Niran Banleurat
Knowledge Spiral
Published in
1 min readSep 5, 2020

--

แง่คิดจากอ่างอาบน้ำ

เกือบ 20 ปีที่แล้ว ผมมีโอกาสได้ไปต่างประเทศเป็นครั้งแรก บริษัทดีใจหายที่ส่งเด็กน้อยอายุงาน 2–3 ปี ไปเข้าสัมมนาที่ประเทศออสเตรียกับรุ่นพี่อีกสี่ห้าคน แต่ละคนอายุห่างกับผมเป็นสิบๆ ปีทั้งนั้น รู้สึกเกร็งบ้างเล็กน้อย

:::

เมื่อไปถึงที่เมืองเวียนนา ประเทศออสเตรีย เราก็มีการแบ่งห้องกัน พี่ที่อาวุโสมากๆ ก็ได้ห้องเดี่ยว แยกนอนกันไป ส่วนตัวผมกับพี่อีกคนยังไม่อาวุโสพอที่จะมีห้องแยก ก็แชร์ห้องกันไป

:::

เรามาถึงโรงแรมเวลาก็เป็นเวลาบ่ายอ่อนๆ แต่ละคนก็อิดโรยกับการเดินทางอันแสนยาวนาน เลยแยกย้ายกันไปงีบก่อน แล้วนัดกันมาเจอกันที่ล๊อบบี้เพื่อออกไปหาอะไรทาน ผมเองก็สลบไปอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องนับแกะเลยแม้แต่ตัวเดียว

:::

ผ่านไปสองสามชั่วโมง ผมก็ตื่นขึ้นมาก่อนรุ่นพี่ ด้วยคิดว่าเดี๋ยวเราลุกขึ้นมาอาบน้ำก่อนดีกว่า พี่เขาจะได้หลับต่ออีกสักพัก เราเป็นเด็ก เราก็ต้องเสียสละ ว่าแล้วก็ตรงไปอาบน้ำในทันที

:::

ยอมรับเลยว่าตอนนั้นงงกับห้องน้ำพอสมควร เพราะต้องไปยืนอาบบนอ่างอาบน้ำเป็นครั้งแรกในชีวิต ชั่วชีวิตกว่ายี่สิบปีตอนนั้น ผมใช้แต่ขันอาบน้ำ หากมีไปพักที่ต่างจังหวัดก็ใช้ shower บ้าง แต่ห้องน้ำส่วนใหญ่ก็จะเป็น cubicle ไม่เคยยืนอาบบนอ่างอาบน้ำสักที (จริงๆ ก็คงมีหลายโรงแรมในไทยตอนนั้นที่ยืนอาบบนอ่างอาบน้ำแล้ว แต่ผมไม่เคยเอง เนื่องด้วยฐานะทางการเงินไม่ได้อำนวยให้ไปนอนโรงแรมหรูหรา)

:::

อาบน้ำไปเพลิน 10–15 นาที ก็ไม่ได้คิดอะไร ถูสบู่ จนกระทั่งกดน้ำล้างสบู่ออกหมด แล้วก้าวขาออกมาจากอ่าง จึงเห็นได้ว่า น้ำเจิ่งนองอยู่ที่พื้นห้องน้ำเต็มไปหมด เรียกได้ว่าน้ำท่วมห้องน้ำเลยทีเดียว เพราะพื้นห้องน้ำเองก็ไม่ได้มีรูระบายน้ำ เนื่องจากเป็นห้องน้ำแบบแห้ง ให้คนยืนอาบบนอ่างอาบน้ำแล้วเอาม่านกั้นอีกที

:::

ในใจผมก็คิดทันทีว่า ซวยแล้ว เดี๋ยวรุ่นพี่ตื่นขึ้นมาเขาจะอาบน้ำยังไง และคิดก่นด่า ติเตียนโรงแรมว่า ออกแบบอ่างอาบน้ำยังไงวะ ให้น้ำมันซึมออกมาได้ขนาดนี้ หรืออ่างอาบน้ำมันมีปัญหาอะไร ทำไมไม่ซ่อมให้เรียบร้อย แต่ก่อนจะโทรไปโวยวาย เผอิญภาษาอังกฤษไม่แข็งแรงมากเท่าไหร่ในตอนนั้น ก็ขอแก้ปัญหาด้วยตัวเองก่อน ด้วยเอาผ้ามาซับน้ำที่เจิ่งบนพื้น แล้วไปบิดใส่ในอ่างอาบน้ำ ทำอย่างนั้นอยู่เกือบชั่วโมง กว่าน้ำจะแห้ง รุ่นพี่ผมก็หลับลึกจริงๆ เสียงกอกๆ แกกๆ ของผมไม่สามารถทำอะไรแกได้

:::

พอน้ำแห้งจนพอได้แล้ว ผมก็ไปนั่งสงบสติอารมณ์อยู่บนโถชักโครก แล้วมองไปที่อ่างอาบน้ำ พยายามตรวจตราว่าปัญหามันคืออะไรกันแน่ ที่ทำให้น้ำร่วมซึมออกมาจนนองขนาดนี้ นั่งมองไม่นาน ก็เกิดดวงตาเห็นธรรม อ๋อออออ ยาวๆ ผ้าม่านเจ้ากรรม มันดันอยู่นอกอ่าง แทนที่ผมจะเอามันใส่เข้าไปในอ่างเพื่อกันไม่ให้น้ำออก ด้วยความที่รีบร้อนอาบน้ำ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะเป็นการยืนอาบน้ำบนอ่างครั้งแรกก็แล้วแต่ แต่การที่น้ำเจิ่ง มันเป็นความผิดผมล้วนๆ หาได้เป็นความผิดของโรงแรมแต่อย่างใด !

:::

เล่ามาซะยาว เหตุการณ์นี้ เหมือนจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่มันก็เป็นสิ่งที่ติดใจผมมาจนถึงทุกวันนี้ และเป็นสิ่งที่เปลี่ยนวิธีคิดของผม ว่าก่อนที่ผมจะมองหาคนผิด มองดูว่าใครต้องเป็นคนรับผิดชอบในความผิดพลาดต่างๆ ที่เกิดขึ้น ผมจะมองมาที่ตัวเองก่อนเสมอ มองมาว่ากรูทำอะไรบกพร่องไปหรือเปล่า มีอะไรที่พลาดไปจนเกิดความผิดพลาดนั้นๆ หรือไม่ เราจะไม่ไปหาใครมาเป็นแพะรับบาปให้เราเด็ดขาด จนกระทั่งมั่นใจแล้ว เออ เราไม่ได้ทำอะไรพลาดไป จึงค่อยไปตามหาสาเหตุอีกที

:::

ด้วยความปรารถนาดี ที่เราเห็นเหตุการณ์ เห็นตัวอย่างหลายๆ อย่างในบ้านนี้เมืองนี้ หลายๆ คนมัวแต่โทษโน่นโทษนี่ เศรษฐกิจไม่ดี รัฐบาลห่วย โรคระบาดทำพิษ​ มหาวิทยาลัยสอนอะไรมา ไม่เห็นมีประโยชน์ในการทำงาน การจราจรกรุงเทพฯ สาหัส ทำให้ไปทำงานสายทุกวัน ฯลฯ อยากให้ทุกท่านลองมองมาที่ตัวเองก่อน ว่าเราทำอะไรพลาดไปหรือเปล่า เราทำดีพอแล้วหรือยัง ปัญหาหลายๆ อย่างในโลกนี้มันเป็น gravity problem หรือปัญหาที่มันแก้ไม่ได้ แก้ได้ยาก หรือกว่าจะแก้ได้ ท่านเองอาจจะแก่ตายเสียก่อน ดังนั้น จะบ่น จะด่า จะโทษสิ่งที่เป็น external factors หรือปัจจัยภายนอกไปเพื่อประโยชน์อันใด ลงมือทำ ลงมือปรับปรุงตัวเองเสียดีกว่า อารมณ์จะได้ดีๆ และชีวีจะได้ก้าวหน้า

:::::

#KnowledgeSpiral

--

--

Niran Banleurat
Knowledge Spiral

Business model enthusiast. Business model and customers insights workshop facilitator. Corporate entrepreneur. Business writer. Gamer. etc.