Freedom

นั่งคิดเรื่องนี้มานานพอสมควร ว่า Freedom เนี่ยเรียกได้ว่าเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง ที่มนุษย์ทุกคนพึงต้องการ ทุกๆ ความสัมพันธ์ต้องให้ Freedom อย่างพอเหมาะพอดี เพื่อให้ความสัมพันธ์นั้นๆ ยั่งยืนและเติบโต

พ่อแม่กับลูก หากพ่อแม่ ควบคุมลูกเกินไปทุกก้าวที่เดิน ลูกก็จะไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง และออกไปสู้โลกข้างนอกไม่ได้ ลูกเองก็จะอึดอัดและอาจกลายเป็นก้าวร้าว แต่หากให้ Freedom มากเกิน โดยไม่คุมเลย ก็อาจจะเตลิดเปิดเปิง เสียคนกันไป

สามี ภรรยา หากไม่ให้ Freedom ซึ่งกันและกัน คอยตามกันทุกย่างก้าว ต้องให้ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ตลอดเวลา จะไปไหนก็ไม่ได้ ไม่ใครก็ใครคนนึง จะต้องถึงจุดที่ทนไม่ไหว หรือถึงทนไหว ก็จะกลายเป็นอยู่กันไปอย่างไม่มีความสุข

เจ้านายกับลูกน้อง เจ้านายที่เป็นคุณละเอียด ชอบ micromanage บี้ทุกจุด ซัดทุกบรรทัด คงไม่มีลูกน้องคนไหนชอบ แต่หากให้อิสระมากเกิน แบบไม่เคยมาคุย มาถามไถ่เลย ก็จะกลายเป็นเจ้านายที่ไม่ใส่ใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน หรือความเติบโตของลูกน้อง

การให้ Freedom นี่มันเป็นศิลปะขั้นสูงเหมือนกัน กับแต่ละความสัมพันธ์ กับแต่ละคน นั้นไม่เหมือนกันเลย และต้องหมั่น calibrate ตลอดเวลา แล้วแต่สถานการณ์

ผมยังจำที่ Daniel Pink พูดถึงในหนังสือ Drive ได้ว่า สามสิ่งที่จะทำให้คนมี Drive มีแรงขับเพื่อทำอะไรสักอย่าง อย่างเต็มที่ คือ 1) Purpose ให้เขาได้ทำอะไรที่มีประโยชน์ อะไรที่ serve higher purpose อะไรที่ larger than themselves. 2) Mastery ได้พัฒนาฝีมือ ได้เติบโต มีพัฒนาการทางความคิด ทางจิตวิญญาณ มนุษย์ทุกคนอยากเติบโตทั้งนั้น จะเร็วจะช้า ก็แล้วแต่ความทะเยอทะยาน. และสุดท้าย 3) Autonomy หรือเขาได้มีอิสระในการตัดสินใจทำอะไรได้ด้วยตัวเอง ให้เขาได้มี ownership รับผิดชอบในการตัดสินใจ ในการกระทำของตัวเอง Autonomy มันก็คือ Freedom แบบหนึ่ง การที่คนคนนึงจะให้ Autonomy กับคนคนนึงได้ มันแฝงไปด้วยอะไรหลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นการมอบ trust ไม่ว่าจะเป็นความอดกลั้นที่จะไม่แทรกแซง

การให้ Autonomy. เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญในการ drive innovation ในองค์กร แต่เราต้องมีกระบวนการ มีตัววัดบางอย่างเป็นเครื่องมือช่วย และต้องฝึกให้คนที่เป็น head ของแต่ละทีม Master the Art of Autonomy ให้ได้. (จะว่าไปมันก็คือ Empowerment ที่เราเคยๆ พูดกันเมื่อก่อนนี้) ท้าทายและน่าสนุกไปพร้อมๆ กัน

#Freedom #KnowledgeSpiral