ตำแหน่ง BA กับ SA ต่างกันขนาดไหน 🤔

Mark Nathpath
THE EXISTING COMPANY
3 min readSep 5, 2019

บทความนี้เขียนมาจากประสบกรณ์โดยตรงของผมนะครับ ในฐานะคนที่เคยทำมาทั้งตำแหน่ง BA และ SA อาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมดแต่หวังว่าจะช่วยคนที่กำลังลังเลว่าจะทำงานตำแหน่งไหนดี มาเริ่มกันเลยครับ

(ผมขอพูดถึงการทำงานในสายงาน Tech นะครับ เพื่อให้ทุกคนเข้าใจตรงกันครับ)

Business Analyst

  • ตำแหน่ง Business Analyst หรือ ที่เรียกกันว่า BA นั้นเปรียบเสมือน “ไม้แรก” ของการเริ่ม Project เลยก็ว่าได้ เพราะตำแหน่งนี้จะเป็นคนเข้าไปคุยกับทางลูกค้า หรือ ที่หลายๆคนเรียกว่า Get Requirement

การ Get Requirement 🎯

  • คือการเข้าไปพูดคุยกับทางลูกค้า ในเรื่องของความต้องการของงานว่ามีรายละเอียดอะไรบ้าง ที่ทางทีมของเราต้องทำเกี่ยวกับงานนี้
  • หลังจากได้รับ Requirement จากทางลูกค้ามาแล้ว เราต้องมาสรุป สิ่งที่เราได้รับกับทางลูกค้านั้นให้กับทีมของเราฟัง ในเรื่องตัวงานที่ไปรับมานั้นเป็นงานประเภทไหน จะพัฒนายังไง มีระยะเวลาเท่าไร และ อื่นๆ

เขียน Proposal 📃

  • ในขั้นตอนถัดไปในกรณีที่ทางทีมของเราตกลงจะรับทำ Project นี้ ทางเราต้องเขียน Proposal ของรายละเอียดของงานท่ีเราจะรับผิดชอบ อาทิ เช่น
  1. Purpose (จุดประสงค์ของ Project)
  2. Scope of work (ขอบเขตของงานทั้งหมดที่เราต้องรับผิดชอบ)
  3. System Architecture (ภาพรวมของระบบการทำงานของ Project)
  4. Task list (สิ่งที่ต้องทำใน Project ของแต่ละตำแหน่งและจำนวน Mandays)
  5. Quotation (ราคาของ Project นี้)
  6. Time plan (ระยะเวลาในการพัฒนาของ Project)
  7. Payment term (ข้อตกลงในการชำระเงิน)
  8. Warranty (การรับประกันหลังจากส่งมอบ Project)

(อาจจะมีหัวข้ออื่นเพิ่มเติมได้ตามความเหมาะสมของแต่ละงานนะครับ)

Confirmation 🚩

  • หลังจากเขียน Proposal เป็นที่เรียบร้อย ก็ต้องส่งให้กับทางลูกค้ายืนยันว่าทางเราเข้าใจตัวงานนี้ครบถ้วนไหมมีส่วนไหนยังไม่ครบและเรื่องราคาของงานเป็นที่ตกลงไหม

Reject ✖

  • ในกรณีที่ทางลูกค้ายังไม่ตกลงหรือมีปัญหาอะไรทางเราอาจจะต้องแก้ Proposal แล้วส่งไปให้ทางลูกค้าใหม่ แต่ต้องดูทางเราด้วยว่าสิ่งที่ลูกค้าต้องการเพิ่มหรือติดปัญหานั้นทางเราสามารถยอมรับได้ไหมก่อนที่เราจะตอบตกลง

Approved ✔️

  • ส่วนในกรณีที่ไม่มีปัญหาและตกลงทำงานกันนั้น ด้าน BA นั้นจะติดตามงาน และเป็นคนที่จะ Update งานให้กับทางลูกค้าว่าตอนนี้งานถึงไหนแล้ว ติดตรงไหนอยู่ส่วนไหนแล้ว จนส่งมอบงานให้กับทางลูกค้าก็เป็นอันปิด Project

System Analyst

  • ตำแหน่ง System Analyst หรือ ที่เรียกกันว่า SA นี้จะเริ่มจากตอนที่ทางลูกค้าตกลงจะทำ project กับทางเราที่เรียบร้อยแล้ว คือหลักๆแล้ว เราจะต้องออกแบบ Business Flow หรือ จะเป็น Diagrm อื่นๆการทำงานของระบบให้กับทาง Developer ให้สามารถเห็นภาพของงานที่ต้องทำและทำงานที่สะดวกและรวดเร็วขึ้น (การมี SA ที่ดีนั้นจะสามารถช่วยให้ทาง Developer ทำงานได้เร็วขึ้นมาก)

Design Part 📈

  • ซึ่งการออกแบบ Business Flow นั้นไม่ใช่แค่เพื่อให้ Developer พัฒนาได้ง่ายยิ่งขึ้น และยังสามารถ อธิบายการทำงานของ Project นี้ให้ทีมเข้าใจด้วยว่าการทำงานนั้นเป็นไปอย่างไร โดยการออกแบบนี้จะออกแบบโดย Flow ง่ายๆ เผื่อใช้อธิบายกับ Developer เช่น
  • Use case diagram ใช้ในการอธิบายการกระทำของบุคคลนั้นๆ ที่อยู่ในระบบว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง
ตัวอย่าง Use case การสั่งอาหาร
  • Sequence diagram ใช้ในการอธิบายลำดับที่เกิดขึ้นของระบบ บุคคลใดกระทำเมื่อไหร่และสิ้นสุดเมื่อไหร่
ตัวอย่าง Sequence diagram การจองที่นั้ง
  • การออกแบบ Diagram แบบนี้สามารถช่วยอธิบายให้กับบุคคลที่ไม่มีความรู้หรือประสบการณ์ทางด้าน Technical มากนัก สามารถเข้าใจภาพรวมการทำงานของ Project ได้

Technical Part 💻

  • ซึ่งสำหรับ SA บางคนนั้นอาจจะต้องลงด้านเทคนิคสักหน่อย เช่น การดู Inspect ค่าต่างๆ ที่ทาง Front-end กับทาง Back-end สื่อสารกัน และง่ายกับทาง Developer ที่ดูแลและต้องการที่จะพัฒนาต่อ

สรุปแล้ว BA กับ SA ต่างกันอย่างไร และคนเดียวสามารถทำทั้งสองตำแหน่งได้ไหม ?

(ในความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ สามารถทำได้ครับ)

BA to SA

  • ในกรณีที่เป็น BA เปลี่ยนตัวเองมาเป็น SA สำหรับผมมองว่ายากกว่าคนที่เป็น SA แล้วจะมาทำ BA ด้วยอยู่สักหน่อยนะครับ
  • เพราะเราอาจจะต้องศึกษาความรู้ด้าน Technical เพิ่มเติมสักหน่อยเพื่อที่สามารถคุยกับทาง Developer ในเรื่องเทคนิคได้ หากป็น BA ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านเทคนิคอาจจะไม่เข้าใจด้านเทคนิคในการคุยกับทางลูกค้าและ Developer

SA to BA

  • ส่วนในกรณี SA มาทำหน้าที่ BA อาจจะไม่ยากมากเท่าไหร่ สิ่งที่ควรฝึกฝนเพิ่มเติมคือการทำเรื่องเอกสารต่างๆ และ การคุยกับทางลูกค้าให้ชัดเจน เพื่อที่จะสามารถนำมาสรุปภาพรวม Project ทั้งหมดกับทีมได้

BA VS SA

  • โดยสกิลของ BA จะเน้นไปทาง Soft skill และทางด้านการทำเอกสารต่างๆ การพูดคุยและวิเคราะห์ภาพระบบธุรกิจโดยรวม อาจจะมีด้าน Technical นิดหน่อยแต่ไม่ลงลึกเท่ากับ SA
  • ส่วนสกิลทางด้าน SA นั้นจะเน้นไปทาง Hard skill มากกว่า เพราะจะต้องทำงานร่วมกับทาง Developer โดยตรงรวมถึงช่วย Support ให้ทาง Developer ทำงานได้สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น จึงจำเป็นต้องรู้ทางด้าน Technical มากกว่า BA พอสมควร

--

--

Mark Nathpath
THE EXISTING COMPANY

Business / System Analysts Management Information System, Information Communication and Technology, Mahidol University