ความได้เปรียบของการพัฒนาอย่างยั่งยืน: สร้างกำไรและความยั่งยืนในระยะยาว

Niran Banleurat
Knowledge Spiral
Published in
6 days ago

การพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่าง “ความยั่งยืน” (Sustainability) กับ “ผลการดำเนินงานทางการเงิน” เป็นหัวข้อที่ถูกพูดถึงกันมากในวงการธุรกิจปัจจุบัน การนำแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนมาใช้ในกลยุทธ์ขององค์กรสามารถนำไปสู่ความสำเร็จทางการเงินได้หรือไม่? และการเชื่อมโยงนี้เป็นเพียงแค่ “สหสัมพันธ์” (Correlation) หรือว่าเป็น “เหตุและผล” (Causation) ที่แท้จริง?

ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกถึงความสำคัญของการแยกแยะความแตกต่างระหว่างความสัมพันธ์และเหตุและผล พร้อมตัวอย่างการประยุกต์ใช้การพัฒนาอย่างยั่งยืนในภาคธุรกิจ เพื่อสร้างความเข้าใจในประโยชน์ที่แท้จริงของการดำเนินการเพื่อความยั่งยืน (Sustainability) ตามแนวคิดที่ถูกนำเสนอในเอกสารนี้

====

ความแตกต่างระหว่างสหสัมพันธ์ (Correlation) และเหตุและผล (Causation)

สหสัมพันธ์ (Correlation) หมายถึงการที่สองสิ่งมีความเกี่ยวข้องกัน เช่น เมื่อหนึ่งสิ่งเปลี่ยนแปลง อีกสิ่งก็อาจจะเปลี่ยนตามไปด้วย แต่ความสัมพันธ์นี้ไม่ได้หมายความว่า สิ่งหนึ่งเป็นเหตุให้เกิดอีกสิ่งหนึ่ง ตัวอย่างที่เราพบได้ทั่วไปคือ การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการโฆษณา (Advertising Expenses) กับยอดขาย (Sales) ที่มักจะมีความสัมพันธ์ทางบวกระหว่างกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการโฆษณาที่มากขึ้นจะเป็นสาเหตุเดียวที่ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น​

ในทางตรงกันข้าม เหตุและผล (Causation) คือการที่ตัวแปรหนึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ตัวแปรอื่นเปลี่ยนแปลง ซึ่งการพิสูจน์ว่ามีความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลนั้นจำเป็นต้องใช้การทดลองและการวิเคราะห์ทางสถิติที่ซับซ้อน ตัวอย่างเช่น การทดลองทางการแพทย์ที่ใช้กลุ่มควบคุม (Control Group) เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของยาจริงกับยาหลอก (Placebo) ซึ่งช่วยให้เราสามารถระบุได้ว่ายาจริงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยหายจากโรคได้​

====

ความยั่งยืนกับผลประกอบการทางการเงิน

เมื่อเราพูดถึงความยั่งยืนในภาคธุรกิจ คำถามที่มักจะเกิดขึ้นคือ “การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนสามารถสร้างผลกำไรได้หรือไม่?” หรือ “การที่บริษัทมีผลประกอบการที่ดีทำให้พวกเขาสามารถลงทุนในเรื่องความยั่งยืนได้มากขึ้น?” นี่คือปัญหาที่ต้องการการวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อแยกแยะระหว่างความสัมพันธ์และเหตุและผล

จากงานวิจัยล่าสุดพบว่าบริษัทที่เป็นผู้นำด้านความยั่งยืนมักจะมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าคู่แข่งในระยะยาว ทั้งในด้านการดำเนินงาน (Operational Performance) และในตลาดหลักทรัพย์ (Stock Market Performance) การที่บริษัทสามารถบูรณาการปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล (Environmental, Social, and Governance: ESG) เข้ากับกลยุทธ์ทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยเสริมสร้างคุณค่าของผู้ถือหุ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ​

====

การบูรณาการ ESG เข้ากับกลยุทธ์องค์กร

การนำปัจจัย ESG เข้ามาในกลยุทธ์องค์กรไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นในการสร้างความยั่งยืนในระยะยาว โดยการระบุปัจจัยที่มีความสำคัญต่อองค์กร (Material ESG Factors) สามารถช่วยให้องค์กรมุ่งเน้นในเรื่องที่มีผลกระทบต่อความสามารถในการสร้างมูลค่าของบริษัทได้อย่างแท้จริง เช่น ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนอาจมีความสำคัญมากกว่าการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ในขณะที่ในอุตสาหกรรมการให้คำปรึกษา การพัฒนาทรัพยากรบุคคลอาจมีความสำคัญมากกว่า​

องค์กรอย่าง SASB (Sustainability Accounting Standards Board) ได้กำหนดมาตรฐานการรายงานเพื่อช่วยให้องค์กรสามารถประเมินปัจจัย ESG ที่สำคัญในแต่ละอุตสาหกรรมได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับผู้บริหารที่ต้องการสร้างกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนที่ประสบความสำเร็จ​

====

ข้อคิดสุดท้าย

การดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นความยั่งยืนไม่ได้เป็นเพียงแค่การทำดีเพื่อสังคม แต่ยังเป็นการสร้างความได้เปรียบในทางธุรกิจ หากบริษัทสามารถผสานปัจจัย ESG เข้ากับกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้นได้ในระยะยาว ดังนั้น การแยกแยะระหว่างความสัมพันธ์และเหตุและผลในเรื่องความยั่งยืนเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ขององค์กรในปัจจุบัน

ในที่สุด การนำแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนมาประยุกต์ใช้กับกลยุทธ์องค์กรไม่ใช่เพียงแค่ทางเลือกที่ดี แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน

#KnowledgeSpiral #ESG #sustainability

--

--

Niran Banleurat
Knowledge Spiral

Business model enthusiast. Business model and customers insights workshop facilitator. Corporate entrepreneur. Business writer. Gamer. etc.