทำได้ ทำไม่ได้ค่ะ

ผู้เขียน: พอทำงานแบบ Agile ต้องใช้วิธีการทำงานแบบ Scrum บีคิดว่ามันดีไหมครับ

บี: โอเคค่ะ เพราะได้อัพเดตปัญหาในทุกๆวัน ว่า นักพัฒนาเจออะไร Tester เจออะไร ทุกคนได้รู้ในเวลาเดียวกัน ถ้ารอจนจบโปรเจค ปัญหานั้นอาจจะสะสมแล้วมาแก้ทีเดียวอาจจะจัดการยากค่ะ

ผู้เขียน: อะไรคือความท้ายของตำแหน่ง Project Manager ครับ

บี: ความท้าทายของตำแหน่ง PM คือ การจัดการ ทุกอย่างให้อยู่ในการควบคุมของเราค่ะ เพราะเมื่อไหร่ที่ ถ้าไม่สามารถบริหารจัดการได้ งานก็จะเริ่มไปกระทบส่วนอื่นแหละ ฉะนั้น เราต้องให้ลูกค้าอยู่ใน Control ของเรา Task งานอยู่ใน Control ของเราจะต้องควบคุมระยะเวลาให้ดี และ จัดการ งานให้ดีว่ามันสามารถเสร็จตามกำหนดได้จริงไหม ถ้าเกิดต้องส่งงานให้ลูกค้า งานจะเสร็จทันรึเปล่า นี่ก็จะเป็นความท้าทายของตำแหน่งนี้ค่ะ

พูดถึง The Existing Company

ผู้เขียน: ณ ตอนนี้เรามองว่า Career path ในอนาคตไว้ยังไงบ้างครับ

บี: จากตอนนี้ก็คือสุดแค่ตรงนี้ค่ะ แต่ถ้าในอนาคตจริงๆ อาจจะเป็น PO แต่ยังไงก็ยังไม่อยากเป็น PO เพราะว่าเหนื่อย ฮ่า ฮ่า

ผู้เขียน: จากการทำโปรเจกต์ทั้ง In house และ Startup เนี่ย เราเรียนรู้อะไรจากตรงนี้บ้างครับ

บี: การที่เราทำ 2 โปรเจคที่ไม่เหมือนกันในเวลาเดียวกันเนี่ย ทำให้เรารู้ถึงความแตกต่างในแง่ของ Corporate และ Startup ที่ไม่เหมือนกัน การทำ Startup มันสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอด พอเป็น Corporate ที่ Marketing และ Business เขา กำหนดไว้ตรงตัวอยู่แล้วถึงค่อยมาทำ ทำให้เกิดการเขียน Requirement และ flow งานที่แตกต่างกันค่ะ

ผู้เขียน: แล้วบีชอบระหว่างอะไรมากกว่ากันครับ

บี: รู้สึกว่าชอบทั้งอย่างเลย ฮ่า ฮ่า แบบทำไปเรื่อยๆ และก็มั่วๆไปในเวลาเดียวกัน โอเคกับทั้งสองแนว ทำให้เราต้องสลับหัวของตัวเองว่าทำ startup นะหรือต้องคุยกับลูกค้านะ

ผู้เขียน: แล้วบีคิดว่าเพื่อนร่วมงานที่ EXISTING เป็นยังไงบ้างครับ

บี: ดีค่ะ! ฮ่า ฮ่า ด้วยความที่ทุกทุกคนอายุไล่เลี่ยกัน มันทำให้คุยกันง่ายค่ะ

ผู้เขียน: บีรู้สึกชอบอะไรบ้าง และไม่ชอบอะไรบ้างที่ EXISTINGครับ

บี: สิ่งที่ชอบมากคือ ทีม คนค่ะ เพราะทุกคนมี มุมมองที่ดีและมีความกระตือรือร้นที่อยากให้ผลงานออกมาดี สามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง เช่นเวลาที่มีอะไรต้องปรับเรื่องแก้ไข ให้ feedback ต่อกัน พร้อมที่จะปรับตัวไปด้วยกันและมีความเชื่อใจกัน

ส่วนในเรื่องที่อยากให้ปรับปรุงก็จะเป็นเรื่องของการทำงานให้มี Structure ให้แน่นขึ้น เช่น Code Structure เพราะเหมือน Dev จะมีรูปแบบการพัฒนาเป็นของตัวเอง อยากให้เป็น Structure ของ EXISTING ไปเลย และมีรูปแบบไปในทิศทางเดียวกันค่ะ

ผู้เขียน: บีรู้สึกว่าอะไรเป็นจุดแข็งของ EXISTING ครับ

บี: คิดว่าการสื่อสารภายในทีมตลอดเวลาแล้วเกิด Teamwork ค่ะ เพราะ ทุกคนในทีมทำงานด้วยกัน คุยกันตลอดเวลามี issue นิดหน่อยก็จะพูดขึ้นมาแล้วก็ปรับๆแก้ๆตลอดเวลาทำให้เห็นถึง Teamwork ส่งผลให้ Quality ของงานดีขึ้นด้วย

ผู้เขียน: แล้วบีคิดว่าทำงานอยู่ที่นี้ ท้าทายมากพอไหมครับ

บี: ฮ่า ฮ่า ท้าทายมาก ท้าทายในระดับหนึ่ง ในระดับที่ในแต่ละวันของการทำงาน มีความท้าทายอยู่เสมอมีเรื่องที่ต้องแก้ไขปรับปรุงตลอดเวลา

พี่น้ำแข็ง CEO The Existing Company

ผู้เขียน: แล้วผู้บริหารที่นี้ดีไหมดีครับ

บี: ดีค่ะ ฮ่า ฮ่า เพราะรับฟังทุกอย่าง ทุกคนตลอดเลยค่ะ ปัญหาไหนช่วยแก้ได้ก็จะช่วยแก้ทันที ปัญหาไหนแก้ไม่ได้ก็จะรวมหัวกันและปรับกันอีกที สามารถให้ feedback กันได้ คุยง่าย ไม่ต้องไปผ่าน 1 2 3 4 ผู้บริหารน่ารักดีค่ะ ฮ่า ฮ่า

ผู้เขียน: แล้วองค์กรเราเป็นรูปแบบ Flat ไม่มี hierarchy สูง ส่วนตัวบีคิดว่าดีไหมครับ

บี: มันก็มีทั้งข้อดีและเสียค่ะ แต่ส่วนตัวที่เลือกทำ บริษัทเล็กๆก็เพราะแบบนี้แหละค่ะ มีความ Friendly เป็นมิตรและดีต่อสภาพแวดล้อม มีความ challenge ท้าทายทุกคนมีการ Connect กัน ถ้าเป็นบริษัทใหญ่ หลายๆเรื่องอาจจะต้องผ่าน Manager Director กว่าจะถึง C-level ค่ะ

ผู้เขียน: ก่อนจากกันไป บีมีอะไรอยากฝากไปถึงพี่ๆน้องๆเพื่อนๆที่สนใจร่วมทีมกับเราในอนาคตบ้างครับ

บี: สนใจ Work hard อยากทำงานหนักก็มาเลยค่ะ อุ้ย! ไม่ใช่ ฮ่า ฮ่า ถ้าเราเป็นคนที่สนใจที่จะเรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง ได้ทำในสิ่งที่เราไม่เคยทำก็จะได้รับโอกาสที่จะได้ทำ

ผู้เขียน: หลังจากนี้น่าจะหมดคำถามแล้วครับ หลังจากคุยกันเสร็จ บีจะไปทำอะไรต่อครับ

บี: ต้องทำงานสิ ฮ่า ฮ่า มีประชุมต่ออีก 10 นาที นี้แหละค่ะ

ผู้เขียน: ฮ่า ฮ่า โอเคครับ ขอบคุณบีสำหรับการพูดคุยในวันนี้นะครับ สวัสดีครับ/ค่ะ

บี: ตั้งใจทำงานนะคะ สวัสดีค่ะ

อย่าลืม 👏 (Claps) และ 🔖 (Bookmark) บทความนี้ไว้อ่านทีหลังด้วยนะ

--

--